Jumaat, 1 Januari 2021

ประวัติรายาโกตา ตำนานท้องถิ่นของจังหวัดนราธิวาส

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

จังหวัดนราธิวาสในอดีตเป็นดินแดนที่ประกอบด้วยพื้นที่บางส่วนของเมืองสายบุรี พื้นที่เมืองระแงะ พื้นที่ส่วนหนึ่งของรัฐกลันตัน และพื้นที่ส่วนหนึ่ง อาจเรียกว่า พื้นที่ส่วนนิดของเมืองรามันห์ คือ พื้นที่บางส่วนของอำเภอรือเสาะ ประกอบด้วยบาตง, สาวอ และตามุง  ซึ่งหลักฐานที่กล่าวถึงการเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเมืองรามันห์นั้น  มาจากหนังสือชื่อ Sejarah Raja Kota หรือประวัติรายาโกตา หรือภาษามลายูท้องถิ่นว่า ประวัติเจ้าเมืองกอตอ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ฉบับคัดลอกจากต้นฉบับเดิมโดยนายเสนีย์  มะดากะกุล  อดีตอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาส 

ซึ่งหนังสือ Sejarah Raja Kota หรือประวัติรายาโกตา นี้ทางคุณ อ. บางนรา ได้ทำการแปลเป็นภาษาไทย โดยเนื้อหาที่สรุปจากประวัติเจ้าเมืองกอตอ ซึ่งได้กล่าวถึงการเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเมืองรามันห์ไว้ดังนี้

 

รายาบือซียง (พระราชาที่มีเขี้ยว) จากเมืองเคดะห์ (มาเลเซีย)  จะเดินทางไปเมืองกลันตัน (มาเลเซีย) เดินทางผ่านหลายแห่ง จนถึงเมือรามันห์  ได้แต่งงานกับธิดาเจ้าเมืองรามันห์  ซึ่งมีศิริโฉมงดงามมาก  มีนามเรียกขานว่า  ตวนปุตรี (Tuan Putri ) ทางเมืองรามันห์ได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตมาก  มีการแห่ด้วยช้างเผือก 3 เชือก  และช้างอื่นๆ อีก 40 เชือก   อยู่ที่เมืองรามันห์เป็นเวลา13  เดือน ก็จะเดินทางไปเมืองกลันตันต่อไป 

 

ขณะนั้นตวนปุตรีกำลังตั้งครรภ์  ซึ่งครบกำหนดจะคลอดแล้วก็ต้องติดตามสามีไปด้วย จึงได้เดินทางขี่ช้างไป  มีช้างขนเสบียงอีก 2  เชือกตามหลัง  เมื่อไปถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง  ตวนปุตรีเจ็บท้องจะคลอด  จึงหยุดที่ตรงนั้นและคลอดบุตรได้บุตรชาย  มีนามว่า“มายน”หรือ “มายง”

รายาบือซียงจึงได้สร้างวัง ณ ที่ตรงนั้น  อันเป็นที่มาของบ้านกอตอ (แปลว่า บ้านวัง) ณ บริเวณที่สร้างวังนั้น  มีสัตว์ร้ายชุกชุม  จึงได้ก่อกำแพงดินขึ้นมา  มีประตูทางทิศตะวันตก  เมื่อสร้างวังเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ตวนปุตรีก็จะปักหลักอยู่ที่ตรงนั้น  ไม่ยอมติดตามสามีต่อไป 

 

รายาบือซียงจึงเดินทางไปตามลำพัง ขณะนั้นโอรสมีพระชนม์ 1 ชันษา  ทั้งมารดาและโอรสจึงได้พำนักอยู่ในวังนั้นพร้อมด้วยบริวารทรงปกครองบริเวณ บาตง (Batong)  สาวอ (Sawa) และตามุง (Tambun)    กล่าวกันว่า บ้านตามุงนั้นเป็นบ้านของผู้คนที่ถูกเกณฑ์ไปก่อกำแพงดิน (ตามุง  แปลว่า  ก่อ  เช่น  ก่อดิน  ก่อทราย  เป็นต้น)  เขตบาตง มีผู้ปกครองคนหนึ่ง  สาวอก็มีผู้ปกครองคนหนึ่ง  ตอแล (Tolan) ก็มีผู้ปกครองคนหนึ่ง  ซึ่งปกครองครอบคลุมบ้านตามุง  ทั้งหมดนี้ขึ้นต่อผู้ปกครอง (เบินดาฮารา) ที่อยู่ที่กอตอ  ซึ่งเป็นผู้ดูแลตวนปุตรีและโอรส

 

จนกระทั่งพระโอรสมีพระชนม์ 20 ชันษา  จึงได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองกอตอ  และปกครองบ้านเมืองแถบนั้น  จนพระองค์ได้รู้พฤติกรรมของดาโต๊ะเบินดาฮารากับพระมารดาของพระองค์  จึงได้รายงานไปยังเจ้าเมืองรามันห์ ซึ่งเป็นตา  เจ้าเมืองรามันห์จึงได้เรียกเบินดาฮาราไปสอบสวนและสำเร็จโทษ  ต่อมาพระนางตวนปุตรีได้สมรสใหม่กับเจ้าเมืองกือมุง (Kemun) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าเมืองระแงะ  ได้โอรสอีกพระองค์หนึ่ง โอรสพระองค์นี้ชอบเล่นกับช้าง  พำนักอยู่ที่วังใกล้บ้านกูจิงลือปะ(Kucing  Lepas)  ปัจจุบันอยู่ในตำบลเฉลิม  อำเภระแงะ  จังหวัดนราธิวาส  ที่อาบน้ำช้างเรียกว่า ลูโบ๊ะกาเยาะห์ รายอ (Lubuk Gajah  Raja) ปัจจุบันเป็นบ้านลูโบ๊ะกาเยาะห์  ตำบลเฉลิม  อำเภระแงะ  จังหวัดนราธิวาส

 

การสถาปนาเจ้าเมืองกอตอนั้นจัดงานใหญ่โต 3 วัน 3 คืน มีการละเล่นต่างๆ สุลต่านปาตานีก็เสด็จไปกับขบวนช้าง  15  เชือก ได้ทรงนำผู้ทรงความรู้ทางศาสนา ชื่อ โต๊ะเซียะ  เป็นผู้ทำพิธีสถาปนาเจ้าเมือง    โดยสุลต่านปาตานี ได้ทรงมอบอำนาจให้ปกครองเมืองแถบนั้น  โต๊ะเซียะ  เดิมเป็นชาวเมืองเซียะ (เมืองเซียะ Siak เป็นเมืองหนึ่งบนเกาสุมาตรา อินโดเนเซีย) กล่าวกันว่า เจ้าเมืองกอตอนั้นปกครองบ้านเมืองไม่เป็นธรรม  ท่านเลี้ยงช้างมากมาย  ปล่อยปละละเลยให้ช้างไปทำลายไร่สวนของชาวบ้าน  ชาวบ้านมาฟ้องร้องก็ไม่สนใจ  ใครมีลูกสาวสวยก็จะถูกเจ้าเมืองนำไปอยู่ในวัง  จึงมีราษฎรไปรายงานให้สุลต่านปาตานีเกี่ยวกับพฤติกรรมของเจ้าเมือง  สุลต่านปาตานีจึงไปส่งครูสอนศาสนาไปให้คำแนะนำสั่งสอน  เจ้าเมืองกอตอจึงได้งดกระทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  ช้างดุก็ให้ฆ่าเสีย  บ้านเมืองจึงได้สงบสุข

 

ต่อมาเจ้าเมืองได้สมรสกับธิดาเจ้เมืองปาตานีที่ได้กับภรรยาน้อย  เมืองกอตอก็ยิ่งสงบ  เมืองก็ขยายตัว  ประชาชนก็เพิ่มมากขึ้น  มีการโยกย้ายไปอยู่ใกล้วัง  มีการขุดคลองหน้าวังไว้เป็นที่อาบน้ำและใช้น้ำดื่ม  มีการซื้อขายช้างด้วยการแลกเปลี่ยนกับทองคำกับชาวเมืองกลันตันและเมืองโยโฮร์  สถานที่แลกเปลี่ยนคือที่เมืองรามันห์ของคุณตาของเจ้าเมืองกอตอ  ส่วนวังก็สร้างอย่างแข็งแรงและทนทาน  คือสร้างด้วยไม้ตะเคียน  เสากลมใหญ่  พื้นไม้สยา  ใช้หมุดเหล็กขนาดใหญาเท่าแขน  หลังคามุงด้วยใบจากที่ผูกด้วยหวายกว้าง  8 วา   ยาว 16  วา  ไว้เป็นที่ประทับ  ทางด้านขวาอาคารสำหรับรับแขกเมือง  อาคารด้านซ้ายเป็นที่ว่าการเกี่ยวกับบ้านเมือง  เสื่อทั้งหมดทำด้วยหวายผ่าสี่  หุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่ (กาเวาะห์) ทุกวัน  ที่ประตูวังมีเจ้าหน้าที่เฝ้า 2 คน ทั้งกลางวันกลางคืน  ถือหอกและกริช  หอกยาวไว้สู้กับช้างเถื่อนและคนที่คิดไม่ดี

 

เจ้าเมืองมายนได้ธิดาคนหนึ่ง  ภายหลังได้สมรสกับบุตรเจ้าเมืองสาย  และไปสร้างวังที่บาโงปูโล๊ะ  ทำไร่ทำสวนอยู่ที่นั้น  แต่ในสมัยนั้นยังไม่ได้เรียกว่า บาโงปูโล๊ะ (ปัจจุบันอยู่ในตำบลเรียง  อำเภอรือเสาะ  จังหวัดนราธิวาส)  วังอยู่ใกล้ภูเขาทางไปเมืองรามันห์ บุตรของเจ้าเมืองมายนอีกคนหนึ่ง มีนามว่า รายาบอซู (Raja Bongsu )  เมื่อเจ้าเมืองมายนแก่ชราแล้ว  จึงได้สถาปนา รายาบอซูเป็นเจ้าเมือง  รายาบอซูสมัยเป็นเด็กไว้ผมจุก  วันที่เข้าสุนัตรายาบอซูได้มีการจัดงานกันอย่างใหญ่โตมาก  มีผู้รู้ทางศาสนาจากปัตตานีเป็นผู้โกนจุก  ขณะที่สถาปนารายาบอซูเป็นเจ้าเมืองกอตอนั้นพระองค์มีอายุ 18 ปี





 

Tiada ulasan: