โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ในการเขียนถึงปัตตานี หรือ ปาตานีในศตวรรษที่ 17 ครั้งนี้ ขอนำงานเขียนของคุณอาหมัด ฟัตฮี อัล-ฟาตานี
ซึ่งใช้ชื่อหนังสือว่า Pengantar Sejarah Patani ซึ่งผู้เขียนได้แปลเป็นเล่มในภาษาไทย
ใช้ชื่อว่า ประวัติศาสตร์ปัตตานี งบประมาณการแปลโดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี และงบประมาณการจัดพิมพ์โดยสำนักปลัดกระทรวงยุติธรรม
เนื้อหางานเขียนของคุณอาหมัด ฟัตฮี อัล-ฟาตานี มีดังนี้
ถึงแม้ว่าปัญหาเรื้อรังด้วยเกิดสงครามหลายครั้งกับสยาม แต่ก็มีปัญหาวิกฤตการณ์ภายในเกี่ยวกับดาตูแห่งกลันตัน
ถึงอย่างไรก็ดี ปัตตานีในศตวรรษที่ 17
นั้นเป็นรัฐหนึ่งที่มีอำนาจมาก
มีอิทธิพล เจริญรุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์
ตลอดทั้งศตวรรษนี้คนตะวันตกได้เดินทางสู่โลกตะวันออก
ทำการติดต่อทางการค้ากับพวกเขาและยังยึดครองพวกเขาอีกด้วย
มะละกาถูกโปรตุเกสยึดครอง ราวต้น ค.ศ. 1511 ติดตามด้วยฮอลันดาใน ค.ศ. 1641 มะนิลาตกอยู่ภายใต้อำนาจของสเปนในปี ค.ศ. 1571 และฮอลันดายึดครองซุนดา กือลาปา
(Sunda Kelapa) ต่อมาพวกเขาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบาตาเวีย ในปี ค.ศ.
1619
ในเรื่องนี้อังกฤษค่อนข้างช้ามาก
การหลุดพ้นการกระทำอันชั่วร้ายของชาติตะวันตกเหล่านี้
ปัตตานีกลายเป็นรัฐอุดมสมบูรณ์
เพราะการเดินทางมาของพวกเขา
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกว้างขวางขึ้นส่วนการแข่งขันทางการค้าระหว่างพวกเขากันเองได้ทำให้มีผลกำไรเข้ามาอย่างท่วมท้น มีบันทึกจำนวนมากที่ได้ค้นพบที่กล่าวถึงปัตตานีในราวศตวรรษนี้ นักเขียนชาวฮอลันดา
ผู้หนึ่งที่เดินทางไปถึงปัตตานีในด้านศตวรรษที่
17 มีชื่อว่า
แวนเนค (Van Neck) ได้กล่าวชมเชยการปกครองของราชินีฮีเยา ดังคำเขียนของเขา :
“พระนางได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสงบสุข พร้อมกับบรรดาขุนนางของพระนาง
(ผู้ซึ่งพวกเขาเรียกว่าเสนาบดี-Menteri) เป็นเวลาประมาณ 13 หรือ 15 ปี
มวลประชาราษฎร์ของพระองค์ต่างชื่นชมการปกครองของพระองค์ว่าดีกว่ากษัตริย์องค์ที่ผ่านมา
เช่น อาหารการกินมีราคาถูกมา ซึ่งในสมัยกษัตริย์องค์ก่อนราคาแพงกว่าตั้งครึ่งหนึ่งอันเป็นผลมาจากการวางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด[1]”
นักเขียนชาวฮอลันดาอีกผู้หนึ่งที่ชื่อว่า จอห์น นิยูฮอฟฟ์ (John Nieuhoff) ที่ได้เดินทางมายังปัตตานีในปี ค.ศ. 1660
ได้กล่าวถึงรัฐปัตตานีในสมัยนั้นว่ามีชายแดนติดต่อกับปาหังทางด้านทิศใต้และติดต่อกับนครศรีธรรมราชในด้านทิศเหนือ[2]
เขายังได้กล่าวอีกว่า “นครศรีธรรมราชในเวลานั้นได้รวมเป็นหนึ่งกับสยาม
ดังเช่นประเทศรัฐแห่งหนึ่ง”
ชื่อของปัตตานีได้นำมาจากชื่อตัวเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 756 องศาและตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากทะเล
ประชากรปัตตานีได้มีการจินตนาภาพว่ามีจำนวนมากจนกระทั่งสามารถระดมกองทัพได้ถึง
180,000 คนในสนามสงคราม
ส่วนที่ตัวเมืองปัตตานีและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้นมีกำลังทหารอยู่ถึง 10,000 คน[3]
ก่อนหน้าจอห์น นิยูฮอฟฟ์ (John Nieuhoff) ไม่นาน
มีกัปตันชนชาติอังกฤษที่เดินทางมาเยียนปัตตานีในสมัยราชินีกูนิง มีชื่อว่า
อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) ได้เขียนด้วยความรู้สึกและจินตนาการที่ใกล้เคียงกัน
เขากล่าวไว้ว่า :
“ประชากรทั้งหมดในรัฐปัตตานีในสมัยนั้นมีการคำนวณจำนวนผู้ชาย
(ไม่ได้รวมผู้หญิงไว้ด้วย) ตั้งแต่อายุ 16 ปี จนถึง 60 ปี มีจำนวนถึง
150,000 คน
ประชากรในตัวเมืองปัตตานีก็มีเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งกลายเป็นเมืองที่ใหญ่พร้อม
บ้านที่ปลูกใกล้ชิดเป็นจำนวนมาก นั้นคือเริ่มตั้งแต่ประตูพระราชวังจนถึงหมู่บ้านบานา
บ้านไม่ได้ขาดตอนเลย
แม้นว่ามีแมวตัวหนึ่งเดินอยู่บนหลังคาบ้านเหล่านั้น เริ่มจากราชวังจนถึงปลายสุดของตัวเมือง
แมวสามารถเดินได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องลงสู่พื้นดิน[4]”
เกี่ยวกับการค้าขายที่ท่าเทียบเรือปัตตานี จอห์น
นิยูฮอฟฟ์ (John Nieuhoff) ได้กล่าวไว้ว่ารัฐปัตตานีในสมัยนั้นมีอำนาจทางด้านเรือสินค้ามากกว่ารัฐโยโฮร์และรัฐปาหัง
หรือรัฐอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับรัฐปัตตานี[5]
โกดินโฮ เดอ เอรีเดีย (Godinho de
Eredia) ชาวโปรตุเกสคนหนึ่งผู้เกิดที่มะละกา
ได้กล่าวถึงปัตตานีว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งและเป็นเมืองเอกสำหรับคนมลายูในสมัยนั้น
(ศตวรรษที่ 17) ส่วนนักเดินทางชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า นิโคลัส แกร์วัยเซ่ (Nicholas Gervaise)
ผู้ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมปัตตานีในช่วงปีทศวรรษที่ 1680 ได้กล่าวว่า
“ปัตตานีไม่ได้กว้างไปกว่าสามรัฐอื่น (รัฐโยโฮร์, รัฐจัมบีและรัฐเคดะห์)
แต่ปัตตานีมีชื่อเสียงกว่าและเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การปฏิวัติของตนเองและการบริหารภายในรัฐ
การส่งสินค้าของปัตตานีในสมัยนั้น[6]
นอกจากนั้นมีเกลือ, การปศุสัตว์ เช่น วัว และไก่ เครื่องเทศ
ของป่า เช่นไม้หอม (Santalum albun) สีขาวและสีเหลือง หนังสัตว์
เขาสัตว์ งาช้าง และอื่น ๆ อีก ส่วนการนำสินค้าเข้าของปัตตานีรวมทั้งเครื่องปั้นดินเผาและผ้ามาจากจีนและญี่ปุ่น ฝ้ายและอบเชย จากจัมปาและกัมพูชา, การะบูรและอัญมณีจากบอร์เนียวจันทน์เทศและก้านพลูจากอัมบอนและอื่น
ๆ เมื่อดูรายชื่อเหล่านี้
เป็นที่ชัดเจนว่าการค้าขายของปัตตานีในสมัยศตวรรษที่ 17
ไม่เพียงการมีส่วนร่วมของบรรดารัฐในภูมิภาคมลายูเท่านั้น แต่ยังมีบรรดารัฐในเอเชียอื่น
รวมทั้งอันนาม (เวียดนาม), พะโค (พม่า) และบังคลา
ถึงแม้ว่าปลายศตวรรษที่ 17
ปัตตานีเริ่มสูญเสียยุคทองของตนเอง
ความเข้มแข็งทางการเมืองและวิธีการดึงให้ท่าเทียบเรือของตนเองให้เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญในภูมิภาคนี้ มีสภาพที่มืดมัวและสลัว สถานที่และสถานภาพของปัตตานีถูกผู้อื่นแทนที่และบรรดาพ่อค้าเริ่มย้ายไปยังที่นั้นราวปลายศตวรรษที่ 17 นี้
ปัตตานีถูกท้าทายอย่างหนักจากศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่ อย่างเช่น โยโฮร์, อาเจะห์, และบันเตน แล้วก็มะละกา
และปัตตาเวียภายใต้อำนาจของฮอลันดา
ผลจากการนี้ทำให้ท่าเทียบเรือปัตตานีเงียบเหง
ดังที่เป็นรัฐทางทะเล
เศรษฐกิจปัตตานีผูกพันอยู่กับการค้าขายความเสื่อมลงของปัตตานีในด้านการค้าขายได้ทำให้เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจของปัตตานีในปลายศตวรรษที่ 17 เริ่มช้าลงและตกลงมา
ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าตั้งแต่ต้นศตวรรษที่
18
ท่าเทียบเรือปัตตานีสามารถรักษาสภาพเป็นเพียงท่าเทียบเรือหนึ่งในการค้าขายของท้องถิ่นเท่านั้น
ด้วยความเสื่อมลงเช่นนี้ ต่อมาได้เพิ่มปัจจัยทางการเมืองภายในรัฐที่ไม่มั่นคง และการโจมตีจากสยามที่ไม่หยุดยั้งต่อปัตตานี
ทำให้ปัตตานีในศตวรรษที่ 18 เป็นเพียงรัฐของนักการเกษตร (Petani)
หรือการเกษตรกรรม (Pertanian) ที่ยากจนและสูญเขี้ยวเล็บทางการเมืองและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่ปัตตานีเองเคยมีอยู่
[1] ดู เอ.ทิว และดี.เค วัยแอต, ตำนานปัตตานี,
มาร์ตีนุส นิจฮอฟฟ์,
กรุงเฮก 1970, หน้า 242
[2] ชายแดนดังที่กล่าวมานี้ประกอบด้วยบรรดารัฐต่าง ๆ ในปัจจุบัน เช่น ตรังกานู, กลันตัน, ปัตตานีเดิม, สงขลาและพัทลุง มโนภาพที่กล่าวมานี้ตรงกับบันทึกประวัติศาสตร์กลันตันที่ได้กล่าวไว้ว่ากลางศตวรรษที่ 17 บรรดารัฐทั้งหมดเหล่านี้รวมกันเป็นหนึ่งภายใต้ชื่อ “รัฐปัตตานีใหญ่” ปกครองโดยราชาซักตีที่ 1 (ดูแผนที่)
[3] เจ.เจ.ซีฮัน
“ผู้มาเยี่ยมแหลมมลายูในศตวรรษที่
17” ในวารสาร JIMBRAS เล่มที่ 12
ส่วนที่ 2 (คัดลอกจากนากูลา, อ้างแล้ว,หน้า 20)
[4] อิบราฮิม ซุกรี
ประวัติราชอาณาจักรมลายูปัตตานี ปาเสร์ปูเตะห์ ไม่มีวันเดือนปีพิมพ์
หน้า77
[5] เจ.เจ.ซีฮัน
“ผู้มาเยี่ยมแหลมมลายูในศตวรรษที่
17” ในวารสาร JIMBRAS เล่มที่ 12
ส่วนที่ 2 (คัดลอกจากนากูลา, อ้างแล้ว,หน้า 20)
[6] นิโคลัส แกร์วัยเซ่, Historie Naturelle et Politique du Rayaume de Siam พิมพ์ครั้งที่ 2 ปารีน, 1960 หน้า 316-317 (คัดลอกจากมูฮัมหมัดยูซูฟ อาริม, ประวัติศาสตร์มลายูในภูมิภาคมลายู (Persejarahan Melayu Nusantara) บริษัทเทคส์ พัลลิชชิ่ง จำกัด, กัวลาลัมเปอร์, 1988 หน้า 302
Tiada ulasan:
Catat Ulasan