โดย
นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซีน
มีความพยายามที่จะดำเนินการนำหลักการชารีอะห์อิสลามมาใช้โดยพรรค
PAS
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐกลันตันและรัฐตรังกานู
นับตั้งแต่การก่อตั้งพรรค PAS ในปี1951 พรรค PAS มีความพยายามที่จะนำหลักการศาสนาอิสลามมาใช้
แต่การนำบางส่วนของหลักการซารีอะห์อิสลาม เริ่มมีผลให้เห็นนับตั้งแต่พรรค PAS
ได้สามารถยึดครองรัฐกลันตันตั้งแต่ปี 1990 โดยพรรค PAS ได้พยายามทำให้รัฐกลันตันเป็นรัฐที่ปกครองตามหลักศาสนาอิสลาม
มีการประกาศให้รัฐกลันตันเป็นรัฐระเบียงแห่งนครมักกะห์ ( Negeri Kelantan
Negari Serambi Makkah) และประกาศให้เมืองโกตาบารู
เมืองเอกของกลันตันเป็นเมืองอิสลาม หรือ Islamic City โดยมีชื่อเป็นทางการว่า
เมืองโกตาบารู เมืองแห่งอิสลาม หรือ Kota Bharu Bandar raya Islam
หลักการของเมืองอิสลาม
หรือ Islamic
City คือการบริหารการปกครองเมืองโดยใช้หลักการศาสนาอิสลาม
และเป็นการปกครองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคัมภีร์อัล-กุรอานและแบบอย่างของจริยวัตรศาสดาหรือที่เรียกว่า
สุนนะห์ (Sunnah) ชาวมุสลิมนั้นมีความเชื่อว่าโลกหน้ามีจริง
ดังนั้นชาวมุสลิมจึงมีทั้งโลกนี้และโลกหน้า
คนที่ไม่ใช่มุสลิมจะปฏิบัติตามที่กฎหมายซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นมาเท่านั้น
สำหรับชาวมุสลิมนั้นจะปฏิบัติตามกฎหมายเพราะมีความเชื่อในพระเจ้า
กฎหมายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคัมภีร์อัล-กุรอ่านและจริยวัตรของศาสดา
จึงเป็นกฎหมายที่อยู่ในแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า[1] ศาสนาอิสลามให้คนรักษาความสะอาด
แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่ให้ประชาชนทุกคนรักษาความสะอาด
คนรุ่นเก่ายังสร้างความสกปรก มีแต่คนรุ่นใหม่เท่านั้นที่จะรักษาบ้านเมืองให้สะอาด
กระบวนการสร้างเมืองโกตาบารูให้เป็นเมืองแห่งอิสลามจึงค่อยเป็นค่อยไป พรรค PASเริ่มกระบวนการสร้างเมืองแห่งอิสลามมานับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งปี 1990
ประกาศเป็นเมืองแห่งอิสลามอย่างทางการเมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2005
และมีการตั้งเป้าหมายว่าเมืองโกตาบารูจะสามารถเป็นเมืองแห่งอิสลามที่สมบูรณ์ในปี
2015[2]
รัฐกลันตันกับการปกครองโดยใช้หลักการของศาสนาอิสลาม
การประกาศจัดตั้งเมืองโกตาบารูเป็นเมืองแห่งอิสลามนั้นแตกต่างจากการตั้งอยู่เมืองมาราวี(Islamic City of
Marawi) ในฟิลิปปินส์ภาคใต้
การประกาศตั้งชื่อเมืองโกตาบารูว่าเป็นเมืองโกตาบารู
เมืองแห่งอิสลามด้วยการพยายามใช้กฎหมายอิสลามในการบริหารการปกครองเมือง
ส่วนเมืองมาราวี ตั้งขึ้นมาเพราะเป็นเมืองที่ชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นชนกลุ่มใหญ่
สำหรับเมืองโกตาบารูนั้นทางรัฐบาลรัฐกลันตันได้ดำเนินการเพื่อทำให้เมืองโกตาบารูกลายเป็นเมืองแห่งอิสลาม
โดยกล่าวว่าการพัฒนาและ การบริหารเป็นหัวใจหลักของรัฐบาลหนึ่งๆ มีหลักการบริหารว่าพัฒนาพร้อมกับอิสลาม
หรือ Membangun bersama Islam มีความหมายว่าการนำโดยเน้นความรับผิดชอบทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
โดยใช้หลักของคัมภีร์อัล-กุรอ่านและสุนนะห์เป็นพื้นฐาน
และนักปราชญ์ศาสนาเป็นแกนหลักของการวินิจฉัย โดยได้ดำเนินทางการทางยุทธศาสตร์ออกเป็น
3 ส่วนคือ[3]
1.
โครงการการบริหารและการคลัง
2.
โครงการพัฒนาอิสลาม
3.โครงการพัฒนาและความสงบสุขของประชาชน
รัฐบาลรัฐกลันตันได้ดำเนินการให้เป็นรูปธรรมของโครงการทั้งสาม
หลังจากที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนับตั้งแต่ปี 1990
และครั้งล่าสุดในการเลือกตั้งปี 2004 การดำเนินการที่เป็นรูปธรรมนั้นมีดังนี้
1.
โครงการการบริหารและการคลัง
1.1
สร้างวัฒนธรรมโดยการเปิดและปิดพิธีการต่างๆ โดยใช้หลักการอิสลาม นั้นคือ
การเริ่มเปิดงานโดยการอ่านบท อัล-ฟาตีฮะห์ และปิดงานโดยการอ่านบทอัล-อัสรี[4]
1.2
อนุมัติหนังสือเวียนการบริหารอิสลามฉบับปี1994
1.3
ปิดสถานที่การพนัน
1.4
ปฏิบัติตัวตามหลักการอิสลามด้วยการแต่งกายที่มิดชิด(Aurat)
1.5
ควบคุมร้านตัดผม โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้สตรีตัดผมผู้ชาย
1.6
ห้ามมีป้ายโฆษณาที่มีการโฆษณารูปภาพสตรีที่ท่าทางและการแต่งกายที่ขัดกับหลักการศาสนาอิสลาม
1.7
ไม่มีการอนุมัติใบอนุญาตเปิดสถานบันเทิง
1.8
ดำเนินการใหม่เกี่ยวกับใบอนุญาตขายเหล้า เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 1993 โดยสุรา
สิ่งมึนเมาทุกประเภทไม่อนุญาตให้มีการดื่มในที่สาธารณะ รวมทั้งในโรงแรม, ภัตตาคาร และ ร้านอาหาร อย่างไรก็ตามบุคคลที่ไม่ใช่มุสลิมสามารถดื่มที่บ้าน
สถานที่พำนักของพวกเขา หรือ สถานที่ไม่ใช่สาธารณสถาน
1.9
มีการบริหารโรงแรมตามหลักศาสนาอิสลาม
1.10
มีการเปิดเคาเตอร์จ่ายเงินโดยแยกระหว่างสตรีกับผู้ชายในห้างสรรพสินค้า
1.11
มีการแยกที่นั่งกันระหว่างผู้ชายกับสตรีในงานที่เป็นทางการต่างๆ
1.12
มีการให้เงินกู้ยืมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลโดยใช้หลักการศาสนาอิสลาม
1.13
แยกบัญชีระหว่างบัญชีฮาลาล หรือบัญชีถูกตามหลักการศาสนาอิสลามกับบัญชีฮาราม
หรือบัญชีผิดตาหลักการศาสนาอิสลาม
1.14
ทำงานวันละ 5 วันต่อสัปดาห์ (วันหยุดคือ วันศุกร์และวันเสาร์ ขณะที่รัฐอื่นวันหยุดคือ
วันเสาร์และวันอาทิตย์)
1.15
ลาคลอดมีการขยายเวลาจาก 42 วัน เป็น 60 วัน
1.16
เวลาทำงานในช่วงเดือนถือศีลอดทำให้สั้นลง โดยไม่มีเวลาพักเที่ยงในเดือนรอมฏอน
1.17
มติผ่าน พ.ร.บ. การควบคุมการบันเทิงของรัฐกลันตัน ฉบับปี 1998
โดยการเน้นคุณค่าของศาสนาอิสลาม
1.18
ควบคุมเวลาการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลามักริบ[5]
เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถประกอบการละหมาดได้
1.19
มีการโอนบัญชีเงินฝากของรัฐบาลท้องถิ่นจากระบบธนาคารที่มีดอกเบี้ยมาเป็นระบบธนาคารปลอดดอกเบี้ย
1.20
สร้างโรงรับจำนำตามระบบอิสลาม หรือที่เรียกว่า อัล-ราฮัน (Al-Rahn)
1.21
จัดตั้งกองทุนระเบียงมักกะห์ (Tabung Serambi Mekah)
2.
โครงการพัฒนาอิสลาม
2.1
โครงการที่ได้รับการอนุมัติจากทางรัฐบาลท้องถิ่นรัฐกลันตัน
2.2
จัดตั้งหน่วยเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
2.3
เพิ่มจำนวนครูสอนคัมภีร์อัล-กุรอ่านและฟาร์ดูอิน[6]
2.4
ดำเนินกิจกรรมต่างๆโดยร่วมมือกับองค์กรต่างๆที่เผยแพร่ศาสนา
2.5
เพิ่มกิจกรรมเผยแพร่ศาสนาอิสลามโดยผ่านหน่วยงานของรัฐ
2.6
โครงการเผยแพร่ศาสนาโดยผ่านกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ในระดับองค์กรบริหารส่วน
ท้องถิ่น
เช่น เทศบาล,
อำเภอ
2.7เพิ่มประสิทธิภาพของฝ่ายเผยแพร่ศาสนาในสำนักงานกิจการอิสลาม
2.8ส่งเสริมการเข้าร่วมของบุคคลที่ไม่ใช่มุสลิมในงานพิธีการสำคัญของทางศาสนาอิสลามและพิธี
ทางการของรัฐบาลท้องถิ่น
2.9
รณรงค์การแต่งกายปกปิดตามหลักศาสนาอิสลาม
2.10โครงการอิฮฺยารอมฎอน[7]
2.11โครงการอิมาเราะห์มัสยิด[8]
2.12โครงการต้อนรับวันฮูดุด[9]
2.13
โครงการเดือนแห่งการละหมาด
2.14
จัดท่องเที่ยวในเดือนรอมฎอน
2.15
จัดตั้งกองทุนอัล-กอร์ดูล ฮัสซันในมัสยิดต่างๆ
2.16
ขจัดการค้าประเวณี
2.17
จัดตั้งวิทยาลัยอิสลามนานาชาติสุลต่านอิสมาแอลปุตรา มีสถานะเทียบเท่ามหาวิทยาลัย
2.18
จัดตั้งสถาบันมาอาฮัดตะห์ฟีซอัล-กุรอ่าน[10]
2.19
การแทรกกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรมอิสลามเข้าในงานวัฒนธรรมประจำปีของรัฐกลันตัน
2.20
ลงมติผ่าน พ.ร.บ. กฎหมายอาชญากรรมชารีอะห์ II (ฉบับปี1983)
ของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐกลันตัน
2.21
ออกนโยบายวัฒนธรรมแห่งรัฐโดยตั้งบนพื้นฐานของหลักการอิสลาม(ฉบับปี1998)
2.22
ดำเนินการอย่างเข้มงวดให้เป็นไปตามหลักการอิสลาม
ของนโยบายควบคุมการบันเทิงของรัฐกลันตัน ฉบับปี 1998 และให้ความสำคัญกับจริยธรรมอิสลามในกฎข้อบังคับควบคุมการบันเทิง
ฉบับปี1999
2.26
ให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ครอบครัวอิสลาม ฉบับปี 1993 ฉบับแก้ไขปี1999
3.โครงการพัฒนาและความสงบสุขของประชาชน
3.1
เพิ่มประสิทธิภาพของสำนักงานพัฒนาแห่งรัฐในการดำเนินโครงการต่างๆ
3.2
เพิ่มบทบาทของสำนักที่ดินและอำเภอ (มีสถานะคล้ายที่ว่าการอำเภอในประเทศไทย)
3.3
ดำเนินโครงการสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างถนน ยกระดับถนน สร้างสะพาน ฯลฯ
3.4
มีการเปิดประมูลสัมปทานป่าไม้โดยการเปิดเผย
3.5
นโยบายประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน
3.6
นโยบายตะอาวุน[11]ในการดำเนินการโครงการต่างๆ
3.7
ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ยากจนโดยผ่านองค์กรของรัฐบาลท้องถิ่น เช่น YAKIN, PKINK และ KPK
เมื่อครั้งที่อยู่ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งทั้งในระดับสภานิติบัญญัติแห่งรัฐและสภาผู้แทนราษฎรนับตั้งแต่ปี
1990 พรรคแนวร่วมแห่งชาติได้สร้างภาพของพรรค PAS จนทำให้กลุ่มชนส่วนน้อยบางส่วนเกิดความกลัวต่อการปกครองของพรรค
PAS ที่จะนำหลักการของศาสนาอิสลามมาใช้ภายในรัฐกลันตัน
ปรากฏว่าเมื่อพรรค PAS ชนะการเลือกตั้งในปีดังกล่าว รัฐกลันตันเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
สถานที่บันเทิง สถานที่เป็นแหล่งอบายมุข การพนัน เริ่มหายไปจากรัฐกลันตัน
การเล่นการพนันของชาวรัฐกลันตันลดลง แต่ไม่ได้หายขาดไป
เพราะผู้เปิดการเล่นการพนันไม่ว่าจะมาจากท้องถิ่น
หรือเป็นตัวแทนจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้ย้ายฐานการรับแทงการพนันดังกล่าวไปยังอำเภอสุไหงโก-ลก
จังหวัดนราธิวาส
เกิดกระบวนการขัดเกลาจิตใจของประชาชนให้หันเข้าหาศาสนามากขึ้น
จากการดำเนินการโครงการต่างๆของรัฐบาลรัฐกลันตันตามที่กล่าวมาข้างต้น
สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลรัฐกลันตันประสบความสำเร็จในการทำให้รัฐกลันตันมีการบริหารการปกครองที่สะอาดขึ้นกว่าเดิม
ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่านายนิอับดุลอาซีซ บินนิมัต ผู้เป็นมุขมนตรีรัฐกลันตัน
จะเป็นนักการศาสนา เป็นนักการเมืองที่ใช้ศาสนาอิสลามเป็นพื้นฐานในการปกครอง
มีความโปรงใสในการบริหารการปกครอง
แต่มิได้หมายความว่าบุคคลแวดล้อมของเขาจะมีทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติงานทุกคนจะมีลักษณะเช่นเขา
ครั้งหนึ่งรัฐบาลรัฐกลันตันถูกโจมตีเรื่องความไม่โปรงใสในการประมูลสัมปทานป่าไม้
ซึ่งป่าไม้นั้นอยู่ในอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่น ปรากฏว่ามีการเล่นพรรค เล่นพวก
จนอดีตรองมุขมนตรีของรัฐกลันตันผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการป่าไม้ถูกโจมตี
ทำให้มุขมนตรีต้องนำอำนาจหน้าที่การรับผิดชอบการป่าไม้เข้าอยู่ภายในอำนาจของตนเอง
การที่รัฐกลันตันได้ออกนโยบายควบคุมการบันเทิงของรัฐกลันตัน
ฉบับปี 1998 และกฎข้อบังคับควบคุมการบันเทิง ฉบับปี1999
ทำให้ศิลปวัฒนธรรมของรัฐกลันตันบางส่วนต้องห้ามในการละเล่นภายในรัฐกลันตัน
ซึ่งศิลปวัฒนธรรมบางอย่างสมควรที่จะมีการอนุรักษ์เพื่อชนรุ่นต่อไป
ปรากฏว่ารัฐกลันตันมีนโยบายเกี่ยวกับศิลปะและวัฒธรรม
มีการห้ามละเล่นศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เห็นว่าขัดกับหลักการศาสนาอิสลาม[12]
ซึ่งการละเล่นดังกล่าวเช่น
1.
เล่นดีเกร์บารัต หรือที่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้รู้จักกันในนามของดีเกร์ฮูลู
นั้นให้ปฏิบัติตาม พ.ร.. ควบคุมการบันเทิงของรัฐกลันตัน ฉบับปี 1991
โดยมีการห้ามมีนักแสดงผู้หญิงเข้าร่วมในการแสดงด้วย
2.
ห้ามการละเล่นมะโหย่ง
3.
ห้ามการละเล่นมโนราห์
4.
ห้ามการละเล่นปุตรี
การออกพ.ร.บ.กฎหมายอาชญากรรมชารีอะห์ของรัฐบาลรัฐกลันตัน
ก็เป็นสิ่งหนึ่งในการสร้างคะแนนนิยมต่อพรรค
จนทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลสหพันธรัฐที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
ถึงแม้ว่าพ.ร.บ.กฎหมายอาชญากรรมชารีอะห์ฉบับนี้จะผ่านการลงมติของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐแล้ว
แต่รัฐบาลกลางได้ส่งหนังสือระงับการปฏิบัติ
ด้วยเห็นว่ามีบทบัญญัติที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งตัวอย่างเช่น
พ.ร.บ.
กฎหมายอาชญากรรมชารีอะห์ II
(ฉบับปี1983) ใช้หลักการศาสนาอิสลามในการตัดสินความผิด ตอนที่ 1
ความผิดตามกฎหมายฮูดุด
มาตรา
4 ความผิดตามกฎหมายฮูดุดมี 1.การขโมย 2.การปล้น 3. การผิดประเวณี 4.
การกล่าวหาผู้อื่นว่าผิดประเวณีโดยไม่มีพยานเป็นจำนวน 4 คน 5.การดื่มสุรา
หรือสิ่งมึนเมา 6. การออกจากการนับถือศาสนาอิสลาม
บทลงโทษเมื่ออยู่ในเกณฑ์ที่ทางศาลชารีอะห์ได้กำหนดไว้เช่น
การตัดสินความผิดเกี่ยวกับการขโมย
เมื่อมูลค่าสิ่งที่ขโมยอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลชารีอะห์ได้กำหนดไว้
ผู้ที่กระทำความผิดในครั้งที่ 1 มีโทษตัดมือมือขวา กระทำความผิดในครั้งที่ 2
มีโทษตัดมือซ้าย และกระทำผิดครั้งที่ 3
มีโทษจำคุกเพื่อให้ผู้กระทำความผิดสำนึกในการกระทำดังกล่าว
สรุปได้ว่าการที่รัฐบาลรัฐกลันตันได้พยายามใช้กฎหมายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาอิสลามนั้น
สามารถทำให้รัฐกลันตันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แม้ว่ากระบวนการขัดเกลาจิตใจของประชาชนในการให้ดำรงวิถีชีวิตโดยความสมดุลระหว่างวัตถุนิยมกับจิตนิยมจะยังไม่สมบูรณ์
แต่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้ระดับหนึ่ง กระแสความเป็นอิสลามนิยมในรัฐกลันตัน
มีส่วนเป็นอย่างมากที่นายอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวีจำต้องประกาศหลักการอิสลามฮาดารี
(Islam
Hadhari)เพื่อถ่วงดุลกับแนวความคิดอิสลามแบบรัฐกลันตัน
สำหรับชนกลุ่มน้อยในรัฐกลันตัน ไม่ว่าจะเป็นชนชาวจีน ชาวอินเดีย
และชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยพุทธนั้น
นโยบายต่างๆของรัฐกลันตันไม่มีผลกระทบต่อชนกลุ่มน้อยดังกล่าว
ในทางกลับกันรัฐบาลรัฐกลันตันได้พยายามสร้างความสมานฉันท์ระหว่างชนชาวมลายูกับชนกลุ่มน้อยต่างๆ
ชนกลุ่มน้อยสามารถติดต่อประสานงานกับหน่วยงานรัฐต่างๆของรัฐกลันตันได้ดีขึ้น
เพราะการติดสินบนหรือที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดหลักการของศาสนาอิสลามได้ลดลงแตกต่างจากอดีตเป็นอย่างมาก.
[1]
สัมภาษณ์ Dato’
Nik Abdul Aziz Bin Nik Mat มุขมนตรีรัฐกลันตัน ณ
สำนักงานมุขมนตรีรัฐกลันตัน เมืองโกตาบารู เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2549
[2]
สัมภาษณ์นาย Nik
Mahadi Bin Nik Mahmud หัวหน้าสำนักเลขาธิการเทศบาลเมืองโกตาบารู
เมืองแห่งอิสลาม (Sekretariat Kota Bharu Bandar aya Islam) เมื่อวันที่
10 สิงหาคม 2549
[3]
Pusat
Kajian Strategik.2005.Dasar-Dasar Utama Kerajaan Negeri
Kelantan.Kota Bharu:Urusetia Penerangan Kerajaan Negeri Kelantan. หน้า 6-10
[4]
บททั้งสองเป็นบทในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน
[5]
ชาวมุสลิมทำพิธีศาสนกิจหรือการละหมาด 5 เวลา คือ เวลาก่อนรุ่งอรุณ(ซุบุห์), เวลาหลังเที่ยง(ซูฮูร์), เวลาตอนบ่าย(อัสร์),
เวลาหลังพลบค่ำ(มักริบ) และเวลากลางคืน(อิซา)
[6]
สิ่งที่ศาสนาอิสลามบังคับให้มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ
[7]
การสร้างกิจกรรมทางศาสนาในเดือนรอมฎอน
[8]
การสร้างชีวิตชีวาให้แก่มัสยิดด้วยการทำกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม
[9]
วันการผ่าน พ.ร.บ. กฎหมายอาชญากรรมชารีอะห์ II (ฉบับปี1983)
ของรัฐกลันตัน
[10]
เป็นสถานการศึกษาที่ใช้วิธีท่องคัมภีร์อัล-กุรอ่านให้จำทั้งเล่ม
[11]
ตะอาวุน เป็นภาษาอาหรับแปลว่า การให้ความร่วมมือในทางที่ดี
ซึ่งในที่นี้เป็นการให้ความร่วมมือของปัจเจกบุคคล และหน่วยงานรัฐ
เพราะปัญหความไม่ร่วมมือมีสูง ด้วยปัจจัยความแตกต่างกันของความคิดทางการเมือง