Ahad, 22 Disember 2024

Martabatkan Hikayat Panglima Nikosa sebagai novel Melayu pertama di dunia

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan 

Kali ini kita bincang tentang sebuah novel Melayu yang dianggap sebagai novel Melayu pertama di dunia. Sdr Haziq Azhar menulis sebuah artikel bertajuk “Martabatkan Hikayat Panglima Nikosa sebagai novel Melayu pertama di dunia” dan disiarkan di laman web Themalaysiapress.com Dan isi kandungannya seperti berikut:-


Hikayat Panglima Nikosa merupakan novel Melayu pertama di dunia yang dikarang oleh Ahmad Shawal Abdul Hamid.


Menurut Pengurus Besar Amanah Khairat Yayasan Budaya Melayu Sarawak, Datuk Dr Sanib Said, novel tersebut mengambil ciri-ciri realiti dalam gambaran untuk menjelaskan perwatakan, latar, peristiwa biasa untuk membina plot, suasana dan masa.

“Walaupun masih ada ciri-ciri pengembaraan dan aksi watak yang ketara seperti cerita hikayat dan penglipur lara, maka Hikayat Panglima Nikosa dapat dijadikan novel Melayu terawal,” jelas Dr Sanib.


Tambah Dr Sanib, novel tersebut merupakan kesusateraan Melayu zaman transisi hikayat dan penglipur lara kepada novel.

“Seperti kita tahu, ketika itu wujudnya novel Melayu terawal seperti Siti Nurbaya: Kasih Tidak Sampai, Bintang Toedjoeh dan Hikayat Faridah Hanom, tetapi Hikayat Panglima Nikosa diterbitkan lebih awal iaitu 30 Jun 1876,” kata beliau lagi.


Beliau berkata demikian ketika memberi syarahan pada Majlis Penangguhan Kolokium Novel Melayu Pertama Di Dunia ke-10 di hotel terkemuka pada Sabtu.


Sementara itu, Pengurus Lembaga Hal Ehwal Islam dan Adat Melayu Sarawak Azuan Jemat berkata, Hikayat Panglima Nikosa perlu diangkat sebagai karya agung Melayu dalam bentuk akademik.


“Hikayat Panglima Nikosa memperlihat keagungan karya dan kecenderungan elemen etnosentrik bertepatan idea William Graham Sumner,” jelas Azuan.

Tambah Azuan, novel ini juga memberi pemahaman mendalam mengenai adat dan peraturan masyarakat Melayu tradisional.


“Berbanding hikayat lain, novel ini memberi fokus kepada masyarakat awam berbanding golongan raja dan pembesar,” ujar beliau lagi.


Hikayat Panglima Nikosa mengisahkan pemuda bernama Nikosa di negeri di Timur yang berjaya mengumpul ramai pemuda menyerang musuh negeri mereka.


Atas kepemimpinan Nikosa, musuh berjaya ditewaskan dan membawa keamanan kepada negeri tersebut.


Seterusnya, Nikosa membangunkan negeri dinamakan Jalanan Baharu yang menjadi makmur kerana sering dikunjungi oleh pedagang.

Selasa, 10 Disember 2024

คนปาตานีในมาเลเซียวันนี้

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน 

หัวข้อเรื่องคนปาตานีในมาเลเซียวันนี้ เป็นหัวข้อที่นำมาจากหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี ที่เขียนโดย คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี และผู้เขียนได้แปลขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าของโครงการแปลหนังสือวิชาการ  ในตอนท้ายของหนังสือเล่มที่แปลนั้น ตอนสุดท้าย ได้เขียนว่า คนปาตานีในมาเลเซียวันนี้ ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ จึงนำมาเขียน และขยายขึ้น


มีคนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมากอาศัยอยู่ในมาเลเซียทุกวันนี้  ธรรมเนียมการ  “อพยพ”  ยังคงมีอยู่ตลอดและบางครั้งยังมีจำนวนมากขึ้นไปอีกด้วย  ยกเว้นสำเนียงภาษาเกือบจะไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างคนคนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (เชื้อชาติมลายู)  มีจำนวนมากในหมู่พวกเขาที่กลายเป็น  “คนสัญชาติ”  มาเลเซีย  และเลือกมาเลเซียเป็นปิตุภูมิของตนเอง

คนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมาเลเซียมีหลายกลุ่มและชั้นชน  มีที่เป็นผู้อพยพหนีภัย  (ในความหมายของการลี้ภัยทางการเมือง)  แต่ที่มีเป็นจำนวนมากคือการอพยพเพื่อการดำรงชีวิต  คือคนที่จำต้องอพยพเพราะถูกบีบบังคับจากสภาพความเป็นอยู่และโอกาสในอาชีพการงาน  ในมาเลเซียปัจจุบันนี้  พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าเร่  พ่อค้าขนาดเล็กและกรรมกรก่อสร้าง  ยังมีในหมู่พวกเขาที่เป็นครู  (โดยเฉพาะครูศาสนา)  เจ้าหน้าที่ข้าราชการ  นักเขียน  และรวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย  ด้วยเหตุผลบางประการข้าพเจ้า (คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี) ไม่อาจกล่าวถึงชื่อของพวกเขาไว้    ที่นี้


คนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในบรรดาคนโชคร้ายในโลก  อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วพวกเขาได้  “สูญเสีย” ความเป็นรัฐ  แต่การต่อสู้ของพวกเขาเพื่อได้รับเอกราชไม่อาจเป็นที่ยอมรับของกฎหมายระหว่างประเทศ  “จะเรียกร้องเอกราชได้อย่างไรในเมื่อดินแดนนั้นไม่เคยถูกยึดครอง ?”  พวกเขาอธิบาย


ดังนั้นคนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องอาศัย “ร่มโพธิ์”  ในประเทศต่าง ๆ ต่อไป

Isnin, 9 Disember 2024

เปาะจิเว็ง หรือนายอิบราฮิม ชาวมาเลเซีย เชื้อสายปาตานี หรือ สามจังหวักชายแดนภาคใต้

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน

ผู้เขียนเคยได้ยินชื่อของเปาะจิเว็ง หรือนายอิบราฮิม ตั้งแต่ยังวัยรุ่น  ด้วยเขาจะเป็นชาวมาเลเซีย ที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องในโอกาสวันฮารีรายาอีดิลอัฎฮาเกือบจะทุกปี บางปีจะพาเงินมาซื้อวัว เพื่อการกุรอ่านด้วย เขาเป็นชาวมาเลซีย ที่มีบรรพบุรุษ มาจากปาตานี หรือจังหวัดชายแดนภาคใต้ การที่เขามีจิตสำนึกว่า เขามีบรรพบุรุษมาจากมาจากปาตานี หรือจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เอง  ทำให้เขายังคงสานสัมพันธ์กับญาติพี่น้องฝั่งไทย ซึ่งแตกต่างกับบางคน บางครอบครัว ความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องฝั่งไทย จะห่างเหิน  ในครั้งนี้ ผู้เขียนขอนำงานเขียนของคุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี จากหนังสือ เรื่อง ประวัติศาสตร์ปัตตานี ที่ผู้เขียนได้แปลเป็นภาษาไทย โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าของโครงการแปลหนังสือวิชาการ  คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ได้เขียนถึงเปาะจิเว็ง หรือนายอิบราฮิม มีดังนี้


ในปี  ค.ศ.  1986  ครั้งที่ข้าพเจ้าแวะละหมาดที่มัสยิดวาดิลฮุสเซ็น  ที่บ้านตะโละมาเนาะ  ในอำเภอบาเจะ  จังหวัดนราธิวาส  ข้าพเจ้าเห็นรถป้ายมาเลเซียคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านโต๊ะบิลาลมัสยิดชื่อ  นายฮัจญีอิบราฮิม  เมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสได้สลามกับเจ้าของรถคันดังกล่าวภายหลังจากละหมาดเสร็จ  ข้าพเจ้าได้ทราบว่าเขามาเยี่ยมเยียนครอบครัวที่บ้านตะโละมาเนาะและหมู่บ้านใกล้เคียง  “ปู่ของข้าพเจ้ามาจากที่นี่”  เขากล่าว  “ทุกปีถ้ามีโอกาสข้าพเจ้าพาลูกและครอบครัวมาเยี่ยมเยียนเพื่อสายสัมพันธ์จะได้ไม่ขาดตอน”  เขากล่าวเสริม  ในการพูดคุยต่อมา  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเป็นอดีตเสมียนที่สำนักงานกอฎีแห่งเมืองปาริต  บุนตาร์, รัฐเปรัค


เขาเกษียณเมื่อต้นศตวรรษที่  1980  ประมาณการว่าเขาเกิดราวปลายทศวรรษที่  1920  ถ้าเป็นจริงที่ว่าปู่ของเขามาจากบ้านตะโละมาเนาะและอพยพไปยังรัฐเปรัค  มาเลเซีย จึงสามารถคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงหลังของศตวรรษที่  19

คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ยังได้เขียนเสริมถึงชาวปาตานีอีกว่า


ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าพำนักอยู่ที่บ้านบังโฆล ยาบัต  ในอำเภอรือเสาะ, นราธิวาส  ในปี  ค.ศ.  1964  เพื่อนบ้านของข้าพเจ้าชื่อเต็งกูยะห์  (ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อเต็มของเขา)  กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  พระราชินีประเทศมาเลเซียในขณะนั้น  หรือเป็นพระราชินีแห่งรัฐเปอร์ลิสในปัจจุบัน  เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา  ครูศาสนาคนหนึ่งบอกแก่ข้าพเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจว่า  รมต.  การคลังคนปัจจุบันคือ  ดาโต๊ะ  ศรี  ราฟีดะห์  อาซีซ  มาจากเซอลามา  รัฐเปรัค  มีบรรพบุรุษมาจากครอบครัวสำคัญจากปูยุด ปัตตานี

จากการสังเกตของผู้เขียนเอง (คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี) หลายต่อหลายคนอดีตมุขมนตรีรัฐเปรัค  เช่น  ดาโต๊ะ  ศรี  กามารูดิน  มัตอีซา  และวันมูฮัมมัด  วัน  เตะห์  ล้วนเป็นที่รู้ว่ามีบรรพบุรุษหรือครอบครัวมาจากปัตตานี


นอกจากนั้นมีหลายหมู่บ้านในรัฐเปรัค  โดยเฉพาะในเขตฮูลูเปรัค  เป็นที่รู้ว่าบุกเบิกโดยผู้อพยพชาวปัตตานี  ข้าพเจ้ายังจำได้ดี  ครั้งที่รัฐบาลมาเลเซียสร้างเขื่อนเตอเมิงฆอร์  (Temenggor)  หลายปีที่ผ่านมา  หลายหมู่บ้านจำต้องอพยพเพราะเป็นบริเวณพื้นที่น้ำท่วม  บทความชิ้นหนึ่งที่ข้าพเจ้าอ่านในหนังสือพิมพ์ได้เล่าถึงความเป็นมาของหมู่บ้านเหล่านี้เป็นหมู่บ้านที่บุกเบิกโดยประชาชนจากปาตาานี  พวกเขาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านดังกล่าวจนกระทั่งถูกบังคับให้อพยพเนื่องจากโครงการเขื่อนที่กล่าวมาแล้ว  ตามคำบอกเล่าของประชาชน  พวกเขาที่ถูกอพยพในปัจจุบันนี้เป็นลูกหลายชั้นที่สามหรือสี่ภายหลังมีการบุกเบิกหมู่บ้าน


เป็นที่แน่ชัดว่าบรรดาหมู่บ้านเหล่านี้ถูกบุกเบิกช่วงกลางศตวรรษที่  19  นั้นคือภายหลังจากปาตานีเข้าสู่ยุคความวุ่นวายและล่มสลายจากสงครามและการก่อกบฏ


ในรัฐเคดะห์  มีผู้นำคนหนึ่งชื่อ  “โต๊ะมอริส”  ที่หมู่บ้านกุโบร์ปันยัง  เขามีชื่อเต็มว่า  “โต๊ะบอมอห์  อิดริส”  หลังจากเป็นผู้นำชุมชนในท้องถิ่นต่อต้านสยามที่รัฐเคดะห์ในต้นศตวรรษที่  19  จากข้อมูลที่ได้รับจากประชาชนกล่าวว่าเขามาจากปาตานี


ในบทความที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์  “เบอรีตา  มิงฆู”  (ข้าพเจ้าลืมวันเดือนปี)  คุณบาฮารุดดิน  อาดัม  ได้เขียนเกี่ยวกับประวัติเมืองเกอมามัน  รัฐตรังกานู  ตามที่เขาเขียน  เมืองเกอมามันปัจจุบัน  เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่บุกเบิกโดยผู้อพยพสงครามจากปาตานีในทศวรรษที่  1820


เป็นที่เชื่อว่ารัฐตรังกานูมีลูกหลานผู้มาจากปาตานีจำนวนมาก  ไม่เพียงจำกัดเพียงอำเภอเบอซุตและสะติวที่อยู่ใกล้กัน  ยังไกลไปจนถึงปากาและเกอมามัน  ครั้งที่ข้าพเจ้า  “แอบ”  เข้าร่วมในการสัมมนาอิสลามที่ตรังกานูในเดิอนมิถุนายน  ค.ศ.  1991  ที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าได้ยินคำกล่าวจากผู้รายงานบทความการสัมมนาคือ  ดร. ชาฟีอี  อาบูบาการ์  (Dr.Shafie  Abu  Bakar)  จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย  (Universiti  Kebangsaan  Malaysia)  โดยกล่าวว่าครอบครัวเขาที่ปากกามาจากตระกูล  “แม่ทัพปาตานีที่พ่ายแพ้สงครามต่อสยาม”  เขากล่าวว่าบรรดาแม่ทัพเหล่านี้ได้ล่าถอยจากปาตานีแวะที่ริมฝั่งทะเลรัฐตรังกานู  แล้วบุกเบิกตั้งถิ่นฐานใหม่รวมทั้งในปากา


ที่เขียนมาข้างตนเป็นส่วนหนึ่งที่คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานีเขียนในหนังสือ “ปรวัติสาสตร์ปัตตานี หรือประววัติศาสตร์ปาตานี” 

Ahad, 8 Disember 2024

Kewartawanan dan Kesusasteraan A Samad Ismail Menggerak Zaman

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan

Kali sini saya kemukakan sebuah artikel tulisan Dr. Azhar Ibrahim Alawee, pensyarah NUS Universiti Nasional Singapura. Artikel beliau bertajuk “Kewartawanan dan Kesusasteraan A Samad Ismail Menggerak Zaman”. Isi kandungannya seperti berikut:-


Nama beliau banyak disebut dalam kalangan sasterawan, wartawan dan juga sejarawan.


Dalam kalangan pendiri dan penggiat awal ASAS’50, A Samad Ismail telah diakui sebagai “ideolog” bagi perkumpulan ini. Beliau yang ketika itu sudahpun menjadi wartawan mapan dalam Utusan Melayu di Singapura, menjadi tokoh yang disegani oleh beberapa pemuka yang menjadi ahli dan penggiat ASAS’50.


A Samad Ismail, tokoh kelahiran Singapura, sebenarnya adalah nama besar dalam dunia kewartawanan dan kesusasteraan Melayu, khasnya di Singapura dan Malaysia. Sejarawan seperti Cheah Boon Kheng dan Kwa Chong Guan, telah memberikan perhatian kepada sejarah perjuangan beliau. Bachtiar Djamily juga pernah menulis biografi tentang beliau.

Sebuah kajian peringkat Sarjana di Jabatan Pengajian Melayu NUS disempurnakan oleh M IIiya Kamsani pada tahun ini, dengan tesis berjudul “From Dissent to Consent: A Study of A Samad Ismail’s Intellectuality and Oeuvre". Pastinya membicarakan tokoh sebesar ini wajar, sekali gus membolehkan kita menilai secara kritis sumbangan pemikiran para inteligensia Melayu dalam sejarah.


Kebetulan tahun ini juga adalah 100 Tahun kelahiran bakti karya A Samad Ismail, bersamaan juga dengan sambutan kenangan 100 Tahun untuk Pendeta Muhammad Ariff, A A Navis dan Sitor Sitormurang. Sebuah forum bagi mengenang jasa bakti dan ilham A Samad Ismail akan diadakan pada Sabtu, 14 Disember 2024 di Gerakbudaya, Petaling Jaya, Malaysia.


Sesungguhnya kita memerlukan wacana budaya yang dapat memperkenalkan pemikir, penulis dan tokoh dalam masyarakat kita, sekali gus menilai pemikiran dan jasa bakti mereka, biar itu suatu kekuatan mahupun kelemahan yang ada. Menghargai tokoh, sekali gus menilai gagasan pemikiran dan tindak-tanduk mereka adalah penting dalam kita menghargai sejarah intelektual dalam masyarakat dan negara.

Ketokohan yang dapat kita kesani dari seorang pemikir, penulis dan pemimpin, pasti boleh dijejaki dari suara moral-etikanya yang berani membicarakan kesenjangan sosial, ketidakadilan, kerancuan fikiran dan kesalahpimpinan, serta wawasan kehidupan majmuk yang menganggap Malaya (termasuk Singapura) sebagai tanah air bagi pelbagai bangsa, keturunan, bahasa dan agama.


Begitulah yang dapat kita kesani dari pemikiran A Samad Ismail yang tertuang di dalam pelbagai karya beliau, yang tersebar dalam bentuk novel, cerpen, esei, pojokan akhbar, memoir dan wawancara. Novel-novel beliau rata-rata sarat dengan pesan kemasyarakatan. Ternyata dunia kewartawanan yang beliau jaguhi mengilhamkan berbagai isu, permasalahan dan tantangan yang dihadapi oleh rakyat kecil. Keprihatinan beliau inilah yang menggerakkan dunia pena untuk mengajak pembaca tercerah dengan idea kemodenan dan pembaharuan, sama sealiran dengan laungan ASAS’50, “Sastera untuk Masyarakat.”

A. Samad Ismail yang lahir pada tahun 1925, mendapat pendidikan aliran Inggeris di Sekolah Victoria. Pada zaman Jepun, beliau pernah bekerja di Berita Malai. Pada 1941, beliau menyertai Utusan Melayu, sebuah akhbar pertama milik Melayu sepenuhnya yang dikepalai oleh Encik Yusof Ishak.


Beliau pernah terjun dalam dunia politik, namun tidak begitu menyerlah. Beliau menjadi antara pendiri awal Parti Tindakan Rakyat (PAP) pada 1954 selain pernah menganggotai UMNO cabang Singapura pada tahun 1957. Dalam banyak hal, penglibatan beliau dalam dunia kesusasteraan dan kewartawananlah yang benar-benar membuktikan sumbangan besar beliau, sehingga wajar kita membariskan beliau antara pemikir besar dalam sejarah intelektual Melayu moden.


Dari segi politik, Samad Ismail cenderung dengan aliran kiri. Pernah diperakui beliau sebegini: “Saya mengenali konsep seperti pertentangan kelas, sosialisme sewaktu Perang dari kalangan pendatang Indonesia yang berkumpul di Arab Street, Jalan Sultan…Itulah tempat nadinya politik Melayu, dan para nasionalis Indonesia sangat dominan waktu itu.”


Kewartawanan Membangun Keintelektualan

Ayah A Samad Ismail, yakni Haji Ismail bin Shairazi, ialah pemimpin masyarakat Melayu-Jawa, juga seorang guru yang sering menulis dalam akhbar, selain menjadi antara pengasas awal Kesatuan Guru Melayu Singapura. Ayah beliau sudah dari awal akrab dengan para cerdik pandai Melayu yang berpusat di Singapura.


Itulah yang menggalakkan A Samad Ismail masuk dalam bidang kewartawanan, sehingga nanti menjadi wartawan dan penyunting akhbar yang sangat disegani, baik dari akhbar Melayu dan Inggeris.


A Samad sendiri pernah dibimbing Abdul Rahim Kajai yang terkenal sebagai “Bapa Kewartawanan Melayu". Kajai pastinya banyak mempengaruhi A Samad Ismail dalam keprihatinan melaporkan dalam akhbar sama senada dengan penulisan cerpen yang digerakkan dengan niat mengajar, menegur, mengkritik dan menggagaskan idea yang dianggap perlu diyakinkan dalam masyarakat.


Bagi jasa bakti Kajai, A Samad Ismail, mengimbas jasa tokoh ini:


Kajai adalah unik bagi pengarang zamannya dan penulis seangkatan dengannya dalam hal ini. Dia tidak hanya mengarang artikel, berkhutbah, memberi nasihat dan membuat ulasan. Sebaliknya dia menggabungkan peranan sebagai penasihat bangsa dengan fungsi pemberita, berinteraksi dengan pembaca dan masyarakat secara langsung, setiap hari mendedahkan jiwa keprihatinannya atau kesedarannya dan mindanya, kepada setiap gerak dan laku dalam masyarakatnya.”

A Samad sendiri menyifatkan kewartawanan Melayu sedikit berbeza daripada yang terbangun di Barat, yang umumnya bersifat profesional sebagai sebuah kerjaya. Namun itu bukan bererti wartawan Melayu kurang kemampuannya. Malahan kondisi masyarakat itu sendiri mencorakkan jalan perkembangan kewartawanan. Beliau beranggapan sedemikian:


Surat khabar adalah alat perantaraan dan alat perhubungan yang terpenting sekali dalam masyarakat manusia moden. Wataknya sebaga alat perantaraan dan alat perhubungan sesama manusia lahir dari bahasa tertulis yang dipergunakannya sebagai perantaraannya. Sekiranya manusia tidak pandai menuliskan bahasanya sendiri di atas kertas untuk membuat perhubungan antara satu dengan lain atau untuk menyampaikan khabar atau berita atau untuk mengemukakan pendapat dan fikirannya maka berkuranglah satu alat perhubungan yang maha penting untuk memudahkan dan menambahkan teraturnya penghidupan manusia.”


A Samad yang mula bertugas sebagai wartawan di Utusan Melayu, telah memberi warna dan roh kepada akhbar ini. Malah ia dianggap sebagai wadah untuk menyuarakan pendapat, keresahan dan cita-cita masyarakat Melayu. Masyarakat Melayu sendiri memandang tinggi kepada institusi akhbar ini, termasuk para penulis yang bersemarak di Singapura kerana akhbar memberikan ruang untuk karya cerpen dan puisi mereka disertakan. Dilukiskan Samad sebegini:


Peranan dan fungsi pengarang seperti ini dimungkinkan oleh peranan dan imej Utusan sendiri sebagai pembela rakyat, oleh kewibawaan dan gengsi Utusan. Dan tahap ekonomi Utusan sendiri sebagai sebuah syarikat yang kecil menolong memperkukuh fungsi itu. Bangunan Utusan sederhana sahaja, malah tidak berbeza daripada sebuah bangunan kedai yang usang dan berusia lanjut. Keistimewaannya ialah bangunan itu menjadi pusat sebuah akhbar kepunyaan bangsa Melayu. Inilah ciri yang dikagumi masyarakatnya – suatu lambang dan satu institusi kebangsaan yang belum ada saingannya pada zaman itu terletak di tengah-tengah kota raya Singapura yang sibuk, maju dan dinamis.”


Selain bidang kewartawanan, A Samad juga penulis cerpen yang berbakat. Cerpen “Ah Kaw Masuk Syurga” mengisahkan cerita tentang Ah Kaw seorang lelaki Cina yang berlindung di rumah Melayu sewaktu zaman Jepun. Ibu dari keluarga Melayu sangat sayang pada Ah Kaw dan beria-ria untuk menjadikan Ah Kaw “masuk Melayu.” Dirawatnya Ah Kaw sewaktu beliau sakit, tetapi akhirnya Ah Kaw tidak sempat memeluk Islam dan meninggal dunia.


Jatuhnya hari kematiannya pada Jumaat. Ibu itu reda, tapi yakin Ah Kaw masuk syurga kerana Jumaat adalah hari yang 'barokah'. Tersirat dalam cerpen ini bahawa menerima seseorang itu sebagai sebahagian daripada keluarga dan bangsa kita bertolak dari sikap kemanusiaan yang tidak bisa dipilah-pilah atas dasar bangsa, agama dan keturunan.


Dalam sebuah keratan akhbar The Singapore Standard bertarikh 6 Mei 1953, beliau menulis tentang bahasa Melayu, “The Future of Malay Language” – yang tercantum di dalamnya sikap “Malayan” yang inklusif, terbuka namun tidak tercabut dari persekitaran kebudayaan aslinya.


Beliau yakin Bahasa Melayu akan berkembang menjadi perantara utama dalam pelbagai bidang kehidupan masyarakat. Pada negara Malaya yang akan dibangunkan, ramai yang beranggapan perlu berdiri satu bahasa yang tunggal.


Ditegaskan bahawa itu adalah andaian yang kurang tepat kerana banyak negara yang terbina atas kerencaman bahasa yang dimiliki penduduknya. Contohnya India, Switzerland, Kanada dan Rusia.


Lain perkataan, dalam soal bahasa, A Samad Ismail berseberangan dari kelompok pendidikan Inggeris yang hanya yakin Bahasa Inggeris menjadi bahasa utama untuk Malaysia. Sedangkan dalam kalangan pejuang nasionalis Melayu, hanya Bahasa Melayu yang wajar didaulatkan sebagai bahasa utama. Inilah penegasan yang berani kerana beliau sendiri yakin penguasaan lebih dari satu bahasa akan menguntungkan individu, masyarakat dan negara.


A Samad Ismail adalah pemerhati politik dan sosial yang tajam. Dari memoirnya berjudul Memoir A. Samad Ismail di Singapura (1993) terkandung banyak singgungan peribadi yang jelas membuktikan kesaksian zaman yang beliau tempuhi.


Sehingga akhir hayat beliau, dunia kewartawanan dan kesusasteraan dekat di hati beliau. Banyak buku panduan menulis sebagai wartawan dihasilkannya dan beliau menjadi penasihat dan penyunting di The Star dan New Straits Times di Malaysia. Dalam dunia sastera pula, beliau pernah aktif dalam PENA dan mendapat Anugerah 'Hadiah Pejuang Sastera' pada tahun 1976.


Baik penulis atau wartawan, peranan sebagai pencerah kemanusiaan dan pembicara nurani harus sedia tampil, kerana menurut A Samad Ismail; mereka “jelas memikul tanggungjawab terhadap masyarakat, menolongnya menyesuaikan diri dengan perubahan dan membimbingnya ke arah kebaikan.”


Beliau dikagumi oleh deretan tokoh kesusasteraan Melayu seperti Usman Awang, Adibah Amin, selain barisan wartawan Melayu baik di Singapura dan Malaysia. Semoga kenangan 100 Tahun hayat bakti pada tahun 2024 ini dapat mengingatkan kita akan seorang tokoh yang banyak berjasa dalam dunia kesusasteraan kita, membawa kesegaran ilmu dalam kewartawanan Melayu, selain memberi warna kepada kehidupan dan pengalaman politik kita dalam mengharungi zaman pasca kolonial yang mencabar.


Ternyata sosok kecendiakawanan yang terkandung dalam gerak kerja A Samad Ismail, meletakkan suatu standard tinggi yang sayugia dibangunkan dan diperluaskan terus. Masyarakat yang membangun pastinya memerlukan saluran akhbar atau media massa yang bebas, progresif dan terbuka. Itulah harapan A Samad Ismail kerana bagi beliau:


Surat khabar dapat menimbulkan kesedaran kebangsaan pada pembaca-pembaca dari golongannya sendiri... dapat mendidik pembaca masing-masing untuk menanam sikap dan pandangan yang melampaui batas kaum dan golongan masing-masing…”


Semoga bakti, tekad dan hasrat A Samad Ismail terus tumbuh mekar, khasnya dalam dunia di mana gempuran media massa semakin menggempur dan bersaing. Dunia kewartawanan memerlukan “bangsawan berfikir” dalam istilah Tirto Adhi Soerjo, ataupun “inteligensia berfungsi” yang dikonsepsikan oleh Syed Hussein Alatas.


Semoga juga forum peringatan 100 Tahun A Samad Ismail anjuran Mastera Singapura, Nusantara Bergerak, yang sama digerakkan oleh beberapa anak muda dalam Sahabat Sastera (Majlis Bahasa Melayu Singapura) dan Jurnal Sang Pemula (Malaysia) akan merintis dan menggilap minat anak-anak muda untuk terus terilham oleh para tokoh pemikir terdahulu.


Itulah juga teladan yang telah ditunjukkan oleh A Samad Ismail. Tabik kagum kepada beliau. Kita sudahi dengan barisan kalimat dari puisi beliau berjudul “Bicara Dengan Teman Lama".


Cita-cita kau dan kita semua

Wahai sahabatku,

Tingginya tujuh petala langit,

Dalamnya tujuh petala bumi,

Dunia terbentang begitu luas

Untuk kita berkelana,

Inilah cabaran kita

Wahai sahabatku.

Tanpa mengira generasi

Tanpa mengira keturunan

Tanpa mengira bangsa


Kau dan aku harus bahu membahu

Tanpa bosan dan lesu

Tanpa was-was dan ragu,

Merangsang dan mengilham bangsa

Menerima perubahan

Dalam peralihan menuju era gemilang.”


Sabtu, 7 Disember 2024

นักการศาสนาจากปาตานีในประเทศมาเลเซีย

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ในหัวข้อเรื่องชื่อว่า นักการศาสนาจากปาตานีในประเทศมาเลเซีย เป็นหัวข้อที่ผู้เขียนนำมาจากหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี ที่เขียนโดย คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี และผู้เขียนได้แปลขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าของโครงการแปลหนังสือวิชาการ  โดยผู้เขียนได้นำเรื่องที่คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ได้เขียนขึ้นเกี่ยวกับนักการศาสนาที่เป็นชาวปาตานีในมาเลเซีย


แต่ที่แน่ชัดที่สุดในบรรดาผู้อพยพมาจากปาตานี หรือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปยังประเทศมาเลเซียเหล่านี้คือ  บรรดานักการศาสนา ไม่เหมือนผู้อพยพที่ไม่ใช่นักการศาสนา  ส่วนใหญ่จะหายไปภายหลังจากการสูญหายไปของตัวเขาหรือบทบาทของเขา ชื่อนักการศาสนาเหล่านี้ยังคงอยู่ตลอดสมัยด้วยปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญเพราะเขาได้ทิ้งงานเขียนและศิษย์ที่สืบทอดแนวคิดของเขาภายหลังเขาตายไปแล้ว


เช่นในรัฐตรังกานู มีนักการศาสนาชาวปาตานีรุ่นแรกที่ค้นพบได้ว่าอพยพไปยังรัฐตรังกานูดารุลอีมานแห่งนี้ คือ เชค อับดุลกาเดร์ บูกิต บายัส (Sheikh Abdul Kadir Bukit Bayas) เชื่อว่าเขามารัฐตรังกานูราวต้นศตวรรษที่ 19 เสียอีก เพราะความปราดเปรื่องของเขา เขาถึงถูกแต่งตั้งให้เป็นครูสอนศาสนาในพระราชวัง  พร้อมเป็นมุฟตี หรือผู้นำฝ่ายศาสนาแห่งรัฐตรังกานู  โดยสุลต่านโอมาร์  (ค.ศ. 1839 – 1876)  ภายหลังจากเขายังมีโต๊ะเชคดูยง, ตวนฮาซัน  เบอซุท  และตวนฮัจญีฮุเซ็น  บ้านกำปงลาปู  พร้อมบุตรของเขาที่ชื่อโต๊ะครูฮัจญีมูฮัมหมัด  พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักการศาสนาที่มีชื่อเสียงของรัฐตรังกานูในศตวรรษที่  19  (ยกเว้น  2  คนหลังที่มีชีวิตอยู่จนถึงต้นศตวรรษที่  20)  ได้สร้างลูกศิษย์จำนวนมาก  งานเขียนในรูปของตำราศาสนา  พร้อมมีความเสียสละไม่น้อยในด้านการดำรงอยู่ของหลักการศรัทธาและจิตวิญญาณของประชาชนรัฐตรังกานู

ส่วนในรัฐเคดะห์นั้น  นักการศาสนาจากปาตานี หรือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีชื่อเสียงมาก  คือ  โต๊ะเชคยารุม  เขาดั้งเดิมมาจากบ้านบันดัง  บาดัง, ปัตตานีได้อพยพไปยังรัฐเคดะห์  ตอนปลายศตวรรษที่  19  ด้วยการเปิดปอเนาะที่เดอร์ฆา  (ถนนลังฆาร์)  ชื่อที่แท้จริงของเขาคือฮัจญีวันอิดริส  บินฮัจญีวันยามาล  แต่ที่ได้ชื่อว่า  เชคยารุม  (เข็ม)  เพราะความแหลมคนของความคิด  และความรัดกุมของเขาเมื่อได้ถกปัญหา  ภายหลังจากเขาแล้วคือ  ฮัจญีอิสมาแอล  บิน  มุสตาฟา  (บิดาของโต๊ะครูฮัจญีฮุเซ็น  โต๊ะจิโดล), ปะจูฮิม  การเยาะมาตีและอื่น ๆ อีก  สำหรับที่รัฐสลังงอร์แล้ว  มีบันทึกชื่อ เชคคุลอิสลาม หรือผู้นำฝ่ายศาสนาคนหนึ่งที่รู้ว่ามาจากปาตานี  คือ  เต็งกูมาห์มุดซุห์ดี  บินเต็งกูอับดุลราห์มาน


ที่เซอเบอรังไปรในพื้นที่สุไหงดูวา  มีนักการศาสนาชาวปาตานีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งมาสอนและเปิดปอเนาะที่นั่น  เขาคือตวนมีนาล  หรือ  ชื่อจริงว่าฮัจญีไซนัลอาบีดิน  บินอาหมัด  หรือมูฮัมหมัด  ผู้เขียนตำราชื่อ  Kashf al-Lithan และ  Aqidat al Najin เล่มที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น  เขาเสียชีวิตที่ปาดังลาลัง, สุไหงดูวา  วันเดือนปีนั้นข้าพเจ้ายังไม่ค้นพบ


สำหรับในรัฐกลันตัน  จำนวนผู้อพยพชาวปัตตานีไม่ว่าอยู่ในกลุ่มใดทั้งนักการศาสนาหรืออดีตผู้มีความเห็นต่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนมีเป็นจำนวนมาก  มีมากกว่าในบรรดารัฐอื่น ๆ การอพยพของประชาชนปาตานีไปยังรัฐกลันตันรวมทั้งครอบครัวเจ้าเมืองและบรรดาขุนนางทั้งหลาย

ความจริงเนื้อที่ไม่เพียงพอสำหรับการบันทึก  แม้ว่าเพียงครอบครัวที่มีชื่อเสียงในรัฐกลันตันปัจจุบันที่มีบรรพบุรุษมาจากปาตานี  ยังไม่ได้รวมถึงกลุ่มประชาชนทั่วไปเป็นที่แน่ชัดว่าใครก็ตามที่เป็นคนมลายูกลันตันในปัจจุบัน  พวกเขาจะพูดด้วยความรวดเร็วทันทีว่า  “แน่นอนข้าพเจ้ามีญาติพี่น้องที่ปาตานี”  ซึงชัดเจนที่สุดสำหรับพวกเขาที่อยู่ในอำเภอตุมปัต อำเภอปาเสมัส อำเภอตาเนาะห์  แมเราะ และอำเภอโกตาบารู รัฐกลันตัน


นอกจากการ  “อพยพ”  ไปยังบรรดารัฐต่างๆในแหลมมลายู  ประชาชนปาตานีมีจำนวนมากที่อพยพไปยังนครมักกะห์  และรัฐมลายูอื่น ๆ ในภูมิภาคมลายู  มีหลายครอบครัว  ชาวปาตตานีได้อพยพไปยัเมืองซัมบัสและเมืองปอนเตียนนักในจังหวัดกาลีมันตันตะวันตก  ไปยังหมู่เกาะเรียว  และฝั่งทะเลตะวันออกของสุมาตรา  แล้วยังมีที่ไปถึงบรูไนและอาเจะห์