โดย
Nik
Abdul Rakib Bin Nik Hassan
รัฐธรรมนูญสหพันธรัฐ
รัฐธรรมนูญสหพันธรัฐมีจำนวน
181 มาตรา ในจำนวนทั้งหมด14 บท
รัฐธรรมนูญนี้ร่างขึ้นมาใช้ เมื่อ 1 กันยายน 1963 โดยใช้พื้นฐานเดิมของรัฐธรรมนูญมาลายาปี 1957
สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญสหพันฐรัฐ
คือ
1.
การปกครองด้วยระบบกษัตริย์
พระราชาธิบดีเป็นพระมหากษัตริย์ของสหพันธรัฐมาเลเซีย
การปฏิบัติงานของพระราชาธิบดีต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
ส่วนสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะของมุขมนตรีและสภาบริหารรัฐบาลท้องถิ่นแห่งรัฐ(Majlis
Mesyuarat Kerajaan Negeri)
2.
ศาสนาอิสลาม
ในรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐมาตรา
160 ได้บัญญัติถึงความหมายของคำว่า “มลายู “ หมายถึง “
ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายูและยอมรับขนบธรรมเนียมประเพณีของมลายู”
ในรัฐธรรมนูญ
สหพันธรัฐมาตรา
3(1)
ได้บัญญัติถึงศาสนาอิสลามว่า “
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติของสหพันธรัฐ”
3.
ภาษามลายู
รัฐธรรมนูญสหพันธรัฐมาตรา
152
(1) ได้บัญญัติถึงภาษามลายูว่า “เป็นภาษาแห่งชาติของสหพันธรัฐ”
4.
สิทธิพิเศษของคนมลายู
รัฐธรรมนูญสหพันธรัฐมาตรา
153
ได้บัญญัติถึงสิทธิพิเศษของคนมลายูว่าพระราชาธิบดีต้องดำเนินนโยบายในการปกป้องสถานะพิเศษของคนมลายูและ
Bumiputra
ในรัฐซาบะห์และซาราวัค
ในด้านตำแหน่งหน้าที่การงานของข้าราชการพลเรือน ทุนการศึกษา
การช่วยเหลือหรือโอกาสทางการศึกษา การออกใบอนุญาติธุรกิจการค้า
Yang
Dipertuan Agong
Yang
Dipertuan Agong หรือพระราชาธิบดีมีฐานะเป็นผู้นำของประเทศ
พระองค์อยู่ในฐานะสูงสุดโดยมี 3 ส่วน อยู่ใต้พระองค์คือ
ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายศาลฎีกา
ตำแหน่ง
Yang
Dipertuan Agong เกิดขึ้นเมื่อ 31สิงหาคม 1957 ตามรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐมาลายาปี 1957
ตำแหน่งนี้คือตำแหน่งเดียวในโลกที่พระราชาธิบดีได้รับเลือกตามวาระ
โดยไม่มีการสืบทอดราชบังลังก์จากบิดาสู่บุตรดังเช่นตำแหน่งพระราชาธิบดีของประเทศอื่นๆ
พระราชาธิบดีได้รับเลือกโดยสภาผู้ครองรัฐหรือ
Majlis
Raja-Raja ซึ่งประกอบด้วยสุลต่านหรือผู้ครองรัฐจำนวน 9 รัฐ
การเลือกพระราชาธิบดีนั้นยึดถือผู้ที่ครองตำแหน่งสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐที่อาวุโสที่สุด
การเลือกโดยวิธีดังกล่าวเปิดโอกาสให้สุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐ
ทุกคนมีสิทธิเป็นพระราชาธิบดี ยกเว้นสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐคนนั้นมีอายุไม่ครบเกณฑ์
ไม่ต้องการที่จะเป็นหรือสภาเจ้าผู้ครองรัฐลงมติด้วยวิธีลับว่าบุคคลนั้นไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระราชาธิบดี
การเลือกพระราชาธิบดีจะใช้วิธีหมุนเปลี่ยนกันเป็นบุคคลที่เคยเป็นแล้วไม่อาจเป็นอีก
พระราชาธิบดีมีวาระ 5 ปี พระราชาธิบดีสามารถลาออกก่อนกำหนด หรือถูกปลดโดยสภาเจ้าผู้ครองรัฐ
เมื่อสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐจากรัฐใดได้เป็นพระราชาธิบดี
พระองค์จะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐนั้นๆจะต้องแต่งตั้งราชทายาทเป็นรักษาการสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐแทน
พระราชาธิบดีจะเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพมาเลเซีย
และเป็นผู้นำของศาสนาอิสลามของรัฐปีนัง, มะละกา, ซาบะห์, ซาราวัคและดินแดนสหพันธรัฐ ( กัวลาลัมเปอร์-
ปุตราจายา- เกาะลาบวน ) รวมทั้งของรัฐที่พระองค์เป็นสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐด้วย
พระราชาธิบดีมีอำนาจในการอภัยโทษต่อศาลทหารของดินแดนสหพันธรัฐ( กัวลาลัมเปอร์
และเกาะลาบวน )
ส่วนการอภัยโทษที่เกิดขึ้นในรัฐต่างๆนั้นเป็นอำนาจขอสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐและผู้ว่าการรัฐ
(Governor) ของรัฐที่ไม่มีสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐ
พระราชาธิบดีองค์แรกของมาเลเซียคือ Tuanku Abdul Rahman ibni Al –Marhum
Tuanku Muhammad
รองพระราชาธิบดี
(Timbalan
Yang dipertuan Agong)
ตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียได้กำหนดให้มีการเลือกสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐเพื่อดำรงตำแหน่งรองพระราชาธิบดีอีกด้วย
โดยมีวาระ 5 ปี เมื่อพระราชาธิบดีเดินทางไปต่างประเทศเกิน 15
วัน หรือประชวรให้รองพระราชาธิบดีทำหน้าที่รักษาการพระราชาธิบดี
ถ้าผู้เป็นรองพระราชาธิบดีได้รับเลือกในเวลาพร้อมกับพระราชาธิบดี
เมื่อพระราชาธิบดีหมดวาระ ทางรองพระราชาธิบดีก็หมดวาระด้วย
รองพระราชาธิบดีสามารถลาออกจากตำแหน่งโดเยการเขียนเป็นลายลักษณ์ถึงสภาเจ้าผู้ครองรัฐ
สภาเจ้าผู้ครองรัฐ
( Majlis
Raja-Raja)
สภานี้ประกอบด้วยบรรดาสุลต่านและผู้ว่าการรัฐ
(Yang
Dipertua Negeri ) ของบรรดารัฐที่ไม่มีสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐการจัดตั้งสภานั้นมีขึ้นเพื่อสกัดความสามัคคีระหว่างรัฐต่างๆที่อยู่ในสหพันธรัฐ
สภาเจ้าผู้ครองรัฐมีการจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1897
และยั่งยืนจนถึงปัจจุบัน
หน้าที่หลักของสภาเจ้าผู้ครองรัฐคือการคัดเลือก
Yang
Dipertuan Agong และ Timbalan Yang Dipertuan Agong โดยผู้ว่าการรัฐ Yang Dipertua negeri หรือ Governor
ทั้งสี่รัฐ คือ รัฐปีนัง , มะละกา, ซาบะห์ และซาราวัค ไม่มีส่วนในการคัดเลือกตำแหน่งทั้งสองแต่อย่างใด สภาเจ้าผู้ครองรัฐยังมีหน้าที่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของคนมลายูและกิจการศาสนาอิสลามทั่วสหพันธรัฐ
ยกเว้นในรัฐซาบะห์และซาราวัค
สภาเจ้าผู้ครองรัฐต้องได้รับการรับรู้เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้พิพากษา
สมาชิกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( กพ.)
สภาเจ้าผู้ครองรัฐต้องมีส่วนร่วมในการเจรจาและยอมรับในการแบ่งเขตดินแดนระหว่างรัฐ
การขยายเขตสหพันธรัฐ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สภาเจ้าผู้ครองรัฐต้องมีส่วนร่วมเมื่อมีกรณีพาดผิงถึงสิทธิพิเศษของคนมลายู
และคนพื้นเมือง (Anak- Negeri) ของรัฐซาบะห์และซาราวัค
ฝ่ายนิติบัญญัติ
องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติในมาเลเซียประกอบด้วย
3 ส่วน คือ1. พระราชาธิบดี และสภา อีก 2 สภาคือ วุฒิสมาชิก (Dewan Negara) และสภาผู้แทนราษฎร
(Dewan Rakyat)
วุฒิสภา
(Dewan
Negara)
วุฒิสภาถือเป็นสภาสูงสุดของระบบการปกครองในประเทศมาเลเซีย
วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งวุฒิสภาเพื่อพิจารณาการร่างกฎหมายที่ละเอียดยิ่งขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกของวุฒิสภาประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพไม่เพียงเป็นนักการเมืองเท่านั้น
วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิก
69 คน
และสมาชิกของวุฒิสภาแบ่งออกเป็น
3 กลุ่มคือ
1.
สมาชิกที่ได้รับเลือกโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ โดยรัฐละจำนวน 2 คน รวมเป็นจำนวน 26 คน
2.
สมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาธิบดีจากกัวลาลัมเปอร์ จำนวน 2 คน และจากเกาะลาบวน จำนวน 1 คน
3.
สมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาธิบดี จากบุคคลทั่วไปจำนวน 40 คน
ในจำนวนสมาชิกเหล่านี้
ส่วนหนึ่งมาจากชนกลุ่มน้อยในประเทศมาเลเซีย เช่น กลุ่มชนพื้นเมือง(Orang Asli) ชุมชนคนไทยพุทธ( 2005 -นางศรีชุม เอี่ยม )
จากรัฐเปอร์ลิสได้รับการเลือกเป็นวุฒิสภาสมาชิกตัวแทนชุมชนคนไทยพุทธ
สมาชิกวุฒิสภาจะเรียกว่า
“ Senator
“ วุฒิสภาจะมีประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภา
ถ้าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ(ADUN-Ahli Dewan Undangan Negeri) ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา
บุคคลนั้นต้องลาออกจากสภานิติบัญญัติแห่งรัฐก่อนที่จะทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา
สมาชิกวุฒิสภามีวาระ 3 ปี
สภาผู้แทนราษฎร
(Dewan
Rakyat)
สภาผู้แทนราษฎรถือว่าเป็นสภาที่สำคัญเพราะสมาชิกสภาได้รับการเลือกตั้งโดยประชาชน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกจำนวน 219 คน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งหนึ่ง
และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนเป็นตัวแทน
2 เขต คือบุคคลหนึ่งสามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(Parliament)
และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ( Ahli Dewan Undangan
negeri) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 5 ปี
เมื่อเกิดตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงจะต้องมีการเลือกตั้งภายใน 60 วัน นับจากวันที่ตำแหน่งว่างลง ส่วนรัฐซาบะห์และซาราวัค
ต้องมีการเลือกตั้งภายใน 90 วัน นับจากวันที่ตำแหน่งว่างลง
ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่เพียงจะมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น
แต่ยังสามารถเลือกบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
โดยถือว่าบุคคลนั้นเป็นสมาชิกสมทบของสภาผู้แทนราษฎรแต่บุคลผู้นั้นไม่สามารถได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีช่วยและSetiausaha
Parlimen (Parliament Secretary to ministry)
(
ในมาเลเซียนี้ถือเป็นอันดับ 3 ของกระทรวงนั้นๆ
รองจากรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วย )
พ.ร.บ.
งบประมาณที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
เมื่อไม่ได้รับการเห็นชอบจากวุฒิสภา นับจากวันที่ส่ง พ.ร.บ.
ฉบับนั้นไปให้วุฒิสภาพิจารณาเป็นเวลาหนึ่งเดือน สามารถทำ
พ.ร.บ.งบประมาณไปใช้ได้เลย
ฝ่ายริหาร
ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร
โดยนายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
รัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งมาจากสมาชิกของวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร
นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชมีทั้งหมด 5
คน คือ
1.Tunku
Abdul rahman Putra Al- Haj ibni Al- Marhum Sultan Abdul Hamid HalimShah
2.
Tun Abdul RaZak bin Dato’Hussein
3.
Tun Hussein bin Onn
4.
Tun Dr. Mahathir bin Mohamad
5.
Dato’ Seri Abdullah Ahmad Badawi