Ahad, 22 Disember 2024

Martabatkan Hikayat Panglima Nikosa sebagai novel Melayu pertama di dunia

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan 

Kali ini kita bincang tentang sebuah novel Melayu yang dianggap sebagai novel Melayu pertama di dunia. Sdr Haziq Azhar menulis sebuah artikel bertajuk “Martabatkan Hikayat Panglima Nikosa sebagai novel Melayu pertama di dunia” dan disiarkan di laman web Themalaysiapress.com Dan isi kandungannya seperti berikut:-


Hikayat Panglima Nikosa merupakan novel Melayu pertama di dunia yang dikarang oleh Ahmad Shawal Abdul Hamid.


Menurut Pengurus Besar Amanah Khairat Yayasan Budaya Melayu Sarawak, Datuk Dr Sanib Said, novel tersebut mengambil ciri-ciri realiti dalam gambaran untuk menjelaskan perwatakan, latar, peristiwa biasa untuk membina plot, suasana dan masa.

“Walaupun masih ada ciri-ciri pengembaraan dan aksi watak yang ketara seperti cerita hikayat dan penglipur lara, maka Hikayat Panglima Nikosa dapat dijadikan novel Melayu terawal,” jelas Dr Sanib.


Tambah Dr Sanib, novel tersebut merupakan kesusateraan Melayu zaman transisi hikayat dan penglipur lara kepada novel.

“Seperti kita tahu, ketika itu wujudnya novel Melayu terawal seperti Siti Nurbaya: Kasih Tidak Sampai, Bintang Toedjoeh dan Hikayat Faridah Hanom, tetapi Hikayat Panglima Nikosa diterbitkan lebih awal iaitu 30 Jun 1876,” kata beliau lagi.


Beliau berkata demikian ketika memberi syarahan pada Majlis Penangguhan Kolokium Novel Melayu Pertama Di Dunia ke-10 di hotel terkemuka pada Sabtu.


Sementara itu, Pengurus Lembaga Hal Ehwal Islam dan Adat Melayu Sarawak Azuan Jemat berkata, Hikayat Panglima Nikosa perlu diangkat sebagai karya agung Melayu dalam bentuk akademik.


“Hikayat Panglima Nikosa memperlihat keagungan karya dan kecenderungan elemen etnosentrik bertepatan idea William Graham Sumner,” jelas Azuan.

Tambah Azuan, novel ini juga memberi pemahaman mendalam mengenai adat dan peraturan masyarakat Melayu tradisional.


“Berbanding hikayat lain, novel ini memberi fokus kepada masyarakat awam berbanding golongan raja dan pembesar,” ujar beliau lagi.


Hikayat Panglima Nikosa mengisahkan pemuda bernama Nikosa di negeri di Timur yang berjaya mengumpul ramai pemuda menyerang musuh negeri mereka.


Atas kepemimpinan Nikosa, musuh berjaya ditewaskan dan membawa keamanan kepada negeri tersebut.


Seterusnya, Nikosa membangunkan negeri dinamakan Jalanan Baharu yang menjadi makmur kerana sering dikunjungi oleh pedagang.

Selasa, 10 Disember 2024

คนปาตานีในมาเลเซียวันนี้

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน 

หัวข้อเรื่องคนปาตานีในมาเลเซียวันนี้ เป็นหัวข้อที่นำมาจากหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี ที่เขียนโดย คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี และผู้เขียนได้แปลขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าของโครงการแปลหนังสือวิชาการ  ในตอนท้ายของหนังสือเล่มที่แปลนั้น ตอนสุดท้าย ได้เขียนว่า คนปาตานีในมาเลเซียวันนี้ ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ จึงนำมาเขียน และขยายขึ้น


มีคนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมากอาศัยอยู่ในมาเลเซียทุกวันนี้  ธรรมเนียมการ  “อพยพ”  ยังคงมีอยู่ตลอดและบางครั้งยังมีจำนวนมากขึ้นไปอีกด้วย  ยกเว้นสำเนียงภาษาเกือบจะไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างคนคนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (เชื้อชาติมลายู)  มีจำนวนมากในหมู่พวกเขาที่กลายเป็น  “คนสัญชาติ”  มาเลเซีย  และเลือกมาเลเซียเป็นปิตุภูมิของตนเอง

คนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมาเลเซียมีหลายกลุ่มและชั้นชน  มีที่เป็นผู้อพยพหนีภัย  (ในความหมายของการลี้ภัยทางการเมือง)  แต่ที่มีเป็นจำนวนมากคือการอพยพเพื่อการดำรงชีวิต  คือคนที่จำต้องอพยพเพราะถูกบีบบังคับจากสภาพความเป็นอยู่และโอกาสในอาชีพการงาน  ในมาเลเซียปัจจุบันนี้  พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าเร่  พ่อค้าขนาดเล็กและกรรมกรก่อสร้าง  ยังมีในหมู่พวกเขาที่เป็นครู  (โดยเฉพาะครูศาสนา)  เจ้าหน้าที่ข้าราชการ  นักเขียน  และรวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย  ด้วยเหตุผลบางประการข้าพเจ้า (คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี) ไม่อาจกล่าวถึงชื่อของพวกเขาไว้    ที่นี้


คนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในบรรดาคนโชคร้ายในโลก  อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วพวกเขาได้  “สูญเสีย” ความเป็นรัฐ  แต่การต่อสู้ของพวกเขาเพื่อได้รับเอกราชไม่อาจเป็นที่ยอมรับของกฎหมายระหว่างประเทศ  “จะเรียกร้องเอกราชได้อย่างไรในเมื่อดินแดนนั้นไม่เคยถูกยึดครอง ?”  พวกเขาอธิบาย


ดังนั้นคนปาตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องอาศัย “ร่มโพธิ์”  ในประเทศต่าง ๆ ต่อไป

Isnin, 9 Disember 2024

เปาะจิเว็ง หรือนายอิบราฮิม ชาวมาเลเซีย เชื้อสายปาตานี หรือ สามจังหวักชายแดนภาคใต้

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน

ผู้เขียนเคยได้ยินชื่อของเปาะจิเว็ง หรือนายอิบราฮิม ตั้งแต่ยังวัยรุ่น  ด้วยเขาจะเป็นชาวมาเลเซีย ที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องในโอกาสวันฮารีรายาอีดิลอัฎฮาเกือบจะทุกปี บางปีจะพาเงินมาซื้อวัว เพื่อการกุรอ่านด้วย เขาเป็นชาวมาเลซีย ที่มีบรรพบุรุษ มาจากปาตานี หรือจังหวัดชายแดนภาคใต้ การที่เขามีจิตสำนึกว่า เขามีบรรพบุรุษมาจากมาจากปาตานี หรือจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เอง  ทำให้เขายังคงสานสัมพันธ์กับญาติพี่น้องฝั่งไทย ซึ่งแตกต่างกับบางคน บางครอบครัว ความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องฝั่งไทย จะห่างเหิน  ในครั้งนี้ ผู้เขียนขอนำงานเขียนของคุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี จากหนังสือ เรื่อง ประวัติศาสตร์ปัตตานี ที่ผู้เขียนได้แปลเป็นภาษาไทย โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าของโครงการแปลหนังสือวิชาการ  คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ได้เขียนถึงเปาะจิเว็ง หรือนายอิบราฮิม มีดังนี้


ในปี  ค.ศ.  1986  ครั้งที่ข้าพเจ้าแวะละหมาดที่มัสยิดวาดิลฮุสเซ็น  ที่บ้านตะโละมาเนาะ  ในอำเภอบาเจะ  จังหวัดนราธิวาส  ข้าพเจ้าเห็นรถป้ายมาเลเซียคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านโต๊ะบิลาลมัสยิดชื่อ  นายฮัจญีอิบราฮิม  เมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสได้สลามกับเจ้าของรถคันดังกล่าวภายหลังจากละหมาดเสร็จ  ข้าพเจ้าได้ทราบว่าเขามาเยี่ยมเยียนครอบครัวที่บ้านตะโละมาเนาะและหมู่บ้านใกล้เคียง  “ปู่ของข้าพเจ้ามาจากที่นี่”  เขากล่าว  “ทุกปีถ้ามีโอกาสข้าพเจ้าพาลูกและครอบครัวมาเยี่ยมเยียนเพื่อสายสัมพันธ์จะได้ไม่ขาดตอน”  เขากล่าวเสริม  ในการพูดคุยต่อมา  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเป็นอดีตเสมียนที่สำนักงานกอฎีแห่งเมืองปาริต  บุนตาร์, รัฐเปรัค


เขาเกษียณเมื่อต้นศตวรรษที่  1980  ประมาณการว่าเขาเกิดราวปลายทศวรรษที่  1920  ถ้าเป็นจริงที่ว่าปู่ของเขามาจากบ้านตะโละมาเนาะและอพยพไปยังรัฐเปรัค  มาเลเซีย จึงสามารถคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงหลังของศตวรรษที่  19

คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ยังได้เขียนเสริมถึงชาวปาตานีอีกว่า


ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าพำนักอยู่ที่บ้านบังโฆล ยาบัต  ในอำเภอรือเสาะ, นราธิวาส  ในปี  ค.ศ.  1964  เพื่อนบ้านของข้าพเจ้าชื่อเต็งกูยะห์  (ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อเต็มของเขา)  กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  พระราชินีประเทศมาเลเซียในขณะนั้น  หรือเป็นพระราชินีแห่งรัฐเปอร์ลิสในปัจจุบัน  เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา  ครูศาสนาคนหนึ่งบอกแก่ข้าพเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจว่า  รมต.  การคลังคนปัจจุบันคือ  ดาโต๊ะ  ศรี  ราฟีดะห์  อาซีซ  มาจากเซอลามา  รัฐเปรัค  มีบรรพบุรุษมาจากครอบครัวสำคัญจากปูยุด ปัตตานี

จากการสังเกตของผู้เขียนเอง (คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี) หลายต่อหลายคนอดีตมุขมนตรีรัฐเปรัค  เช่น  ดาโต๊ะ  ศรี  กามารูดิน  มัตอีซา  และวันมูฮัมมัด  วัน  เตะห์  ล้วนเป็นที่รู้ว่ามีบรรพบุรุษหรือครอบครัวมาจากปัตตานี


นอกจากนั้นมีหลายหมู่บ้านในรัฐเปรัค  โดยเฉพาะในเขตฮูลูเปรัค  เป็นที่รู้ว่าบุกเบิกโดยผู้อพยพชาวปัตตานี  ข้าพเจ้ายังจำได้ดี  ครั้งที่รัฐบาลมาเลเซียสร้างเขื่อนเตอเมิงฆอร์  (Temenggor)  หลายปีที่ผ่านมา  หลายหมู่บ้านจำต้องอพยพเพราะเป็นบริเวณพื้นที่น้ำท่วม  บทความชิ้นหนึ่งที่ข้าพเจ้าอ่านในหนังสือพิมพ์ได้เล่าถึงความเป็นมาของหมู่บ้านเหล่านี้เป็นหมู่บ้านที่บุกเบิกโดยประชาชนจากปาตาานี  พวกเขาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านดังกล่าวจนกระทั่งถูกบังคับให้อพยพเนื่องจากโครงการเขื่อนที่กล่าวมาแล้ว  ตามคำบอกเล่าของประชาชน  พวกเขาที่ถูกอพยพในปัจจุบันนี้เป็นลูกหลายชั้นที่สามหรือสี่ภายหลังมีการบุกเบิกหมู่บ้าน


เป็นที่แน่ชัดว่าบรรดาหมู่บ้านเหล่านี้ถูกบุกเบิกช่วงกลางศตวรรษที่  19  นั้นคือภายหลังจากปาตานีเข้าสู่ยุคความวุ่นวายและล่มสลายจากสงครามและการก่อกบฏ


ในรัฐเคดะห์  มีผู้นำคนหนึ่งชื่อ  “โต๊ะมอริส”  ที่หมู่บ้านกุโบร์ปันยัง  เขามีชื่อเต็มว่า  “โต๊ะบอมอห์  อิดริส”  หลังจากเป็นผู้นำชุมชนในท้องถิ่นต่อต้านสยามที่รัฐเคดะห์ในต้นศตวรรษที่  19  จากข้อมูลที่ได้รับจากประชาชนกล่าวว่าเขามาจากปาตานี


ในบทความที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์  “เบอรีตา  มิงฆู”  (ข้าพเจ้าลืมวันเดือนปี)  คุณบาฮารุดดิน  อาดัม  ได้เขียนเกี่ยวกับประวัติเมืองเกอมามัน  รัฐตรังกานู  ตามที่เขาเขียน  เมืองเกอมามันปัจจุบัน  เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่บุกเบิกโดยผู้อพยพสงครามจากปาตานีในทศวรรษที่  1820


เป็นที่เชื่อว่ารัฐตรังกานูมีลูกหลานผู้มาจากปาตานีจำนวนมาก  ไม่เพียงจำกัดเพียงอำเภอเบอซุตและสะติวที่อยู่ใกล้กัน  ยังไกลไปจนถึงปากาและเกอมามัน  ครั้งที่ข้าพเจ้า  “แอบ”  เข้าร่วมในการสัมมนาอิสลามที่ตรังกานูในเดิอนมิถุนายน  ค.ศ.  1991  ที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าได้ยินคำกล่าวจากผู้รายงานบทความการสัมมนาคือ  ดร. ชาฟีอี  อาบูบาการ์  (Dr.Shafie  Abu  Bakar)  จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย  (Universiti  Kebangsaan  Malaysia)  โดยกล่าวว่าครอบครัวเขาที่ปากกามาจากตระกูล  “แม่ทัพปาตานีที่พ่ายแพ้สงครามต่อสยาม”  เขากล่าวว่าบรรดาแม่ทัพเหล่านี้ได้ล่าถอยจากปาตานีแวะที่ริมฝั่งทะเลรัฐตรังกานู  แล้วบุกเบิกตั้งถิ่นฐานใหม่รวมทั้งในปากา


ที่เขียนมาข้างตนเป็นส่วนหนึ่งที่คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานีเขียนในหนังสือ “ปรวัติสาสตร์ปัตตานี หรือประววัติศาสตร์ปาตานี” 

Ahad, 8 Disember 2024

Kewartawanan dan Kesusasteraan A Samad Ismail Menggerak Zaman

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan

Kali sini saya kemukakan sebuah artikel tulisan Dr. Azhar Ibrahim Alawee, pensyarah NUS Universiti Nasional Singapura. Artikel beliau bertajuk “Kewartawanan dan Kesusasteraan A Samad Ismail Menggerak Zaman”. Isi kandungannya seperti berikut:-


Nama beliau banyak disebut dalam kalangan sasterawan, wartawan dan juga sejarawan.


Dalam kalangan pendiri dan penggiat awal ASAS’50, A Samad Ismail telah diakui sebagai “ideolog” bagi perkumpulan ini. Beliau yang ketika itu sudahpun menjadi wartawan mapan dalam Utusan Melayu di Singapura, menjadi tokoh yang disegani oleh beberapa pemuka yang menjadi ahli dan penggiat ASAS’50.


A Samad Ismail, tokoh kelahiran Singapura, sebenarnya adalah nama besar dalam dunia kewartawanan dan kesusasteraan Melayu, khasnya di Singapura dan Malaysia. Sejarawan seperti Cheah Boon Kheng dan Kwa Chong Guan, telah memberikan perhatian kepada sejarah perjuangan beliau. Bachtiar Djamily juga pernah menulis biografi tentang beliau.

Sebuah kajian peringkat Sarjana di Jabatan Pengajian Melayu NUS disempurnakan oleh M IIiya Kamsani pada tahun ini, dengan tesis berjudul “From Dissent to Consent: A Study of A Samad Ismail’s Intellectuality and Oeuvre". Pastinya membicarakan tokoh sebesar ini wajar, sekali gus membolehkan kita menilai secara kritis sumbangan pemikiran para inteligensia Melayu dalam sejarah.


Kebetulan tahun ini juga adalah 100 Tahun kelahiran bakti karya A Samad Ismail, bersamaan juga dengan sambutan kenangan 100 Tahun untuk Pendeta Muhammad Ariff, A A Navis dan Sitor Sitormurang. Sebuah forum bagi mengenang jasa bakti dan ilham A Samad Ismail akan diadakan pada Sabtu, 14 Disember 2024 di Gerakbudaya, Petaling Jaya, Malaysia.


Sesungguhnya kita memerlukan wacana budaya yang dapat memperkenalkan pemikir, penulis dan tokoh dalam masyarakat kita, sekali gus menilai pemikiran dan jasa bakti mereka, biar itu suatu kekuatan mahupun kelemahan yang ada. Menghargai tokoh, sekali gus menilai gagasan pemikiran dan tindak-tanduk mereka adalah penting dalam kita menghargai sejarah intelektual dalam masyarakat dan negara.

Ketokohan yang dapat kita kesani dari seorang pemikir, penulis dan pemimpin, pasti boleh dijejaki dari suara moral-etikanya yang berani membicarakan kesenjangan sosial, ketidakadilan, kerancuan fikiran dan kesalahpimpinan, serta wawasan kehidupan majmuk yang menganggap Malaya (termasuk Singapura) sebagai tanah air bagi pelbagai bangsa, keturunan, bahasa dan agama.


Begitulah yang dapat kita kesani dari pemikiran A Samad Ismail yang tertuang di dalam pelbagai karya beliau, yang tersebar dalam bentuk novel, cerpen, esei, pojokan akhbar, memoir dan wawancara. Novel-novel beliau rata-rata sarat dengan pesan kemasyarakatan. Ternyata dunia kewartawanan yang beliau jaguhi mengilhamkan berbagai isu, permasalahan dan tantangan yang dihadapi oleh rakyat kecil. Keprihatinan beliau inilah yang menggerakkan dunia pena untuk mengajak pembaca tercerah dengan idea kemodenan dan pembaharuan, sama sealiran dengan laungan ASAS’50, “Sastera untuk Masyarakat.”

A. Samad Ismail yang lahir pada tahun 1925, mendapat pendidikan aliran Inggeris di Sekolah Victoria. Pada zaman Jepun, beliau pernah bekerja di Berita Malai. Pada 1941, beliau menyertai Utusan Melayu, sebuah akhbar pertama milik Melayu sepenuhnya yang dikepalai oleh Encik Yusof Ishak.


Beliau pernah terjun dalam dunia politik, namun tidak begitu menyerlah. Beliau menjadi antara pendiri awal Parti Tindakan Rakyat (PAP) pada 1954 selain pernah menganggotai UMNO cabang Singapura pada tahun 1957. Dalam banyak hal, penglibatan beliau dalam dunia kesusasteraan dan kewartawananlah yang benar-benar membuktikan sumbangan besar beliau, sehingga wajar kita membariskan beliau antara pemikir besar dalam sejarah intelektual Melayu moden.


Dari segi politik, Samad Ismail cenderung dengan aliran kiri. Pernah diperakui beliau sebegini: “Saya mengenali konsep seperti pertentangan kelas, sosialisme sewaktu Perang dari kalangan pendatang Indonesia yang berkumpul di Arab Street, Jalan Sultan…Itulah tempat nadinya politik Melayu, dan para nasionalis Indonesia sangat dominan waktu itu.”


Kewartawanan Membangun Keintelektualan

Ayah A Samad Ismail, yakni Haji Ismail bin Shairazi, ialah pemimpin masyarakat Melayu-Jawa, juga seorang guru yang sering menulis dalam akhbar, selain menjadi antara pengasas awal Kesatuan Guru Melayu Singapura. Ayah beliau sudah dari awal akrab dengan para cerdik pandai Melayu yang berpusat di Singapura.


Itulah yang menggalakkan A Samad Ismail masuk dalam bidang kewartawanan, sehingga nanti menjadi wartawan dan penyunting akhbar yang sangat disegani, baik dari akhbar Melayu dan Inggeris.


A Samad sendiri pernah dibimbing Abdul Rahim Kajai yang terkenal sebagai “Bapa Kewartawanan Melayu". Kajai pastinya banyak mempengaruhi A Samad Ismail dalam keprihatinan melaporkan dalam akhbar sama senada dengan penulisan cerpen yang digerakkan dengan niat mengajar, menegur, mengkritik dan menggagaskan idea yang dianggap perlu diyakinkan dalam masyarakat.


Bagi jasa bakti Kajai, A Samad Ismail, mengimbas jasa tokoh ini:


Kajai adalah unik bagi pengarang zamannya dan penulis seangkatan dengannya dalam hal ini. Dia tidak hanya mengarang artikel, berkhutbah, memberi nasihat dan membuat ulasan. Sebaliknya dia menggabungkan peranan sebagai penasihat bangsa dengan fungsi pemberita, berinteraksi dengan pembaca dan masyarakat secara langsung, setiap hari mendedahkan jiwa keprihatinannya atau kesedarannya dan mindanya, kepada setiap gerak dan laku dalam masyarakatnya.”

A Samad sendiri menyifatkan kewartawanan Melayu sedikit berbeza daripada yang terbangun di Barat, yang umumnya bersifat profesional sebagai sebuah kerjaya. Namun itu bukan bererti wartawan Melayu kurang kemampuannya. Malahan kondisi masyarakat itu sendiri mencorakkan jalan perkembangan kewartawanan. Beliau beranggapan sedemikian:


Surat khabar adalah alat perantaraan dan alat perhubungan yang terpenting sekali dalam masyarakat manusia moden. Wataknya sebaga alat perantaraan dan alat perhubungan sesama manusia lahir dari bahasa tertulis yang dipergunakannya sebagai perantaraannya. Sekiranya manusia tidak pandai menuliskan bahasanya sendiri di atas kertas untuk membuat perhubungan antara satu dengan lain atau untuk menyampaikan khabar atau berita atau untuk mengemukakan pendapat dan fikirannya maka berkuranglah satu alat perhubungan yang maha penting untuk memudahkan dan menambahkan teraturnya penghidupan manusia.”


A Samad yang mula bertugas sebagai wartawan di Utusan Melayu, telah memberi warna dan roh kepada akhbar ini. Malah ia dianggap sebagai wadah untuk menyuarakan pendapat, keresahan dan cita-cita masyarakat Melayu. Masyarakat Melayu sendiri memandang tinggi kepada institusi akhbar ini, termasuk para penulis yang bersemarak di Singapura kerana akhbar memberikan ruang untuk karya cerpen dan puisi mereka disertakan. Dilukiskan Samad sebegini:


Peranan dan fungsi pengarang seperti ini dimungkinkan oleh peranan dan imej Utusan sendiri sebagai pembela rakyat, oleh kewibawaan dan gengsi Utusan. Dan tahap ekonomi Utusan sendiri sebagai sebuah syarikat yang kecil menolong memperkukuh fungsi itu. Bangunan Utusan sederhana sahaja, malah tidak berbeza daripada sebuah bangunan kedai yang usang dan berusia lanjut. Keistimewaannya ialah bangunan itu menjadi pusat sebuah akhbar kepunyaan bangsa Melayu. Inilah ciri yang dikagumi masyarakatnya – suatu lambang dan satu institusi kebangsaan yang belum ada saingannya pada zaman itu terletak di tengah-tengah kota raya Singapura yang sibuk, maju dan dinamis.”


Selain bidang kewartawanan, A Samad juga penulis cerpen yang berbakat. Cerpen “Ah Kaw Masuk Syurga” mengisahkan cerita tentang Ah Kaw seorang lelaki Cina yang berlindung di rumah Melayu sewaktu zaman Jepun. Ibu dari keluarga Melayu sangat sayang pada Ah Kaw dan beria-ria untuk menjadikan Ah Kaw “masuk Melayu.” Dirawatnya Ah Kaw sewaktu beliau sakit, tetapi akhirnya Ah Kaw tidak sempat memeluk Islam dan meninggal dunia.


Jatuhnya hari kematiannya pada Jumaat. Ibu itu reda, tapi yakin Ah Kaw masuk syurga kerana Jumaat adalah hari yang 'barokah'. Tersirat dalam cerpen ini bahawa menerima seseorang itu sebagai sebahagian daripada keluarga dan bangsa kita bertolak dari sikap kemanusiaan yang tidak bisa dipilah-pilah atas dasar bangsa, agama dan keturunan.


Dalam sebuah keratan akhbar The Singapore Standard bertarikh 6 Mei 1953, beliau menulis tentang bahasa Melayu, “The Future of Malay Language” – yang tercantum di dalamnya sikap “Malayan” yang inklusif, terbuka namun tidak tercabut dari persekitaran kebudayaan aslinya.


Beliau yakin Bahasa Melayu akan berkembang menjadi perantara utama dalam pelbagai bidang kehidupan masyarakat. Pada negara Malaya yang akan dibangunkan, ramai yang beranggapan perlu berdiri satu bahasa yang tunggal.


Ditegaskan bahawa itu adalah andaian yang kurang tepat kerana banyak negara yang terbina atas kerencaman bahasa yang dimiliki penduduknya. Contohnya India, Switzerland, Kanada dan Rusia.


Lain perkataan, dalam soal bahasa, A Samad Ismail berseberangan dari kelompok pendidikan Inggeris yang hanya yakin Bahasa Inggeris menjadi bahasa utama untuk Malaysia. Sedangkan dalam kalangan pejuang nasionalis Melayu, hanya Bahasa Melayu yang wajar didaulatkan sebagai bahasa utama. Inilah penegasan yang berani kerana beliau sendiri yakin penguasaan lebih dari satu bahasa akan menguntungkan individu, masyarakat dan negara.


A Samad Ismail adalah pemerhati politik dan sosial yang tajam. Dari memoirnya berjudul Memoir A. Samad Ismail di Singapura (1993) terkandung banyak singgungan peribadi yang jelas membuktikan kesaksian zaman yang beliau tempuhi.


Sehingga akhir hayat beliau, dunia kewartawanan dan kesusasteraan dekat di hati beliau. Banyak buku panduan menulis sebagai wartawan dihasilkannya dan beliau menjadi penasihat dan penyunting di The Star dan New Straits Times di Malaysia. Dalam dunia sastera pula, beliau pernah aktif dalam PENA dan mendapat Anugerah 'Hadiah Pejuang Sastera' pada tahun 1976.


Baik penulis atau wartawan, peranan sebagai pencerah kemanusiaan dan pembicara nurani harus sedia tampil, kerana menurut A Samad Ismail; mereka “jelas memikul tanggungjawab terhadap masyarakat, menolongnya menyesuaikan diri dengan perubahan dan membimbingnya ke arah kebaikan.”


Beliau dikagumi oleh deretan tokoh kesusasteraan Melayu seperti Usman Awang, Adibah Amin, selain barisan wartawan Melayu baik di Singapura dan Malaysia. Semoga kenangan 100 Tahun hayat bakti pada tahun 2024 ini dapat mengingatkan kita akan seorang tokoh yang banyak berjasa dalam dunia kesusasteraan kita, membawa kesegaran ilmu dalam kewartawanan Melayu, selain memberi warna kepada kehidupan dan pengalaman politik kita dalam mengharungi zaman pasca kolonial yang mencabar.


Ternyata sosok kecendiakawanan yang terkandung dalam gerak kerja A Samad Ismail, meletakkan suatu standard tinggi yang sayugia dibangunkan dan diperluaskan terus. Masyarakat yang membangun pastinya memerlukan saluran akhbar atau media massa yang bebas, progresif dan terbuka. Itulah harapan A Samad Ismail kerana bagi beliau:


Surat khabar dapat menimbulkan kesedaran kebangsaan pada pembaca-pembaca dari golongannya sendiri... dapat mendidik pembaca masing-masing untuk menanam sikap dan pandangan yang melampaui batas kaum dan golongan masing-masing…”


Semoga bakti, tekad dan hasrat A Samad Ismail terus tumbuh mekar, khasnya dalam dunia di mana gempuran media massa semakin menggempur dan bersaing. Dunia kewartawanan memerlukan “bangsawan berfikir” dalam istilah Tirto Adhi Soerjo, ataupun “inteligensia berfungsi” yang dikonsepsikan oleh Syed Hussein Alatas.


Semoga juga forum peringatan 100 Tahun A Samad Ismail anjuran Mastera Singapura, Nusantara Bergerak, yang sama digerakkan oleh beberapa anak muda dalam Sahabat Sastera (Majlis Bahasa Melayu Singapura) dan Jurnal Sang Pemula (Malaysia) akan merintis dan menggilap minat anak-anak muda untuk terus terilham oleh para tokoh pemikir terdahulu.


Itulah juga teladan yang telah ditunjukkan oleh A Samad Ismail. Tabik kagum kepada beliau. Kita sudahi dengan barisan kalimat dari puisi beliau berjudul “Bicara Dengan Teman Lama".


Cita-cita kau dan kita semua

Wahai sahabatku,

Tingginya tujuh petala langit,

Dalamnya tujuh petala bumi,

Dunia terbentang begitu luas

Untuk kita berkelana,

Inilah cabaran kita

Wahai sahabatku.

Tanpa mengira generasi

Tanpa mengira keturunan

Tanpa mengira bangsa


Kau dan aku harus bahu membahu

Tanpa bosan dan lesu

Tanpa was-was dan ragu,

Merangsang dan mengilham bangsa

Menerima perubahan

Dalam peralihan menuju era gemilang.”


Sabtu, 7 Disember 2024

นักการศาสนาจากปาตานีในประเทศมาเลเซีย

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ในหัวข้อเรื่องชื่อว่า นักการศาสนาจากปาตานีในประเทศมาเลเซีย เป็นหัวข้อที่ผู้เขียนนำมาจากหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานี ที่เขียนโดย คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี และผู้เขียนได้แปลขึ้น โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าของโครงการแปลหนังสือวิชาการ  โดยผู้เขียนได้นำเรื่องที่คุณอาหมัด ฟัตฮี อัลฟาตานี ได้เขียนขึ้นเกี่ยวกับนักการศาสนาที่เป็นชาวปาตานีในมาเลเซีย


แต่ที่แน่ชัดที่สุดในบรรดาผู้อพยพมาจากปาตานี หรือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปยังประเทศมาเลเซียเหล่านี้คือ  บรรดานักการศาสนา ไม่เหมือนผู้อพยพที่ไม่ใช่นักการศาสนา  ส่วนใหญ่จะหายไปภายหลังจากการสูญหายไปของตัวเขาหรือบทบาทของเขา ชื่อนักการศาสนาเหล่านี้ยังคงอยู่ตลอดสมัยด้วยปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญเพราะเขาได้ทิ้งงานเขียนและศิษย์ที่สืบทอดแนวคิดของเขาภายหลังเขาตายไปแล้ว


เช่นในรัฐตรังกานู มีนักการศาสนาชาวปาตานีรุ่นแรกที่ค้นพบได้ว่าอพยพไปยังรัฐตรังกานูดารุลอีมานแห่งนี้ คือ เชค อับดุลกาเดร์ บูกิต บายัส (Sheikh Abdul Kadir Bukit Bayas) เชื่อว่าเขามารัฐตรังกานูราวต้นศตวรรษที่ 19 เสียอีก เพราะความปราดเปรื่องของเขา เขาถึงถูกแต่งตั้งให้เป็นครูสอนศาสนาในพระราชวัง  พร้อมเป็นมุฟตี หรือผู้นำฝ่ายศาสนาแห่งรัฐตรังกานู  โดยสุลต่านโอมาร์  (ค.ศ. 1839 – 1876)  ภายหลังจากเขายังมีโต๊ะเชคดูยง, ตวนฮาซัน  เบอซุท  และตวนฮัจญีฮุเซ็น  บ้านกำปงลาปู  พร้อมบุตรของเขาที่ชื่อโต๊ะครูฮัจญีมูฮัมหมัด  พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักการศาสนาที่มีชื่อเสียงของรัฐตรังกานูในศตวรรษที่  19  (ยกเว้น  2  คนหลังที่มีชีวิตอยู่จนถึงต้นศตวรรษที่  20)  ได้สร้างลูกศิษย์จำนวนมาก  งานเขียนในรูปของตำราศาสนา  พร้อมมีความเสียสละไม่น้อยในด้านการดำรงอยู่ของหลักการศรัทธาและจิตวิญญาณของประชาชนรัฐตรังกานู

ส่วนในรัฐเคดะห์นั้น  นักการศาสนาจากปาตานี หรือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีชื่อเสียงมาก  คือ  โต๊ะเชคยารุม  เขาดั้งเดิมมาจากบ้านบันดัง  บาดัง, ปัตตานีได้อพยพไปยังรัฐเคดะห์  ตอนปลายศตวรรษที่  19  ด้วยการเปิดปอเนาะที่เดอร์ฆา  (ถนนลังฆาร์)  ชื่อที่แท้จริงของเขาคือฮัจญีวันอิดริส  บินฮัจญีวันยามาล  แต่ที่ได้ชื่อว่า  เชคยารุม  (เข็ม)  เพราะความแหลมคนของความคิด  และความรัดกุมของเขาเมื่อได้ถกปัญหา  ภายหลังจากเขาแล้วคือ  ฮัจญีอิสมาแอล  บิน  มุสตาฟา  (บิดาของโต๊ะครูฮัจญีฮุเซ็น  โต๊ะจิโดล), ปะจูฮิม  การเยาะมาตีและอื่น ๆ อีก  สำหรับที่รัฐสลังงอร์แล้ว  มีบันทึกชื่อ เชคคุลอิสลาม หรือผู้นำฝ่ายศาสนาคนหนึ่งที่รู้ว่ามาจากปาตานี  คือ  เต็งกูมาห์มุดซุห์ดี  บินเต็งกูอับดุลราห์มาน


ที่เซอเบอรังไปรในพื้นที่สุไหงดูวา  มีนักการศาสนาชาวปาตานีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งมาสอนและเปิดปอเนาะที่นั่น  เขาคือตวนมีนาล  หรือ  ชื่อจริงว่าฮัจญีไซนัลอาบีดิน  บินอาหมัด  หรือมูฮัมหมัด  ผู้เขียนตำราชื่อ  Kashf al-Lithan และ  Aqidat al Najin เล่มที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น  เขาเสียชีวิตที่ปาดังลาลัง, สุไหงดูวา  วันเดือนปีนั้นข้าพเจ้ายังไม่ค้นพบ


สำหรับในรัฐกลันตัน  จำนวนผู้อพยพชาวปัตตานีไม่ว่าอยู่ในกลุ่มใดทั้งนักการศาสนาหรืออดีตผู้มีความเห็นต่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนมีเป็นจำนวนมาก  มีมากกว่าในบรรดารัฐอื่น ๆ การอพยพของประชาชนปาตานีไปยังรัฐกลันตันรวมทั้งครอบครัวเจ้าเมืองและบรรดาขุนนางทั้งหลาย

ความจริงเนื้อที่ไม่เพียงพอสำหรับการบันทึก  แม้ว่าเพียงครอบครัวที่มีชื่อเสียงในรัฐกลันตันปัจจุบันที่มีบรรพบุรุษมาจากปาตานี  ยังไม่ได้รวมถึงกลุ่มประชาชนทั่วไปเป็นที่แน่ชัดว่าใครก็ตามที่เป็นคนมลายูกลันตันในปัจจุบัน  พวกเขาจะพูดด้วยความรวดเร็วทันทีว่า  “แน่นอนข้าพเจ้ามีญาติพี่น้องที่ปาตานี”  ซึงชัดเจนที่สุดสำหรับพวกเขาที่อยู่ในอำเภอตุมปัต อำเภอปาเสมัส อำเภอตาเนาะห์  แมเราะ และอำเภอโกตาบารู รัฐกลันตัน


นอกจากการ  “อพยพ”  ไปยังบรรดารัฐต่างๆในแหลมมลายู  ประชาชนปาตานีมีจำนวนมากที่อพยพไปยังนครมักกะห์  และรัฐมลายูอื่น ๆ ในภูมิภาคมลายู  มีหลายครอบครัว  ชาวปาตตานีได้อพยพไปยัเมืองซัมบัสและเมืองปอนเตียนนักในจังหวัดกาลีมันตันตะวันตก  ไปยังหมู่เกาะเรียว  และฝั่งทะเลตะวันออกของสุมาตรา  แล้วยังมีที่ไปถึงบรูไนและอาเจะห์

Khamis, 28 November 2024

The Images of “Keling” in Sulalat al-Salatin

 Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan

Kali ini kita bincang tentang gambaran Keling dalam Kitab Sulalat al-Salatin. Dengan kemukakan sebuah makaklah bertajuk “The Images of “Keling” in Sulalat al-Salatin” tulisan Sdr. Abdur-Rahman Mohamed Amin, pensyarah di Universiti Teknologi PETRONAS, Bandar Seri Iskandar, Perak, dn Prof Dato’ Dr. pensyarah dan felo di beberapa universiti di Malaysia. Makalah ini diterbit di International Journal of Social Science and Humanity, Vol. 4, No. 3, May 2014. Isi kandungan makalah tersebut adala berikut:-


The Images of “Keling” in Sulalat al-Salatin


Abstract—The word “keling” in Malaysia has become a socially undesirable term and it has a derogatory connotation for Malaysians of Indian origin. Though the word existed in the Malay vocabulary since 15th century, there was an attempt to remove it from the Malay dictionary due to its negative connotations. Therefore, this study was conducted to analyze the images of “keling” amongst the Malays circa 14th to 15th centuries. The analysis on the discourse is to discover the semantics of the word “keling” in the 17th century Malay epic Sulalat al-Salatin. From this study, it was found that the historical relationship between Malacca and “keling” started early than 15th century. “Keling” played a very important role to help the administration of the Malacca Malay Empire. Generally, the word “keling” has been used mostly with a positive connotation in Sulalat al-Salatin.


Index Terms—Keling, Malacca, Malay Annals, Sulalat al-Salatin.


I. INTRODUCTION

Malaysia is a multiracial country comprising three major identities and ethnicities, namely Malay, Chinese and Indian. The dominant race is the Malay. The existence and interaction between all of these races can be seen clearly during the existence of the Malacca Empire in 15th century. Since that time, the Malay used the term “keling” to describe people coming from the Indian subcontinent. It has been used widely in many classical Malay books such as Sulalat al-Salatin, Hikayat Hang Tuah and Hikayat Raja Pasai.


Nowadays, the term “keling” has been received in derogatory manner in Malaysia especially among Malaysians of Indian origin. Though the word existed in Malay vocabulary since the 15th century, many attempts have been made over the years to erase it from the Malay vocabulary. One was by a group of Indian Muslim community in Malaysia to remove the word “keling” from the third edition of Kamus Dewan, a Malay dictionary which was published by the Malaysian government agency, Dewan Bahasa dan Pustaka (DBP). It happened in July 30th 2003 when the chairman of Angkatan Pelopor India Muslim Selangor and Wilayah Persekutuan (APIM), filed the summons in High Court against Dewan Bahasa dan Pustaka and five others


Manuscript received May 29, 2013; revised September 1, 2013. This work was supported with the fund from Ministry of Higher Education in Malaysia under the Exploratory Research Grant Scheme (ERGS) with a study entitled “The Keling in Malay Discourses: The Study of Narratives in Selected Classical Malay Prose Epics” (Project Code: 15-8200-317.) In addition, the authors would like to thank Universiti Teknologi PETRONAS for providing support for this research.


Abdur-Rahman Mohamed Amin and Ahmad Murad Merican are with the Department of Management and Humanities, Universiti Teknologi Petronas, Bandar Seri Iskandar, 31750, Tronoh, Perak, Malaysia (e-mail: urrahman_amin@petronas.com.my, amurad_noormerican@petronas.com.my).


over the use of the term “keling” which, according to them, was offensive and humiliating to Malaysians Indians. He said that the word was in conflict to the Federal Constitution, National Principles (Rukun Negara) and the Publication and Printing Presses Act 1984 (Amended 1987) [1]. This phenomenon is not only happened in Malaysia, but also happened in Singapore. On 1st August 1921, The Straits Times, one of the newspapers in Singapore carried out a notice from Municipal Office entitled “Kling Street-Change of Name”. In the advertisement, it was announced that the name of the Kling Street will be changed to Chulia Street starting from 1st January 1922 [2].


It was believed that the name had been changed due to the suggestion by the Indian Association of Singapore [3].

In the modern Malay dictionary, the word “keling” is used to describe merchants coming from the South Indian subcontinent including Kalinga and Telingana to the Malay Peninsula as early as 3rd century [4]. In Northern Malay Peninsula, it also has been used to refer to the Indian people in Malaysia who are Muslims. Shellabear, in the early 20th century, refers the word “keling” in his dictionary as “the native of the eastern coast of British India, especially the Telugus and Tamils” [5]. Winstedt added that this word has been taken from the old kingdom of Kalinga in India [6]. Though both of the dictionaries agreed that “keling” refers to the people coming from Indian subcontinent, Shellabear does not specify the religion for this people, which, before the 7th century, were Hindus. The Malay dictionary mentioned that this word, especially in the Northern area of Malay Peninsula, refers to the Indians who are Muslims. Therefore, in Shellabears dictionary, he used the term “Kling Islam” specifically to describe the Tamil who is a Muslim [7].


The existence of Indians in Malaysia can be traced back to the ancient times when Hinduism and Buddhism were religions of the ruling elites and the population. The discovery of Bujang Valley with the temples, which is situated near to the Muda River in Kedah, showed that the area was the earliest Malay kingdom and it had been greatly influenced by the Hindu-Buddhist religion. Inscriptions found at the area was in Pallawa script, dated around 5th century AD. Thousands of ceramic pieces from many places including India, Middle East, China and Europe were also discovered, showing that from the ancient time, the Malay Peninsula was one of the strategic locations for maritime trading route between China, India, Middle East and Europe [8].

Later, when the Malacca Empire was established in early 15th century and gradually developed into the greatest emporium in the known world, traders from all over the world were attracted to come to Malacca. This cosmopolitan society was a polyglot of languages - more than 80 - comprising Achinese, Burmese, Javanese, Minangkabaus, Bugis, Arabic, Persian, Gujerati, Chinese, Siamese, and  Tamil. Traders as far as the Ryukyus in the proximity of Okinawa and Southern Japan also called upon Malacca. They were populated in Malacca especially in Upih, Bandar Hilir and Tanjung Pasir [9].


The migration of Indians to the Malay Peninsular was very active during the time of British colonization in Malaya. According to Kernial, the total number of Indian immigration into Malaya under the British rule between 1786 and 1957 was 4 245 990 people [10]. The existence of the Indian migrants in the country was very important. During the time of British rule in early 20th century, the Indian community helped in the plantation, agricultural as well as in the transportation sectors.


Many studies had been conducted to study the history of Indian community in Malaysia. It also includes their sub-community like “Jawi Peranakan” and “Indian Muslims”. The “Jawi peranakan” refers to the family where the father was a migrant from South Indian – mainly from the Coromandel Coast, and also the Malabar, and the mother was Malay. The intermarriage between these two races created another type of community which is famous in Penang. The study about this community and how they assimilated into Malay society has been done by Helen Fujimoto, and Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid [11], [12].


The existence of the community mostly in Penang was expected because of the location of Penang as an important entreport during the British rule where all of the immigrants from India will first arrive there before they moved to the other states. A study by Ahmad Murad Merican about “keling” focused on the Malay consciousness of the Indian and “jawi pekan” in socio-historical and journalistic narratives. This study was based on Malay journalistic and socio-historical narratives. It also made reference to the Malay Annals – the Sulalat al-Salatin [13].


This study picks up and presents a more focused investigation of the used of “keling” in one of the classical Malay epics, Sulalat al-Salatin. In the previous study about this Malay epics, many scholars have discussed about its genesis and originality [14]-[17], but most of the studies focused more toward the literature and linguistics point of view [18]-[21], and some of the other studies discussed about it from the context of socio-cultural, politics and historical perspectives [22]-[25]. Therefore, this study has been conducted to analyze the context of using the word “keling” among Malay in Sulalat al-Salatin.


II. METHODOLOGY

The study examines the Malay discourses on the word “keling” as used in Sulalat al-Salatin or also known as Sejarah Melayu or Malay Annals. Originally, this manuscript was written using classical Malay language in Jawi script. The main theme of this manuscript relates to the genealogy and the history of Malacca Kingdom that began in early fifteenth century until it was conquered by the Portuguese in 1511. Since there are many versions of Sulalat al-Salatin, the version which has been transcribed by Samad Ahmad is used in this study. The word count of “keling” has been done and the context of using it is analyzed in details. Consequently,


after the results have been systematically analyzed, it leads to the discussion on the Malay discourses and consciousness towards the word “keling” during the Malacca Empire in 15th century.


III. RESULTS AND DISCUSSION

In Sulalat al-Salatin, the word “keling” was used 66 times in different contexts [26]. Based on the story in Sulalat al-Salatin, there were many episodes where the encounter between Malay and “keling” has been narrated. The word has been combined together with the other word as a phrase and the phrase which has been used most frequently was “benua keling”. Literally, the phrase refers to the continent of the “keling” or the country where the “keling” comes from. Nowadays, it is well known as India. It also has been used as “hulubalang keling” which means warrior of Kalinga, the Indian Empire, “rakyat keling” which means citizens of Kalinga, “raja keling” which means King of Kalinga, “kain keling” and “belanga keling” where both phrases refers to the specific textile and pot which originated from the Indian Empire.


A. “Keling” Before the Empire of Malacca

Initially, the story about “keling” appeared before the existence of Malacca Empire. It was about Raja Suran, who was the King from India, came to the Malay Peninsula in his military expedition with his soldiers. His army, together with large numbers of elephants and horses, fought hard with the military from Siam and finally, the King succeeded to kill Raja Chulan, who was the King for Siam. Later, Raja Suran married with Prince Onang Kiu, the daughter of Raja Chulan, and the army marched towards Temasik, or well-known today as Singapore.


The journey of his military expedition stopped at Temasik. But Raja Suran has the ambition to continue his journey until they reach China. When the news arrived at the Kingdom of China, in order to avoid the war and to protect his country, the Emperor of China sent a ship filled with rusty and small needles with old sailormen to Temasik. When the ship arrived at Temasik, Raja Suran ordered his men to get the information from the Chinese ship on the distance between Temasik and China. The old sailors explained that the distance was very long due to the fact that when they started the journey, they were at the young age. In addition, the big steel in their ship had changed to a small one due to the long journey. When Raja Chulan heard about this information, he thought that China was still very far away from Temasik and he suggested that they should end their military expedition and return back to their homeland in India [27].


From the story above, the term “keling” has been used since long time ago to refer to the people coming from the Indian subcontinent. It has been described that they were skillful fighters from the great Kingdom in India and were involved in the process of colonization and expansion of Indian Empire until it reached Southeast Asia. The armed forces were formidable in both land and sea warfare and won against the Kingdom of Gangga Nagara in Perak, Langgiu in Johore and Temasik in Singapore. In addition, the author mentioned that Raja Suran built a kingdom at “benua keling”


or at the Indian subcontinent namely Bijaya Negara. According to the translation of Sulalat al-Salatin by Brown, the word “keling” in Malay was translated as “Kalinga men.” Keling King has been referred to as the King of Kalinga. Thus, from Browns translation, he believes that the word “keling” specifically refers to the “Kalinga” empire in India [28].


B. The Intercultural Marriage of “Keling”

According to Sulalat al-Salatin, Tajitram Shah, the King for “benua keling” or Indian sub-continent, was a descendent from the King of Alexander Zulqarnain. At one time, his ship was stranded at Belambang Majut or known today as Bangkahulu in Sumatera, Indonesia. Later, whenever the King at Belambang Majut knew that Tajitram Shah was a prince from India, he offered his daughter, Raden Sendari, to marry Tajitram Shah. They were blessed with four children namely Ratna Dewi, Seri Dewi, Maniaka and Nila Karna. He stayed in Belambang Majut until his people came from Canda Kani to save him and bring him back to India. He brought back with him both of his sons. Before that, after the Emperor of China heard about the famous King from “benua keling” who was at Belambang Majut, the Emperor wanted to have a relationship with him through marriage. He sent his envoy from China to propose to marry his daughter. Tajitram Shah agreed and he sent his eldest daughter, Seri Dewi to China. The other daughter, Ratna Dewi, was proposed by Majapahit in Java [27].


In this story, the word “benua keling” has been clearly used as a reference to the sub-continent of India. It is believed that there was a great Kingdom in India and it was so famous until the Emperor of China also wanted to have the inter-monarch relationship with this Kingdom through marriage. The “keling” rulers also sent envoys with tribute to the other rulers with special gifts. As a result, the image of the “keling” becomes better due to the diplomatic relationship with the other great kingdoms. In fact, the diplomatic relationship at this time between the kingdoms is full with prestige and status and it only belongs to the elite class in that society.


C. “Keling” in the Kingdom of Singapore

The relationship between the Kingdom of India and Singapore started when the ruler of Singapore, Seri Teri Buana wanted his son, Raja Kecil Besar to marry Princess Nila Pancadi, the daughter of Jambuga Rama Mudaliar, the ruler of “benua keling”. When Seri Teri Buana sent his envoy to “benua keling”, headed by Aria Bupala and Maha Indera Bijaya, the proposal had been accepted and they went back to Singapore to inform the good news to their ruler. The King of “benua keling”, Jambuga Rama Mudaliar, told the envoy that he will go and send his daughter to Singapore for the marriage. Later, Jambuga Rama Mudaliar together with his family and forty warriors headed by Andul Nina Mara Kulina, board on the ship to send the princess for the marriage in Singapore. There were around 500 hand-maiden accompanying the princess. The marriage between Raja Kecil Besar and Princess Nila Pancadi was successfully completed. In the other episode, the King of “benua keling” sent his warrior, Nadi Bija Niakra to Singapore to challenge


the famous warrior, Badang. They sailed from India with seven ships and if their warrior lost in the challenge, all of the ships will become the property of Singapore kingdom [27].

Based on the story, the great kingdom of India was clearly referred to as “benua keling” or the continent of “keling.” The relationship was so close with the other kingdoms in Southeast Asia especially through intercultural marriage. The “keling” Empire has their own language which is totally different with the language of people from Singapore. Therefore, these two Kingdoms needed a translator to translate the letter from each other when it was read in the court. In addition, it showed how international relations between the “keling” Empire and Singapore develop in the past. The exchanges of envoys, gifts and letters were normal to establish an international network between the regions. In short, the image of “keling” was portrayed positively based on the good relationship they have with the other kingdom like Singapore.


D. “Keling” in the Malacca Empire

During the reign of Sultan Muhammad Shah, an Indian prince, who was a Muslim came from the Indian subcontinent to Malacca together with his soldiers in his fleet of seven ships. His name was Mani Purindan and his father was the ruler for a kingdom where they call it as Pahili, located in the Indian subcontinent. Sultan Muhammad Shah was very impressed with him and appointed him as one of his ministers. Later on, he married with the daughter of Seri Nara Diraja and was blessed with two children, namely Tun Ali and Tun Ratna Wati. It was believed that Mani Purindan was the first “keling” or Tamil-Muslim to be appointed as one of the ministers in the Malacca court. In the story, it was also mentioned that Sultan Muhammad Shah was married to Tun Ratna Wati, the daughter of Mani Purindan, and they were blessed with a son named Raja Kassim. After Sultan Muhammad died, Raja Ibrahim was appointed as the Sultan, but later on he was replaced with Raja Kassim who was supported by Seri Nara Diraja Tun Ali and Bendahara. Raja Kassim used the title Sultan Muzaffar Shah after he became the Sultan. Therefore, Sultan Muzaffar Shah was the first Malay King where his mother was a daughter from Tamil-Malay mixed marriage [27].


From this important story, Mani Purindan was a prince coming from the “benua keling” or Indian continent and he was a Muslim. He had been given the opportunity to serve as one of the ministers in the court of Sultan Muhammad Shah, where Malacca at that time had adopted Islam as official religion. He got married to the daughter of Seri Nara Diraja, one of the ministers in the Malacca Court and his family had been accepted as part of the Malacca society at that time through the process of assimilation with local culture, which deprives the family of a separate Malay identity. As a result, the people of Malacca can accept Raja Kassim or also known as Sultan Muzaffar Shah as their King even though his mother was not from “pure” Malay family but from Keling-Malay mixed marriage.


This story was very important to prove that the prince from “benua keling” had been accepted as the minister in the court of Sultan Muhammad due to their ability and charisma as a leader. As a result of the appointment as the minister in


Malacca Empire, they were socially accepted and respected as the upper levels of the society and after the assimilation through marriage, they had been totally accepted as part of the elite people in Malacca.


E. “Keling” Before the Fall of Malacca Empire

During the reign of Sultan Mahmud, he sent one of his warriors, Hang Nadim, to sail to the “benua keling” to buy a special textile made in India. At the end of the story, Hang Nadim failed to bring all of it back to Malacca due to the shipwreck which happened near Ceylon. During this time, it can be understood that India was very famous with high quality textiles. The Indian people or “keling” have the creativity as textile designers to design cloth according to the request from the customer.

In addition, during the reign of Sultan Mahmud, there were two people who had been referred to as “keling”, namely Raja Mendaliar and Kitul. Raja Mendaliar was a Shahbandar or port administrator or harbor master in Malacca, one of the important ministers in the court of Sultan Mahmud and was very rich. The Shahbandar was the official in charge of the shipping systems and commercial transactions including the tax collection. He was also the chief of all the sea-captains [27]. Based on the story, Raja Mendaliar had been appointed as one of the officials in the court of Sultan Mahmud to represent traders from India. In fact, the Shahbandar was the representative of the foreign traders from the various communities in Malacca. Therefore, many Shahbandar were needed to represent different groups of traders including the traders from India. In addition, Malacca at that time was very busy with so many ships coming to the port. It was so prosperous until the Shahbandar, who is not among the highest rank officials in Malacca was declared as among the richest people in Malacca [27].


Kitul was another “keling” who was mentioned in Sulalat al-Salatin. He was from the family of Nina Sura Dewana. Kitul has a debt amounting 600 gram of gold with Raja Mendaliar. In the story, Kitul was a man who spread slander to Raja Mendaliar that Nina Sura Dewana together with the Bendahara, who was the chief executive for Malacca officials, wanted to kill Raja Mendaliar. As a compensation of this important information, Raja Mendaliar eliminated all of the debts from Kitul. To stop the conspiracy, he went to meet Khoja Hasan with his gold and jewels to bribe him. Khoja Hasan, the Laksamana who was responsible for the civil and military duties of Malacca, was bribed to spread the new slander to the Sultan that the Bendahara wanted to seize the power of the Sultan. As the result, after the Sultan knew about the news from Laksamana Khoja Hasan, he ordered Tun Sura Diraja and Tun Indera Segara to execute the Bendahara and his family members including Seri Nara Diraja, Tun Hasan Temenggung and Tun Ali due to the false information from Laksamana [27].


The story about Kitul was among the factors that lead to the downfall of Malacca Empire. Malacca lost its Bendahara, together with the other important great lords namely Seri Nara Diraja and Tun Hasan Temenggung. Raja Mendeliar and Kitul were also executed after the Sultan knew about the slander. The empire became unstable with so many slanders spread among the officials in the court of Sultan Mahmud and


at the end the Sultan had the difficulty to control and trust his officials.

Before the fall of Malacca Empire to the Portuguese in 1511, the internal problem of leadership in administration contributed greatly to its downfall. The images of “keling” represented by Bendahara Tun Mutahir, Raja Mendeliar and Kitul were negatively displayed in this story. We find the image of the “keling” has evolved. The “keling’s” later representation differed from the earlier ones.


IV. CONCLUSION

Based on the discussion above, the word “keling” has been used regularly in Sulalat al-Salatin mostly in a positive way. “Keling” has been portrayed as the people coming from Indian sub-continent who have a very great Kingdom. They existed before the empire of Malacca was founded in early 15th century. They have a very long relationship with the Malay Archipelago through commercial trading, migration and expansion of their Empire. The people who migrated from this Kingdom to Malacca in 15th century were mostly from the higher social status such as merchants, sailors, warriors and elites and they also became part of the administrators in Malacca Empire. Eventually, through inter-cultural marriage and assimilation, they became part of the Malay aristocracy especially in the office of the Bendahara and extremely influential in Malacca administration. Furthermore, the “keling” people have been reported as the largest immigrant communities in Malacca at that time. Unfortunately, at the end of the story, the characters of “keling” have been narrated negatively due to their political mischief of spreading slanders in the court of Sultan Mahmud. Their actions gave a very high impact to the stability of Malacca Empire and not long after that, the Malacca Empire was conquered by the Portuguese in 1511. That episode was to be clearly etched in the Malay consciousness throughout centuries to come.


REFERENCES

[1]    Berita Harian, 23rd December 2004, pp. 10.

[2]    The Straits Times, 1st August 1921, pp. 16.

[3]    Infopedia. (5th November 2012). [Online]. Available: http://infopedia.nl.sg/articles/SIP_222_2005-01-18.html, retrieved on.

[4]    Kamus Dewan, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1994.

[5]    W. G. Shellabear, Malay-English Vocabulary, Singapore: Methodist Publishing House, 1912.

[6]    R. O. Winstedt, Malay-English Dictionary, Kuala Lumpur: Marican and Sons, 1963.

[7]    W. G. Shellabear, Malay-English Vocabulary, Singapore: Methodist Publishing House, 1925.

[8]    Z. Ramili, N. H. S. N. A. Rahman, A. Jusoh, and M. Z. Hussein, “Compositional Analysis on ancient bricks from Candi Sungai Mas (Site 32/34), Bujang Valley, Kedah,” in American Journal of Applied Sciences, vol. 9, no. 2, pp. 196-201, 2012.

[9]    M. H. Yusoff, The Malay Sultanate of Malacca, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1992.

[10]  K. S. Sandhu, Indians in Malaya, Cambridge: Cambridge University Press, 1969.

[11]  H. Fujimoto, The South Indian Muslim Community and the Evolution of the Jawi Peranakan in Penang up to 1948, Tokyo: ILCAA, 1988.

[12]  M. S. Halimah and A. M. Zainab, Images of the Jawi Peranakan of Penang: Assimilation of the Jawi Peranakan Community in Malay Society, Universiti Pendidikan Sultan Idris, 2004.

[13]  A. M. Merican, “The Keling as the other in Malay consciousness „by one of them: Images of the Indians, Indian Muslims and Jawi Pekans in Malay Socio-historical and Journalistic Narratives,” in Discourses on Culture and Identity: An Interdisciplinary Perspective, Kuala Lumpur: Pearson Longman, pp. 70-105.

[14]  R. O. Windsted, A History of Classical Malay Literature, Selangor: Malaysian Branch of the Royal Asiatic Society, 1996.

[15]  R. O. Windsted, “The date, author and identity of the original draft of the Malay Annals,” Journal of the Malayan Branch Royal Asiatic Society, vol. 16, part 3, pp. 27-34, 1938.

[16]  R. Roolvink, “Sejarah Melayu: Masalah versi-versi yang lain,” in Sejarah Melayu, Selangor: The Malaysian Branch of the Royal Asiatic Society, 21-35, 1981.

[17]  V. T. Gunalan, “Genesis Autograf Sejarah Melayu,” Jebat, vol. 26, pp. 101-119, 1999.

[18]  R. Roolvink, “Five-line songs in the Sejarah Melayu?” Bijdragen tot de Taal-, Land- en Volkenkunde 122, no. 4, pp. 455-457, 1966.

[19]  R. Jones, “Paut, passing away,” Bijdragen tot de Taal-Land-en Volkenkunde 132, no. 2/3, pp. 351-351, 1976.

[20]  A. Savarimuthu, Ayat Majmuk Dalam Sejarah Melayu, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1992.

[21]  K. S. Kang, Gaya Bahasa Sejarah Melayu, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1995.

[22]  M. Rajantheran, Sejarah Melayu: Kesan Hubungan Kebudayaan Melayu dan India, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1999.

[23]  H. C. Loir, “The Sulalat Al-Salatin as a political myth,” Indonesia, vol. 79, pp. 131-160, 2005.

[24]  M. A. A. Rahman, M. R. T. L. Abdullah, and R. A. I. R. Yaacob, “The Malay world: An analysis of Quranic verses in Sulalat Al-Salatin,” in Proc. 2011 International Conference on Social Sciences and Society, Shanghai, 2011, vol. 1, pp. 318-323.

[25]  M. A. A. Rahman, R. M. M. Ali, and R. A. I. R. Yaacob, “The Malacca empire: Sayings of prophet Muhammad in Sulalat Al-Salatin,” in World Academy of Science, Engineering and Technology, Venice, April 2012, Issue 64, pp. 553-556.

[26]  Mcp. (29th May 2013). [Online]. Available: http://mcp.anu.edu.au/N/SM_words.html#K.

[27]  A. S. Ahmad, Sulalatus Salatin, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 2010.

[28]  C. C. Brown, Malay Annals, Selangor: MBRAS Reprint 28, 2010.