Khamis, 27 Julai 2017

บ้านตะโละมาเนาะ : จากนักการศาสนายุคก่อนสู่นักการศาสนายุคใหม่

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม  เดิมนั้นประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ-ฮินดู  สำหรับการเข้ามาของศาสนาอิสลามสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น  มีหลักฐานการเผยแพร่เข้ามาสู่ภูมิภาคนี้  โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พูดภาษามลายู/อินโดเนเซีย เช่น ประเทศมาเลเซีย  อินโดเนเซีย  บรูไน  สิงคโปร์ รวมทั้งภาคใต้ฟิลิปปินส์และจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย  นักวิชาการได้ตั้งทฤษฎีการเข้ามาของศาสนาอิสลามสู่ภูมิภาคนี้หลายทฤษฎีด้วยกัน  หนึ่งในทฤษฎีดังกล่าวได้กล่าวว่าการเผยแพร่ศาสนาอิสลามยังดินแดนต่างๆเหล่านี้โดยชนชาวอาหรับจากประเทศในตะวันออกกลาง และการเผยแพร่ศาสนาอิสลามของชนชาวอาหรับ  โดยเฉพาะชนชาวอาหรับที่มาจากดินแดนฮัดราเมาต์ (Hadramaut) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเยเมน  ที่รู้จักกันในนามของชาวอาหรับฮัดรามี (Hadrami Arabs)

การเข้ามาของชาวอาหรับในจังหวัดชายแดนภาคใต้
สำหรับการเข้ามาของชาวอาหรับในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีอยู่ 2 กลุ่ม   สำหรับกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เข้ามานับร้อยปีมาแล้ว  กลุ่มนี้ได้แต่งงานกับชนพื้นเมือง  จนผสมกลมกลืนกลายเป็นกลุ่มพื้นเมือง  ซึ่งส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่รู้รากเหง้าของตนเอง  สิ่งนี้สอดคล้องกับการศึกษาของสมาคมชาวมาเลเซียเชื้อสายชาวอาหรับฮัดรามี  ที่ได้กล่าวว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายชาวอาหรับฮัดรามีส่วนหนึ่งในประเทศมาเลเซีย  ไม่รู้รากเหง้าของตนเองว่าเป็นเชื้อสายอาหรับฮัดรามี  ส่วนกลุ่มที่สอง  เป็นกลุ่มที่เข้ามาในช่วงหลัง  กลุ่มนี้ยังคงมีความป็นอาหรับค่อนข้างสูง

สำหรับในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น  การเข้ามาของศาสนาอิสลามยังดินแดนนี้  ชนชาวอาหรับฮัดรามีก็มีส่วนสำคัญในการที่ทำให้เจ้าเมืองปาตานีเข้ารับศาสนาอิสลาม  โดยเชคซาอิด อัล-บาซีซา (Sheikh Said Al-Basisa) ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านปาไซ  ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเมืองปาไซ  เกาะสุมาตรา  ได้ทำให้เจ้าเมืองปาตานี เข้ารับศาสนาอิสลาม จนกลายเป็นสุลต่านอิสมาแอล ชาห์ (Sultan Ismail Shah)    การเข้ามาของชนชาวอาหรับฮัดรามีในดินแดนปาตานีนั้น มีมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 15  ทำให้บุตรหลานของชนชาวอาหรับฮัดรามีเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้นำทางศาสนาอิสลาม  เช่น เชคดาวุด อับดุลลอฮ อัล-ฟาตานี  (Sheikh Daud Abdullah Al-Fatani) รวมทั้งบรรดานักการศาสนาที่มาจากชุมชนบ้านเบินดังดายอ (Kg. Bendang Daya) จังหวัดปัตตานี  

การที่บุตรหลานชาวอาหรับฮัดรามีเหล่านี้ได้มีการผสมกลมกลืน มีการแต่งงานกับชาวพื้นเมือง  ทำให้บุตรหลานของชนชาวอาหรับฮัดรามีเหล่านี้รับวัฒนธรรมมลายู จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวมลายู  ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มเชื้อสายชาวอาหรับฮัดรามีที่ กลายพันธุ์ ในเวลาต่อมา  ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่รู้รากเหง้าของตนเองว่ามาจากชนชาวอาหรับฮัดรามี   กลุ่มเชื้อสายชาวอาหรับฮัดรามีที่ กลายพันธุ์เหล่านี้จะรวมถึงตระกูลเครือญาติลูกหลานของวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวี แห่งชุมชนบ้านตะโละมาเนาะด้วย

สำหรับตระกูลเครือญาติลูกหลานของวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวี ก็เช่นเดียวกัน  ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้รากเหง้าของตนเองว่ามาจากเชื้อสายอาหรับฮัดรามี ถึงอย่างไรก็ตามตระกูลเครือญาติลูกหลานของวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวี โดยเฉพาะกลุ่มสูงวัย  ยังคงมีการท่องจำและรักษาบทกวีที่มีชื่อว่า “Syair Sheikh Aidrusi” หรือ "บทกวีเชคอิดรุซี เป็นบทกวีที่กล่าวถึงความเป็นมาบรรพบุรุษของพวกเขา  ซึ่งมีใจความดังนี้

                                                Syair  Sheikh  Aidrusi
Serkau muda  datang dari Makkah
Sekarang boleh Tuan Sheikh Aidrusi (Al-Idrus)
Sebawa turun ke Negeri Patani
Sefaham boleh segala mufakir
Fakirun ala binurul qadri
Lahul arsyi alai hissalam

                                                           บทกวีเชคอิดรุซี
                                                 นับแต่เยาว์วัยได้เดินทางมาจากนครมักกะห์
    ปัจจุบันได้กลายเป็นท่านเชคอิดรุซี
    ได้นำพามายังเมืองปาตานี
    ทุกสิ่งได้มาซึ่งความรอบรู้
    นำแสงสว่างมาสู่ทั้งมวล
    ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านเชค

ความเป็นมาของตระกูลเครือญาติมัสยิดตะโละมาเนาะนั้นเริ่มจากท่านวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวี (Wan Hussein As-Sanawi)นักการศาสนาอิสลามแห่งหมู่บ้านสะนอ จังหวัดปัตตานี ได้พาครอบครัวซึ่งประกอบด้วยภรรยาชื่อ อุมมีกัลซุม (Ummi Kalsom)และผู้ติดตามจำนวนหนึ่งอพยพหนีจากภัยสงครามระหว่างสยามกับปาตานีในอดีต  โดยมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเชิงเขาบูโด  อำเภอบาเจาะ  จังหวัดนราธิวาส  การจัดตั้งชุมชนใหม่ที่ชื่อว่าบ้านตะโละมาเนาะนั้น  นำชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ต้นมาเนาะมาเป็นชื่อหมู่บ้าน  ส่วนคำว่าตะโละ (Teluk) นั้นแปลว่า อ่าว  รวมแล้วชื่อหมู่บ้านตะโละมาเนาะมีความหมายว่า หมู่บ้านที่มีต้นมาเนาะ  ซึ่งมีหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงมีร่องรอยของต้นมาเนาะอยู่  เมื่อมีสร้างชุมชนใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็ได้มีการสร้างมัสยิดขึ้นมาเรียกชื่อในภายหลังว่า มัสยิดวาดีฮุสเซ็น (Masjid Wadil Hussein)  ตามชื่อของท่านวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  แต่ส่วนใหญ่จะรู้จักในนามของมัสยิดตะโละมาเนาะ   จนถึงปัจจุบันบุตรหลานของท่านวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  ได้กระจัดกระจายอยู่ทั่ว  นอกจากตั้งถิ่นฐานในภาคใต้ของประเทศไทยแล้ว  ยังได้อพยพไปยังประเทศมาเลเซีย,  ประเทซาอุดีอาราเบีย และประเทศจอร์แดน  

ส่วนหนึ่งของบุตรหลานตระกูลเครือญาติมัสยิดตะโละมาเนาะได้มีบทบาทในสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้   โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาสนั้น  ถือได้ว่าเป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานใหญ่ของตระกูลเครือญาติมัสยิดตะโละมาเนาะ จากการสำรวจเพื่อจัดทำทะเบียนตระกูลเครือญาติมัสยิดตะโละมาเนาะ โดยใช้ชื่อการจัดทำทะเบียนตระกูลในครั้งนั้นว่า เครือญาติตระกูลอัล-ฮามีดียะห์ (Salasilah Al-Hamidiah)  ตามนามของท่านฮัจญีอับดุลฮามิด  อับดุลกาเดร์ อัส-ซานาวี ผู้เป็นบุคคลแรกๆที่ได้ดำเนินการจัดทำทะเบียนตระกูล  ปรากฏว่ามีบุตรหลานตระกูลเครือญาติมัสยิดตะโละมาเนาะที่สืบเชื้อสายมาจากท่านวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวีกับท่านอุมมีกัลซุม ประมาณ 7,000  คน   แต่ในการศึกษาครั้งนี้จะทำการศึกษาเฉพาะในอำเภอบาเจาะ  จังหวัดนราธิวาส และบริเวณใกล้เคียง คือบริเวณอำเภอยี่งอ  จังหวัดนราธิวาส และอำเภอสายบุรี  จังหวัดปัตตานี  ซึ่งในพื้นที่การศึกษานั้นตระกูลเครือญาติมัสยิดตะโละมาเนาะมีบทบาททั้งในด้านผู้นำชุมชน ผู้นำสังคม  ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรี  นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)  กำนัน  ฯลฯ  ส่วนบทบาททั้งในด้านผู้นำทางศาสนาอิสลามนั้น  มีทั้งที่เป็นโต๊ะอิหม่าม  กรรมการคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด  รวมทั้งเป็นเจ้าของโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามอีกจำนวนหนึ่ง

มัสยิดวาดิลฮุสเซ็น ตั้งอยู่ที่บ้านตะโละมาเนาะ อยู่ในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส มัสยิดแห่งนี้ถือว่าเป็นมัสยิดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งที่พบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส แม้ว่าจะไม่มีบันทึกเวลาการก่อสร้างมัสยิด แต่เชื่อว่ามัสยิดแห่งนี้เป็นมัสยิดที่เก่าแก่และมีความสวยงามอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคมลายู (Nusantara) อายุของมัสยิดแห่งนี้ นับว่าเป็นการยากที่จะคำนวญอายุที่แท้จริง มีทั้งที่กล่าวว่า 380 ปี ซึ่งจริงๆแล้วอายุนั้นอาจจะไม่ถึงก็ได้ เพราะมีข้อสงสัยและยังหาข้อพิสูจน์ยังไม่ได้ ผู้วิจัยเองเป็นลูกหลานชั้นที่ 7 ของท่านวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวี ผู้ก่อสร้างมัสยิด ซึ่งจริงๆผู้ก่อสร้างต้องมีหลายคนอยู่แล้ว ทั้งชาวบ้าน นายช่าง บรรดาผู้นำ หรือผู้ที่ได้รับการนับถือมักสั่ง หรือ ชี้นิ้วอย่างเดียว พอมีการบันทึกมักบันทึกชื่อผู้นำคนเดียว จากในอดีตที่ผู้วิจัยได้พูดคุย สัมภาษณ์ บันทึก คำพูดคุยของฮัจญี อับดุลฮามิด หรือรู้จักในนามของปะดอดูกู จากบ้านดูกู อำเภอบาเจาะ ได้กล่าวว่ามัสยิดตะโละมาเนาะสร้างโดยบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ วันฮุสเซ็น ซานาวี นักการศาสนาผู้ท่องจำอัล-กุรอ่านทั้งเล่มแห่งบ้านสะนอ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี วันฮุสเซ็นเป็นพี่น้องปู่ของนักการศาสนาที่มีชื่อเสียงของปัตตานีที่มีชื่อว่า เชคดาวุด อัล-ฟาตานี วันฮุสเซ็น ถือว่าเป็นบุคคลแรกที่บุกเบิกบ้านตะโละมาเนาะ

ถ้าดูอย่างผิวเผิน ไม่ว่าดูตัวจริงหรือรูปถ่าย สถาปัตยกรรมและโครงสร้างอาคารมัสยิดเก่าแก่แห่งนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมและโครงสร้างของมัสยิดกำปงลาอุต ซึ่งอายุของมัสยิดแห่งนั้นก็ไม่รู้แน่ชัด ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทั้งสองมัสยิดนี้มีความเกี่ยวพันกัน หรืออย่างน้อยทั้งสองมัสยิดนี้ก่อสร้างในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน จนกระทั่งรูปแบบสถาปัตยกรรมมีส่วนคล้ายกันมาก บ้านตะโละมาเนาะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาบูโด ในจังหวัดนราธิวาสซึ่งเป็นเทือกเขาใหญ่และสำคัญ เริ่มจากบ้านต้นไทรทางด้านทิศเหนือตั้งทอดยาว จรดถึงยี่งอทางด้านทิศใต้ ส่วนทางทิศตะวันออกนั้นเป็นทุ่งนากว้างใหญ่ สำหรับทิศตะวันตกเป็นภูเขาแห่งเทือกเขาบูโด กลางหมู่บ้านตะโละมาเนาะมีธารน้ำสายหนึ่งไหลมาจากภูเขาลงสู่ไร่นา ที่ตั้งมัสยิดและบรรดาบ้านเรือนตั้งอยู่ด้านเหนือของธารน้ำ ส่วนด้านใต้ของธารน้ำเป็นบริเวณสุสานที่กว้างปราศจากพุ่มไม้ ชื่อมัสยิดเชื่อว่ามาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง จากการสอบถามชาวบ้านได้ความว่าในบริเวณสายธารนั้นมีต้นไม้ที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นมาเนาะ ผู้วิจัยเชื่อว่าตะโละมาเนาะน่าจะมาจากชื่อต้นไม้(ต้นมาเนาะ)มากกว่าที่จะมาจากคำว่ามาเนาะที่เป็นคำมลายูโบราณที่แปลว่านก หรือ ไก่ ปัจจุบัน คำว่ามาเนาะ (manok)ที่แปลว่า ไก่ ยังคงมีการใช้อยู่ เช่นในภาษาตากาล๊อก (ฟิลิปปินส์), ภาษาบายาว (bajau)ในรัฐซาบะห์ รวมทั้งชาวมอแกนในแถบจังหวัดอันดามันของไทยก็ใช้คำนี้

สำหรับชื่อมัสยิดนี้ไม่เป็นที่ปรากฎว่ามีการใช้ชื่อ มัสยิดวาดิลฮุสเซ็นตั้งแต่เมื่อไร ผู้วิจัยเคยค้นเอกสารเก่าๆบนที่ว่าการอำเภอบาเจาะก็ปรากฎว่าพบคำว่ามัสยิดตะโละมาเนาะ หรือแม้ว่า Tan Sri Mubin Sheppard ในหนังสือที่ชื่อว่า Taman Indera พิมพ์ปี 1972 ซึ่งเขาเดินทางมาที่มัสยิดแห่งนี้ถึงสองครั้ง ในหนังสือดังกล่าวก็ไม่ปรากฎว่าเขียนชื่อมัสยิดวาดีฮุสเซ็น จะมีก็แต่มัสยิดตะโละมาเนาะ นอกจากนั้นมี footnote เขียนว่ามัสยิดแห่งนี้มีอายุประมาณ 200 ปี  ถึงแม้ว่ามัสยิดนี้จะเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดามัสยิดสมัยปัจจุบัน แต่เสาและไม้โครงที่ใหญ่และมองแล้วไม่สมดุลกับความกว้างและความยาวของมัสยิด ไม้ทั้งหมดเป็นไม้ตะเคียนที่ได้จากภูเขาบูโด ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณนั้นไม่เหล่านี้ไม่ได้ใช้เลื่อย แต่ทำให้เรียบโดยใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่าขวานเล็ก (Beliung) เกือบทั้งหมดของอาคารมัสยิดไมใช่ตะปู สำหรับบริเวณที่ต้องใช้ตะปู ตะปูที่ใช้เป็นตะปูที่ผลิตเองโดยช่างตีเหล็กในพื้นที่จากคำบอกเล่าของปะดอดูกู เป็นเวลา 100 ปี ที่สร้างมัสยิดนี้คงใช้หลังคามุงจากเฉกเช่นเดียวกันกับบ้านในอดีต ภายหลังเมื่อมีอิฐสงขลา หลังคามุงจากจึงถูกแทนที่ หลังคาจำเป็นต้องใช้เพราะการใช้อิฐสงขลา หลังคามุงจากจึงถูกแทนที่ หลังจากจำเป็นต้องใช้เพราะการใช้อิฐสงขลานี้ ซึ่งทำมาจากปูนผสมกับน้ำตาลมะพร้าว และยางมะตอย ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นซีเมนต์ดังเช่นปัจจุบันนี้ เมื่อปี 2541 กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี่มาเลเซียได้ทำการศึกษาสถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้เป็นเวลา 1 เดือน โดยมีผู้วิจัยเป็นพี่เลี้ยงของกลุ่มนักศึกษาดังกล่าว จากการศึกษาครั้งนั้น มีการค้นพบการสลักชื่อผู้แกะสลักดอกไม้ประดับมัสยิด

ก่อนที่มีการบุกบิกเป็นหมู่บ้าน ตะโละมาเนาะเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์ เป็นที่ล่ากวางและสัตว์อื่น ๆ ชาวบ้านในท้องถิ่นที่ได้พบมากล่าวถึงเรื่องราวที่สนุกสนานในการล่าสัตว์ของบรรพบุรุษของพวกเขา ได้เล่าว่ามีกวางจำนวนมากในป่าเทือกเขาบูโดในขณะที่ล่านั้น บรรดาสัตว์เหล่านี้บางครั้งวิ่งหนไปใต้ถุนมัสยิด จนถึงปัจจุบัน  นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงสิ่งของซึ่งเป็นสมบัติของมัสยิดคัมภีร์อัล-กุรอ่านเขียนด้วยมือ 7 เล่ม ตำราศาสนาเก่าซึ่งเขียนด้วยมือเช่นกัน (หนังสือต้นฉบับ), ขวานเล็ก, กระทะใหญ่ 1 ใบ สามารถหุงข้าวให้บรรดาแขกกินได้ถึง 300 คนและอื่น ๆ อีก นอกเหนือจากขวานเล็กที่สรรพสิ่งมีชีวิตไม่อาจทำลายได้สมบัติทั้งหมดของมัสยิดได้เกิดความเสียหายไปแล้ว คัมภีร์อัล-กุรอ่านและบรรดาตำราศาสนาถูกสภาพสิ่งแวดล้อมทำหายไป และบางเล่มได้หายไป ส่วนกระทะใหญ่ที่ถูกเก็บรักษาไว้ใต้ถุนมัสยิดเกิดเป็นรูรั่ว และต่อมาเกิดแตกร้าวเป็นชิ้น ๆ จนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป นับตั้งแต่กระทะใหญ่ของมัสยิดเกิดความเสียหาย เราไม่เคยเห็นกระทะใหญ่ขนาดเท่ากระทะใบนั้นอีกเลยชาวบ้านคนหนึ่งได้กล่าวไว้ เขาได้บอกว่ากระทะดังกล่าวสำหรับใช้ในการทำพิธีสำคัญ ๆ ทางศาสนาที่มัสยิด  พื้นที่บริเวณมัสยิดเคยเป็นที่พักอาศัยของบรรดานักศึกษาปอเนาะ ในสมัยที่ฮัจญีอับดุกาเดร์ เป็นอิหม่ามมัสยิดพร้อมทั้งเป็นโต๊ะครูปอเนาะ เขาเป็นหนึ่งในบรรดานักปราชญ์ศาสนาปัตตานี ถึงแม้ว่าไม่มีชื่อเสียงมากนัก ซึ่งเคยทำการสอนศาสนาที่นครมักกะห์เป็นเวลาถึง 20 ปีก่อนกลับมายังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปอเนาะแห่งนี้มีอายุได้ไม่นานนัก บทบาทของปอเนาะแห่งนี้อาจมีน้อยกว่าปอเนาะบางแห่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้มัสยิดตะโละมาเนาะไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก บางคนอาจไม่เห็นความสำคัญด้วยซ้ำไป การสร้างชื่อเสียง หรือการเผยแพร่ชื่อเสียงของมัสยิดแห่งนี้ แม้ผู้เริ่มต้นคงมีความต้องการใช้กระแสทางการเมืองเพื่อสนับสนุนตนเองในการสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดนราธิวาส แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ถ้านายเสนีย์ มะดากะกุล อดีตอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ไม่ทำการเผยแพร่ชื่อเสียงมัสยิดแห่งนี้โดยการจัดงานครบรอบ 350 ปี  แม้ผู้วิจัยไม่เห็นด้วยกับอายุดังกล่าว แต่เชื่อว่าการทำให้อายุแก่กว่าความเป็นจริง ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างความขลังให้กับมัสยิด วันนี้ผู้คนก็อาจยังไม่รู้จักมัสยิดแห่งนี้ ปัจจุบันมีการจำลองมัสยิดตะโละมาเนาะเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อิสลามในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

สำหรับความเป็นมาของตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวีนั้น  ได้มีการศึกษาโดยนักวิชาการหลายท่าน  ซึ่งการศึกษาดังกล่าว  สามารถทำให้เห็นภาพความเป็นมาของตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  โดยโยงถึงเครือญาติในระดบกว้างของตระกูลนี้
                  
              การก่อสร้างมัสยิดยุคแรกเริ่ม
             การเปลี่ยนแปลงมัสยิดครั้งที่หนึ่ง
             การเปลี่ยนแปลงมัสยิดครั้งที่สอง
การเปลี่ยนแปลงมัสยิดครั้งที่สาม
บทบาทของลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี
ลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งทางด้านสังคม  การศึกษา และการเมืองนั้น สามารถกล่าวได้ว่ามีบทบาทมากไม่แพ้ตระกูลอื่นๆ

บทบาทด้านการบันทึกประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้การบันทึก หรือศึกษาประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ประวัติศาสตร์ปาตานี ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของสังคม  มีบุคคลที่เป็นลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวี  อยู่ 2 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบันทึก หรือศึกษาประวัติศาสตร์ปาตานี คือนายอับดุลลออ  ลออแมน  เป็นนักวิชาการอิสระ  แม้ไม่ได้เรียนมาทางวิชาการประวัติศาสตร์ แต่มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ปาตานี  ได้รับการศึกษาจากกรุงเทพฯ  เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสารมุสลิมที่ชื่อว่า นิตยสารอัล-ญีฮาด  ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับจากสังมมุสลิมในประเทศไทย  สำหรับผลงานเขียนนั้น  ถ้าเป็นงานเขียนทั่วไป  งานเขียนเชิงวิชาการ จะใช้ชื่อว่า นายอับดุลลอฮ  ลออแมน ส่วนถ้าเป็นเขียนด้านประวัติศาสตร์  จะใช้ชื่อว่า อ. บางนรา   สำหรับผลงานที่ค่อนข้างสร้างชื่อเสียงให้แก่เขา คืองานเขียนที่ชื่อว่า  ปัตตานี : อดีตและปัจจุบัน   หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษามลายูในชื่อว่า Patani : dulu dan sekarang  จัดพิมพ์ในประเทศมาเลเซีย  หนังสือเล่มนี้ได้รับการอ้างอิงจากนกวิชาการที่เขียนงานวิชาการและวิทยานิพนธ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ   ผลงานด้านประวัติศาสตร์ก่อนเสียชีวิต คือ งานเขียนประวัติศาสตร์ปาตานี ในชื่อ ปัตตานี : ประวัติศาสตร์  การเมืองในโลกมลายู ร่วมกับ พล.ต.ต. จำรูญ  เด่นอุดม

นายมูฮัมหมัดซัมบรี  อับดุลมาลิก  (Mohammad Zamberi Abdul Malek)  เป็นลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  ที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในรัฐเปรัค  ประเทศมาเลเซีย   เป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข  ต่อมาได้รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยมาลายา  ภายหลังได้รับตำแหน่งเป็นนักวิชาการรับเชิญ หรือ fellow ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย (Universiti Kebangsaan Malaysia)   ต่อมาเป็นนักวิชาการรับเชิญ หรือ fellow ของมหาวิทยาลัยมาลายา   งานเขียนด้านประวัติศาสตร์ปาตานี ที่สร้างชื่อเสียงแก่เขา และได้รับการอ้างอิงและยอมรับจากสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้  คือ ปัตตานี : ประวัติศาสตร์ และการเมือง หรือชื่อในภาษามลายู คือ Patani : Sejarah dan Politik   ต่อมาเนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ทางพล.ต.ต. จำรูญ  เด่นอุดม ได้นำไปใช้ในการเขียนหนงสือที่ชื่อว่า ปาตานี ดารุสสาลาม

บทบาทด้านการศึกษา
บทบาทลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทางด้านการศึกษานั้น ที่สามารถกล่าวได้ว่ามีบทบาทมากในสังมการศึกษา เช่น ผศ. ดร. อิสมาแอล   อาลี  เป็นนักวิชาการที่สืบเชื้อสายมาจากลูกหลานวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  สายบ้านยะกัง  อำเภอเมือง  จังหวัดนราธิวาส  เป็นนักการศึกษาที่จบปริญญาเอก  ด้านอิสลามศึกษา  จากประเทศซาอุดีอาราเบีย   เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมุสลิมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  เป็นข้าราชการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ คือ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี  ในปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นอามีรุลฮัจย์ (ผู้นำฮัจย์)ของประเทศไทย

ดร. ยูโซะ   ตาเละ   เป็นนักวิชาการที่สืบเชื้อสายมาจากลูกหลานวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี อีกนหนึ่งเป็นนักการศึกษาที่จบปริญญาโท จากประเทศปากีสถาน และจบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยอุตารามาเลเซีย   ประเทศมาเลเซีย  เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมุสลิมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  เช่นกัน    ตำแหน่งปัจจุบัน คือ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี 

นอกจากนั้นสถาบันการศึกษาเอกชน หรือ โรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามที่บุคคลจากลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  เกี่ยวข้องเช่น
            
ปอเนาะแรกๆที่เกิดขึ้นที่บ้านตะโละมาเนาะ ตามคำบอกเล่าของฮัจญีอับดุลฮามิด หรือที่รู้จักในนามของปะดอปอเนาะ ผู้เป็นบุตรเขยของโต๊ะดูกู คือปอเนาะที่สอนโดยฮัจญีอับดุลกอเดร์ ผู้เป็นบิดาของเขา ต่อมาหลังจากการยุติกิจกรรมของปอเนาะ ในพื้นที่บ้านตะโละมาเนาะ ก็ไม่มีอีกต่อไป แต่ลูกหลานของวันฮุสเซ็น อัส ซานาวี ที่กระจายไปทั่วก็ได้กลายเป็นนักการศาสนาอิสลามยุคใหม่ ซึ่งขอกล่าวมาพอสมควร

โรงเรียนมูฮัมหมัดดียะห์  บ้านบูเกะบากง เป็นโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นโดยคนในตระกูลหนึ่งจากสาแหรกของวันฮุสเซ็น อัส ซานาวี  โดยผู้ก่อตั้งจบการศึกษาจากประเทศอิรัค

โรงเรียนเจริญวิทย์วิทยา ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านตะโละมาเนาะ ราว 3 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่บ้านลุโละสาวอ  เป็นโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่จัดตั้งโดยคนในตระกูลบาตูเซ็ง  ซึ่งเป็นตระกูลสาแหรกหนึ่งของวันฮุสเซ็น อัส ซานาวี ปัจจุบันคือเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียงในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส  

โรงเรียนศิริธรรมวิทยามูลนิธิ(อัลอิสลาฮุดดีนีย์) ตั้งอยู่ในอำเภอบาเจาะ  จังหวัดนราธิวาส  เดิมเป็นการศึกษาปอเนาะ ซึงปอเนาะดูกู ก่อตั้งโดยท่านอาจารย์ ฮัจยีมูฮัมหมัดดาฮัน  บินซอลีย์ ในปี พ.ศ.2440  ต่อมาปี พ.ศ. 2504  โรงเรียนได้จดทะเบียนเป็นปอเนาะ  ปี พ.ศ. 2509  ได้แปรสภาพเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามโดยมีนายฮัจยีซำซูดิน ลามะทา เป็นเจ้าของผู้จัดการ และครูใหญ่    ปี พ.ศ. 2520  โรงเรียนได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่เป็นหลักสูตรประถมศึกษาตอนปลาย(ป.5-ป.7)สอนภาคศาสนาถึงชั้นปีที่ 7   ต่อมาปี พ.ศ. 2524  โรงเรียนได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงผู้บริหารคนเดิมเป็นนายมุสตาร์ ลามะทา ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี(วรรณคดี) ทางโรงเรียนได้ปรับปรุงกิจการโรงเรียนด้านการจัดการทั่วไปพร้อมกับได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและขยายชั้นเรียนเป็นหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่ระดับ 3 (ประถมศึกษาตอนปลาย)ถึง ระดับ 4 (มัธยมศึกษาตอนต้น) ในปี พ.ศ. 2552   นายมูฮำมัดซูลฮัน  ลามะทา วุฒิการศึกษา ปริญญาโทบริหารการศึกษา ได้รับการคัดเลือกสรรจากคณะกรรมการมูลนิธิศิริธรรมวิทยา ให้ดำรงตำแหน่งผู้รับใบอนุญาต และผู้จัดการคนใหม่ แทนท่านอาจารย์ นายมุคตาร์  ลามะทา ผู้รับใบอนุญาต  และประธานมูลนิธิศิริธรรมวิทยาที่ได้ถึงแก่กรรมเมื่อเดือน กรกฎาคม 2551  นายมูฮำมัดซูลฮัน  ลามะทา  ผู้บริหารโรงเรียนคนใหม่

โรงเรียนอัดดีนียาตุลอิสลามียะห์ ตั้งอยู่ในตำบลบาเระเหนือ อำเภอบาเจาะ  จังหวัดนราธิวาส 
ผู้รับใบอนุญาติ คือ นางรอซีด๊ะ แมเยาะ  มีนายฮาลีม ยากา เป็นผู้อำนวยการ   โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามประเภทบุคคลเป็นเจ้าของ   หลักสูตรศาสนา สอนเฉพาะมูตาวาซีเฏาะห์,ซานาวียะห์ หลักสูตรสามัญ สอนเฉพาะมัธยมต้น,มัธยมปลาย

โรงเรียนอัตตัรกียะห์อิสลามียะห์ เป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขตพื้นที่การศึกษานราธิวาส เขต 1 กระทรวงศึกษาธิการตั้งอยู่ในตำบลบางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส  เปิดทำการสอนตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2506 ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ . ศ . 2506 โดยนายหะยีดาโอ๊ะ หะยีมะดีเย๊าะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส กับคณะเป็นผู้ก่อตั้ง เริ่มแรกโรงเรียนอยู่ในความอุปถัมภ์ของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสเริ่มเปิดสอนเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ . ศ .2506 และในปีการศึกษา2519 มีนายซำซูดิน สะปิอิง ดำรงตำแหน่งครูใหญ่  นายซำซูดิน สะปิอิง เป็นลูกหลานตระกูลวันฮุสเซ็น  อัส-ซานาวี  สายอำเภอยี่งอ

ขบวนการอาเจะห์เสรี ตอนที่ 9

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
ตามคำสารภาพของฮาซัน  ตีโรว่าตัวเขาเองได้พบกับ ริชเร็ด  นิกสัน  ประชานาธิปดีสหรัฐอเมริกา  ได้ขอให้ RRC มอบอาวุธช่วยเหลือของรัฐบาลอเมริกาแก่ประชนชาวอาเจะห์  จามิลได้กล่าวแก่ฮาซัน  ซาเละห์ว่าบรรดาผู้นำอาเจะห์ได้เห็นชอบกับการชักชวนของฮาซัน  ตีโร  ดังนั้นอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอิสลามอาเจะห์  ผู้นี้จึงถูกขอร้องให้กลับไปยังอาเจะห์  และเข้าร่วมกับบรรดานักต่อสู้ที่หมู่บ้านของเขาอีกครั้ง  ขณะนั้น  ฮาซัน  ซาเละห์กล่าวว่าตัวเขาเองไม่มั่นใจกับคำบอกเล่าของฮาซัน  ตีโร  ดังนั้นเขาจึงปฎิเสธการเข้าร่วม  อย่างไรก็ตามเขาได้เตือนผ่านจามิล  ว่าการก่อกบฏนั้นไม่สมควรเกิดขึ้นอีก  เพราะมีแต่จะสร้างความสูญเสียแก่ประชาชนชาวอาเจะห์   นอกจากนั้น  ฮาซัน  ซาและห์  ได้เดินทางกลับยังอาเจะห์  เพื่อพบปะเพื่อนๆ  ของเขาสมัยร่วมก่อกบฏดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดนีเซียขอร้องไม่ให้ปฏิบัติตามความต้องการของฮาซันตีโร  เขายังไปพบกับ ดาวุด บือเระห์ของร้องไม่ให้สนับสนุนฮาซัน ตีโร  แต่ความพยายามของเขาไม่ประสบผลสำเร็จ  เพราะประชาชนชาวอาเจะห์ได้เกิดจิตวิญญาณการก่อกบฏอีกครั้งแล้ว

ฮาซัน ซาเละห์เองมีโอกาสถูกผู้ว่าราชการจังหวัดอาเจะห์ที่ชื่อว่า  มูซากีร์  วาลัด  และผู้บัญชาการทหารภาคอิสกันดาร์มูดาที่ชื่อพันเอก  อาหมัด อัสนิมให้เข้าพบ  ทั้งสองได้แสดงหลักฐานแผนการก่อกบฏของฮาซัน ตีโร  ที่ได้รับการสนับสนุนจาก  ดาวุด  บือเระห์  จากหลักฐานเหล่านั้นทหารจึงมีวัตถุประสงค์ต้องการจับกุม ดาวุด บือเระห์  แผนนี้ต่อมาถูกยกเลิกเพราะกลัวว่าจะยิ่งปลุกกระแสการก่อกบฏที่อาเจะห์ยิ่งขึ้น  ในที่สุด ดาวุด บือเระห์ถูกย้ายไปยังกรุง จาการ์ตา  เพื่อทำให้ห่างจากคนฮาซัน ตีโร  จนกระทั่งดาวุด  บือเระห์เสียชีวิต

ความจริงนั้นก่อนการจัดตั้งนั้น  ขบวนการอาเจะห์เสรีได้เกิดการแตกแยกแล้ว  สิ่งนี้เกิดจากความแตกต่างทางความคิดที่แหลมคม ระหว่างผู้นำรุ่นเก่ากับผู้นำรุ่นใหม่ของขบวนการ  ส่วนหนึ่งของผู้นำรุ่นเก่าต้องการให้กรอบการต่อสู้ของขบวนการอาเจะห์เสรีอยู่ในฐานของอิสลาม  มีเหตุผลสองประการที่เป็นแนวคิดของพวกเขา  ประการแรก   สิ่งนั้นเหมาะกับประวัติศาสตร์ที่ผูกพันกับอาเจะห์จนถึงปัจจุบัน เพราะอาเจะห์เป็นสถานที่แรกที่ศาสนาอิสลามเข้ามายังประเทศอินโดนีเซีย สิ่งนี้มีหลักฐานด้วยการเกิดของรัฐอิสลามสมุทราปาไซ  ความสำเร็จของรัฐอิสลามในอาเจะห์นี้  ได้มีอย่างต่อเนื่องจนถึงความสำเร็จของรัฐอิสลามอาเจะห์ดารุสสาลาม   ประการที่สอง  บรรดาผู้นำรุ่นเก่าของขบวนการอาเจะห์เสรีเป็นผู้นำของ ดารุลอิสลาม  ที่ยึดมั่นในกรอบการต่สู้ของพวกเขา

ส่วนกลุ่มคนหนุ่มเป็นกลุ่มของฮาซัน  ตีโรที่ต้องการให้ขบวนกรอาเจะห์เสรีเป็นขบานการสมัยใหม่ที เซคูลาร์ (Secular)  วัตถุประสงค์เพื่อให้ขบวนการอาเจะห์มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและเป็นประเด็นระหว่างประเทศ   สิ่งที่แปลกคือกลุ่ม ฮาซัน ตีโรต้องการให้ขบวนการอาเจะห์เสรีต่อสู้เพื่อจัดตั้งรัฐอิสระอาเจะห์   ที่มีระบบการปกครองแบบมีกษัตริย์ นี้คือเป็นความแตกต่างอย่างยิ่งกับระบบการปกครองท่กลุ่มเก่าต้องการ   ด้วยต้องการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามอาเจะห์   ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาเป็นมานานแล้ว

ในขั้นแรกนั้นขณะที่บรรดาผู้นำหัวรุนแรงอาเจะห์ได้จัดตั้งขบวนการอาเจะห์เสรี  ทั้งสองกลุ่มที่แตกต่างกันนี้ไม่ถึงกับเปิดเผย  แต่ละฝ่ายจะตั้งมั่นและซ่อนความต้องการของตนเอง  การเก็บเงียบความเป็นศัตรูระหว่างวัยครั้งนี้ทำให้การก่อตั้งขบวนการอาเจะห์เสรีเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบง่าย   บรรดาผู้นำรุ่นหนุ่มที่สนับสนุน ฮาซัน ตีโร  รู้ว่าจะต้องเก็บซ่อนความทะเยอทะยานของพวกเขาเอาไว้  ยิ่งแนวคิดการจัดตั้งขบวนการที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของอาเจะห์นั้น ก็เกิดขึ้นอีกครั้งจากส่วนใหญ่ของผู้นำ  และนักต่อสู้ดารุลอิสลาม  ที่มีประสบการณ์ทุกข์สุขกับขบวนการนับตั้งแต่ยุคอาณานิคมฮอลันดาและญี่ปุ่น  จากประสบการณ์เหล่านี้พวกเขาต้องการสืบทอดการต่อสู้เพื่อก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามที่อาเจะห์

หลังจากมีการพบปะหลายครั้งในสถานที่ต่างๆ  ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1977  มีการแถลงข่าวที่เชิงเขาฮาลีมุน  ที่อำเภออาเจะห์ปีดี  ในการแถลงข่าวครั้งนั้นมีการชุมนุมผู้นำและผู้นำการทหารของอดีตดารุลอิสลาม,ผู้นำสาธารณรัฐอิสลามอาเจะห์  หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เป็นลูกหลานชาวอาเจะห์  ภายหลังจากมีการพูดคุยที่ยาวนานกินเวลาถึง 4 วัน  พวกเขาก็ลงมติร่วมกันสร้างพันธมิตรเป็นขบวนการอาเจะห์อิสระ  บรรดาผู้นำทางการทหารของสาธารณรัฐอิสลามอาเจะห์ก็สลายตัวเข้าร่วมในองค์กรขบวนการอาเจะห์อิสระ  ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1977  ได้กำหนดเป็นวันประกาศเอกราชและการจัดตั้งขบวนการอาเจะห์อิสระ  หลังจากนั้น 4 วัน ตรงกับวันที่  24 พฤษภาคม 1977  บรรดาผู้นำขบวนการอาเจะห์เสรีก็ลงมติจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลขบวนการอาเจะห์เสรี  ด้วยการมีผู้นำที่มีจำนวนจำกัด  หลายต่อหลายตำแหน่งต้องทำหน้าที่ควบโดยผู้นำคนเดียว  มตินี้ได้รับการยอมรับจากผู้เข้าร่วมทุกคน

อย่างไรก็ตาม  ขณที่มีการเลือกผู้นำก็มีการแก่งแย่งกัน  ดาวุด บือเระห์  ผู้นำดารุลอิสลามได้เสนอให้ตำแหน่งผู้นำขบวนการอาเจะห์เสรีเป็นผู้นำของรัฐอาเจะห์ โดยมี ฮาซัน ตีโร เป็นผู้ดำรงตำแหน่ง  ความจริงขณะนั้นฮาซัน ตีโร ไม่ได้เข้าร่วมในการพบปะกันครั้งนั้น  ยิ่งเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในอาเจะห์  เพราะกำลังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา  ส่วนหนึ่งของผู้นำปฏิเสธข้อเสนอนั้น  อย่างไรก็ตามดาวุด บือเระห์  ได้ให้ความมั่นใจต่อบรรดาผู้นำผู้ก่อตั้งขบวนการอาเจะห์เสรีว่า  ฮาซัน ตีโรเป็นผู้นำหนุ่มที่มีแววไกล  เขาเป็นผู้นำท่ะเป็นความหวังของอาเจะห์ในอนาคต  ภูมิหลังของการศึกษาของเขาในสหรัฐอเมริกาเป็นความคาดหวังของ ดาวุด บือเระห์  ที่จะสามารถสืบทอดการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์เพื่อการมีเอกราชของอาเจะห์  ถึงแม้ว่าขณะนั้นเขามีอายุค่อนข้างน้อยแต่ ฮาซัน ตีโรไม่ใช่ผู้นำที่แปลกหน้าสำหรับดารุลอิสลาม   ในเดือนธันวาคม ปี1958   ขณะที่บรรดาผู้นำผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย/เปอร์เมสตา   และดารุลอิสลาม   กองทัพอิสลามอินโดเนเซียมีการพบปะกันที่เจนีวา ฮาซัน ตีโรก็ถือโอกาสเข้าร่วมประชุมและแสดงหลากหลายความคิดเห็น   ในที่นี้เองเป็นครั้งแรกที่ฮาซัน ตีโรเป็นที่รู้จักของบรรดานักต่อสู้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในอินโดเนเซีย

ในขณะที่เขาเดินทางกลับไปยังอาเจะห์ในปี 1975  ฮาซัน ตีโรได้เข้าร่วมหลายครั้งในการพบปะเฉพาะเมื่อพูดคุยถึงการเตรียมงาน  ในการจัดตั้งขบวนการอาเจะห์เสรีที่ภูเขาฮาลีมุน  ฮาซัน ตีโรได้พบปะบรรดาผู้นำหนุ่มและผู้นำปัญญาชนในอาเจะห์  ให้สนับสนุนขบวนการอาเจะห์เสรีอย่างเต็มที่ที่จะทำการประกาศจัดตั้ง  การที่ได้เห็นถึงบทบาทเหล่านี้และการให้ความมั่นใจของ เต็งกู มูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์  ในท่สุดผู้นำก่อตั้งทุกคนก็เห็นชอบเลือก ฮาซัน ตีโรเป็นผู้นำขบวนการอาเจะห์เสรี และควบตำแหน่งผู้นำของรัฐอาเจะห์แม้ว่าขณะนั้นไม่ได้อยู่ในอาเจะก็ตาม  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะบรรดาผู้นำก่อตั้งขบวนการอาเจะห์เสรีให้การเคารพความคิดเห็นของเต็งกู มูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์  สำหรับพวกเขา  อะไรที่ดาวุด บือเระห์เห็นดีเห็นงาม  ก็เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับพวกเขา  จนกระทั่งการตัดสินใจของดาวุด บือเระห์ ก็สมควรที่ได้รับการสนันสนุนจากทุกคนที่ร่วมกันจัดตั้งพันธมิตรขบวนการอาเจะห์เสรี   

Isnin, 17 Julai 2017

ขบวนการอาเจะห์เสรี ตอนที่ 8

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
เพิ่งในปี  1989 ความขัดแย้งในอาเจะห์ออกสู่ต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผยในขณะนั้นมีการทำโครงการกองทัพ  อินโดนีเซียเข้าสู่ทปูทัน ( ABRI  Masuk  Desa  หรือ AMD )  ที่หมู่บ้านโกตามะมูร์   อาเจะห์เหนือไม่ไกลจากเมืองอุตสาหกรรมโละซือมาเว  มีอดีตทหารยศสิบตรีที่ใช้ชื่อว่าโรเบิร์ต ได้เปิดเผยตัวและเรียกตนเองว่าเป็นผู้บัญชาการรบของขบวนการอาเจะห์เสรี   ( AGAM ) ซึ่งเป็นปีกทหารของขบวนการอาเจะห์เสรี  โรเบิร์ตพร้อมผู้สนับสนุนได้จู่โจมสมาชิกกองทัพอินโดนีเซียที่กำลังดำเนินโครงการกองทัพอินโดนีเซียเข้าสู่หมู่บ้าน  อาวุธจำนวน  18 กระบอกของสมาชิกกองทัพอินโดนีเซีย   ถูกพวกเขายึดแล้วพาหนีเข้าป่า   ความจริงแล้วโรเบิร์ตไม่ใช้ชื่อปกติของชาวอาเจะห์  โดยรวมแล้วนับคือศาสนาอิสลาม  ด้วยเหตุนี้โรเบิร์ตจึงได้ก่อการร้ายที่โน้นที่นี้ก่อนจะพาหนีไปยังประเทศมาเลเซีย  เขานั้นเองที่ทำให้เกิดพื้นที่ปฏิบัติการทางการทหาร  (  Daerah  operasi  M iliter ) ที่ดินแดนที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรก๊าซธรรมชาติ   ความจริงแล้ว  ขณะนั้นอาเจะห์เหนือกำลังจะไปสู่การเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม  และมีการแก่งแย่งกันในกลุ่ใหลากหลายผลประโยชน์  ขณะที่ประชาชนอาเจะห์เองเริ่มมีคำถามถึงการแบ่งโควต้าผลประโยชน์ระดับชาติที่ไม่ยุติธรรม   จากหลายคำถามนี้มีจำนวนมากที่สงสัยว่าโรเบิร์ตนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นผลประโยชน์ที่อาเจะห์   นั้นคือผลประโยชน์ทำให้มีความชอบธรรมในการปราบปรามประชาชนและผู้นำท้องถิ่นที่วิพากษ์  วิจารณ์ การพัฒนาอาเจะห์ ที่ได้สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในสังคม

ความจริงแล้วการแสดงออกโดยการวิพากษ์  วิจารณ์ ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคเก่า   การแสดงออกนี้เกิดจากบรรดาผู้นำดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดนีเซียภายใต้การนำของดาวุด  บือเระห์ ที่ร็สึกว่าถูกหลอกโดยซูการ์โน   ทำไมจะไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อปี  1962  พวกเขาได้กลับสู่อ้อมอกของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย   เพราะรัฐบาลซูการ์โนสัญญาว่าจะดำเนินตามหลักการซารีอะห์ในอาเจะห์   เพื่อการนี้กฎหมายซารีอะห์ได้ถูกร่างขึ้นโดยทั้งสองฝ่าย  แต่สัญญานั้นไม่เคยได้รับการปฏิบัติ   เมื่อเกิดรัฐบาลยุคใหม่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าสัญญานี้จะได้รับการปฏิบัติ  สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลซูอาร์โตมีการสร้างอุตสาหกรรมต่างๆ ในช่วงทศวรรษที่  1970  โดยไม่มีคำอธิบายว่ามีประโยชน์อย่างไรแก่ประชาชนชาวอาเจะห์  ประชาชนเองก็รู้สึกว่าการเข้ามาของอุตสาหกรรมหลากหลายชนิดนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา  ซึ่งเริ่มกอบโกยความร่ำรวยจากพื้นดินแดนของพวกเขา

จากการที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้  ในปี  1972  ดาวุด  บือเราะห์  ผู้นำดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดนีเซีย  จึงรวบรวมเพื่อนๆ เพื่อฟื้นฝูการต่อสู้กับรัฐบาลส่วนกลางอีกครั้งในการพบปะครั้งนั้น  ผู้ที่เข้าร่วมคือ  เต็งกู  อิลยัส  ลือบี, เต็งกู  ฮัสบี  กือดง  , มุคตาร์ , ยาห์ยา เต็งกูเฟาซี  ฮัสบี กือดง  ,  เต็งกู  ยูซุฟ  ฮาซัน , เต็งกูจามิล  ซัมซุดดิน , อาเยาะห์ซาบี , อูซีร์  เจลานี , เต็งกู  มูฮัมหมัด ยูนุส , กึมบัง  ตันยง  และเต็งกูซัยนาล  อาบีดิน  ในการพบปะกันครั้งนั้นปรากฎว่าพันเอกฮาซัน  ซาและห์  อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอิสลามอาเจะห์ไม่ได้เข้าร่วม  ภายหลังทราบว่าอาซัน  ซาและห์มีการเคลื่อนไหวรณรงค์  หาเลี้ยงให้พรรคไกลการ์ที่จะมีการเลือกตั้งในปี  1977  ตรงกันข้ามในการพบปะกันครั้งแรกนั้น  อดีตสมาชิกดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดนีเซียนั้นได้ลงมติให้ดำเนินการต่อสู้จัดตั้งรัฐอิสลามโดยเป็นสาธารณรัฐอิสลาม  อาเจะห์  หลังจากที่ขาดช่วงไปขณะหนึ่ง  ที่สำคัญมากกว่านั้นคือพวกเขาได้เห็นชอบให้ดำเนินการต่อสู้ประชาชนชาวอาเจะห์ทั้งมวลว่าการเมืองของรัฐบาลยุคใหม่ภายใต้การนำของซูฮาร์โต  เหมือนกับซูการ์โน  ซึ่งได้ออกนอกเส้นทางที่ถูกต้อง  หรือว่าตามหลักการชารีอะห์

ในฐานะที่เป็นผู้นำ  ดาวุด  บือเระห์  สำนึกว่าการต่อสู้กับรัฐบาลซูฮาร์โตนี้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากกำลังทางทหารอย่างมากที่สุด  ถ้าไม่มีสิ่งนั้น  ประสบการณ์ที่ข่มขื่นในขณะที่ต่อสู้กับซูการ์โนจะกลับมาหลอกหลอนพวกเขาอีก   ในเรื่องนี้  ดาวุด  บือเระห์  นึกถึงฮาซัน  ตีโร ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐโคลัมเบีย  สหรัฐอเมริกา  การเดนทางไปยังเมืองลุงแซมของฮาซัน  ตีโรดังกล่าว  ภายหลังจากการได้รับทุนจากแผนโคลัมโบ ( Colombo  Plan ) ในมุมมองของดาวุด  บือเระห์  เด็กหนุ่มชาวอาเจะห์คนนี้สามารถหาอาวุธเพื่อการต่อสู้ของประชาชนอาเวะห์  จนกระทั้งปี  1972  ดาวุด  บือเระห์ ได้ส่งพี่ชายของฮาซัน  ตีโรที่ชื่อว่า  ซัยนาล อาบีดิน  เพื่อพบปะน้องชายของน้องที่สหรัฐโดยเจรจาเกี่ยวกับอาวุธในการต่อสู้  ซัยนาล  อาบีดิน  เช่น  รัฐมนตรีมหาดไทยของรัฐบาลรัฐอิสลามอาเจะห์  ภายใต้การนำของฮาซัน  อาลี  ในการพบปะของพี่น้องครั้งนั้น  ฮาซัน  ตีโร ได้ให้ความมั่นใจว่าอาวุธทุกประเภทนั้นได้มีการเตรียมพร้อมแล้ว  เริ่มจากอาวุธเบาและหนัก  รอเพียงการส่งไปยังอาเจะห์  และไดทำคำยืนยันจากน้องชายของเขาไปยังดาวุด  บือเระห์ 

อย่างไรก็ตาม  มีคำบอกเล่าอื่นกล่าวว่าแนวคิดต้องการให้ประชาชนชาวอาเจะห์กลับมาก่อกบฏนั้นเกิดขึ้นจากฮาซัน  ตีโร   ขณะนั้นในปี  1970  ซัยนาล  อาบีดิน  เพิ่งกลับจากการเดินทาง  ไปเยี่ยมน้องชายที่กำลังศึกษาด้านกฎหมายอยู่ที่โคลัมเบียสหรัฐอเมริกา  ขณะที่พบปะกับพี่ชายของเขา  ฮาซัน  ตีโร  ได้ฝากคำพูดต่อดาวุด  บือเระห์  ขอให้ประชาชนชาวอาเจะห์ได้ก่อกบฎต่อรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซียภายใต้การนำของ ซูฮาร์โตอีกครั้ง  คำถามมีว่าในท่ามกลางที่มีประเด็นร้อนนั้นจะเกิดการก่อกบฏในอาเจะห์อีกครั้งโดยผู้นำที่แข็งกร้าวของอาเจะห์   ที่ชื่อว่า จามิล อามีน  ได้พบปะฮาซัน  ซาเละห์ที่เมืองสุกาบูมี  ชาวตะวันตก  ขณะนั้นจามิลได้เล่าเรื่องตามที่ได้รับการบอกจากฮาซัน  ตีโรว่าสหรัฐจะช่วยเหลือให้ประชาชนชาวอาเจะห์ได้ก่อกบฏต่อรัฐบาลอินโดนีเซีย