โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ตราของราชารัฐซาราวัค
ตามที่กล่าวมาว่า รัฐซาราวัค มาเลเซีย มีความแปลกว่า รัฐอื่นของมาเลเซีย ด้วยมีผู้ครองรัฐเป็นชาวผิวขาว เชื้อสายอังกฤษ ดังนั้น จึงเรียกผู้ปกครองรัฐซาราวัคว่า ราชาผิวขาว หรือ White Rajah ชาวผิวขาวจากครอบครัวตระกูลบรูค ที่เป็นครอบครัวผู้ปกครองรัฐซาราวัค ทั้งที่เป็นเจ้าครองรัฐและเกี่ยวข้องกับครอบครัวบรูค มีทั้งหมด 7 คน ซึ่งได้เขียนมาแล้วใน “ครอบครัวตระกูลบรูค (Brooke Familiy) ผู้ปกครองรัฐซาราวัค มาเลเซีย (ตอน 1)” จำนวน 3 คน ตั้งแต่อันดับ 1-3 และใน“ครอบครัวตระกูลบรูค (Brooke Familiy) ผู้ปกครองรัฐซาราวัค มาเลเซีย (ตอน 2)” นี้จะเป็นครอบครัวตระกูลบรูค อีก 4 คน ตั้งแต่อันดับที่ 4-7 ซึ่งในครั้งมีคนหนึ่งที่ประวัติศาสตร์รัฐซาราวัค ไม่ค่อยจะกล่าวถึง คือ นายเอสก้า บรูค (Esca Brooke ) ผู้เป็นลูกครึ่งของ เซอร์ชาร์ลส์ แอนโทนี บรูค ราชาผิวขาวคนที่สองกับชาวมลายูที่ชื่อว่า Dayang Mastiah ในครั้งนี้เริ่มตั้งแต่สมาชิกครอบครัวตระกูลบรูค อันดับที่ 4
4. นายเอสก้า บรูค (Esca
Brooke ) บุตรชายคนโตลูกครึ่งมลายูที่ถูกลืมของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค นายเอสก้า
บรูค ถือเป็นบุตรชายคนโตที่ถูกลืมของเซอร์ชาร์ลส์
บรูค
ความจริงเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะสืบอำนาจต่อจากเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
แต่นายเอสก้า บรูค โชคร้ายตรงที่เขาเป็นบุตรเซอร์ชาร์ลส์ บรูค กับสตรีชาวมลายู
ชนพื้นเมืองของรัฐซาราวัค ในหนังสือเรื่อง
A History of Sarawak under its two White Rajahs’ (1839-1908)
มักจะเขียนถึงประวัติของราชาผิวขาวสองคนของรัฐซาราวัค
โดยเขียนถึงเรื่องราวระหว่างปี 1839-1908
โดยเขียนเกี่ยวกับอาชีพทางการเมืองและความสำเร็จของราชาสองคนแรก
แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและสังคมของพวกเขากับผู้คนในรัฐซาราวัค โดยเฉพาะเรื่องชีวิตส่วนตัวด้านที่ไม่เปิดเผย
นายเอสก้า บรูค
ดร.ซันดรา ปีบัส (Dr. Sandra Pybus) จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์
ผู้เขียนเรื่อง “White Rajah - A Dynastic Intrigue” ได้ให้ภาพของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ราชาผิวขาวคนที่สอง
ในมุมมองที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่เขียนเกี่ยวกับราชวงศ์บรูค
แห่งรัฐซาราวัค โดยเฉพาะในหนังสือข้างต้นได้เขียนถึงเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ที่ได้แต่งงานกับสตรีชาวมลายูพื้นเมือง
ในหนังสือได้เล่าถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์ชาร์ลส์ บรูค กับผู้นำชาวมลายู-มลาเนา ที่ชื่อว่า Abang
Aing Datuk Laksama Menuddin ซึ่งเซอร์ชาร์ลส์ บรูค พบกับผู้นำชาวมลายู-มลาเนาดังกล่าวในปี
1853 เมื่อครั้งเขายังเป็น Resident ของเขต Fort
Lingga บริเวณปากแม่น้ำบาตังลูปาร์ ในอำเภอซีมังฆัง (Simanggang
district) ขณะที่เซอร์ชาร์ลส์ บรูค ในฐานะเป็น Resident เพิ่งจะมีอายุได้เพียง 24 ปี แต่ต้องดูแลนักรบพื้นเมืองชาวอีบันนับหมื่นคน
แต่ก็สามารถดูแลได้ ด้วยความช่วยเหลือของนาย Aing ผู้เป็นบุตรชายของแม่ทัพเรือพื้นเมืองที่ชื่อว่า
Laksamana Menudin ผู้นำคนนี้รู้จักในนามของ Rajah
Ulu
ในขณะที่เซอร์ชาร์ลส์ บรูค เป็น Resident
นับสิบปี เขาได้สร้างตำนัก หรือ astana ขึ้นที่เนินเขา
ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำบาตังลูปาร์ ส่วน Abang Aing Datuk Laksama
Menuddin และผู้ติดตามก็ได้สร้างบ้านเรือนขึ้นไม่ไกลจากนั่น
ตั้งเป็นชุมชนเรียกว่า หมู่บ้านอูลู (Kampung Ulu) ในหนังสือดังกล่าวยังเขียนว่า
ในสมัยยังหนุ่มโสด เชื่อว่าเซอร์ชาร์ลส์
บรูค มีความสัมพันธ์กับสตรีชาวอีบันหลายคน
และมีบุตรกับสตรีชาวอีบันด้วย แต่ที่มีหลักฐานคือเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ได้หมั้นหมายกับดายังมัสตียะห์ (Dayang Mastiah) หลานสาว
ของนาย Abang Aing Datuk Laksama Menuddin สำหรับ Abang
Aing Datuk Laksama Menuddin ได้เป็นผู้นำทัพสามครั้งระหว่างปี 1854
– 1861 ในการต่อสู้กับกองกำลังชาวอีบันที่มีผู้นำชื่อนาย Rentap ที่ต่อต้านการปกครองรัฐซาราวัคของตระกูลบรูค สำหรับนาย Rentap มีชื่อจริงว่า
นาย Libau Libau anak Ningkan ซึ่งคำว่า Rentap มีความหมายว่า ผู้สั่นสะเทือนโลก (Penggoncang Dunia) เป็นผู้นำของชนเผ่าชาวอีบันที่ Sungai Skrang และ Sungai
Saribas
สำหรับนาย Rentap
ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขา จนได้รับการยอมรับในหมู่ชาวอีบัน
คือเมื่อปี 1853 โดยกำลังของนาย Rentap ได้โจมตีกำลังของรัฐซาราวัคของผู้ปกครองตระกูลบรูค
จนสามารถฆ่าทหารอังกฤษที่ชื่อว่า Allan Lee ในหลายปีต่อมากำลังของนาย
Rentap ก็พ่ายแพ้แก่กองกำลังของอังกฤษ และนาย Rentap ได้เสียชีวิตในวัยชรา
เมื่อปี 1870
วกกลับมาเรื่องของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค กับสตรีชาวมลายู ลูกหลานของนาย Abang
Aing Datuk Laksama Menuddin กล่าวว่า
การแต่งงานของทั้งคู่ทำการที่หมู่บ้านอูลู โดยจัดพิธีแต่งงานแบบอิสลาม สำหรับ Dayang
Mastiah จะมีผู้ปกครองที่ยินยอมการแต่งงาน โดยใช้ Wali Hakim
ส่วนผู้ทำพิธีแต่งงานเป็นกอฎี ผู้นำทางศาสนาอิสลาม
เมื่อดูพิธีการแต่งงานดังกล่าว จะเห็นว่า ฝ่ายชายจะต้องเป็นมุสลิมด้วย ดังนั้น
จึงหมายความว่า เซอร์ชาร์ลส์ บรูค
จะต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วย
อาจจะด้วยการหลอกเข้ารับศาสนาอิสลามเพื่อการแต่งงานก็ตาม
ในเดือนธันวาคม 1866 นาง Dayang Mastiah ได้ติดตามสามีไปยังเมืองกุจิง
และสองเดือนหลังจากนั้นได้ตั้งท้อง
และเธอได้เดินทางกลับมาคลอดลูกที่อำเภอซีมังฆัง
และบุตรชายที่เกิดเมื่อ 27 สิงหาคม 1867 ทางเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ได้ตั้งชื่อว่า อีซากา (Isaka) เป็นชื่อในภาษามลายู ที่หมายถึง Isaac สำหรับเด็กชายอีซากา
ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาและ นาย Abang Aing และสามารถพูดแต่เพียงภาษามลายู
เด็กชายอีซากา สมัยเด็ก
เซอร์ชาร์ลส์
บรูค ได้ประจำถาวรในเมืองกุจิงในฐานะราชาผิวขาวคนที่สอง
และเขาจึงจำเป็นต้องมีราชินีรัฐซาราวัคที่เป็นชาวยุโรป
เขาได้วางแผนที่จะแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งเป็นม่ายที่ร่ำรวยชื่อว่า Elizabeth Sarah Johnson หรืออีกชื่อหนึ่งว่า
Lily Wiles Johnson de Windt แต่ปรากฏว่า เซอร์ชาร์ลส์ บรูค กลับได้แต่งงานกับบุตรสาวของ Lily
Wiles Johnson de Windt ที่ชื่อว่า Margaret Lili de Windt ที่มีอายุน้อยกว่าเขา 20 ปี เมื่อ 28 ตุลาคม 1869 และ ราชินี Margaret
Lili de Windt ได้กำเนิดบุตรสาวให้แก่เขา เขาผิดหวัง ในเวลาต่อมา
เซอร์ชาร์ลส์ บรูค จึงได้นำเด็กชายอีซากา
มาเลี้ยงที่ตำนักของตนเอง สร้างความตกใจให้แก่ ราชินี Margaret Lili de
Windt
นายเอสก้า บรูค สมัยหนุ่ม
สำหรับเด็กชายอีซากา
เพื่อสร้างความมั่นใจให้เซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ว่าเป็นคริสเตียน ในเดือนมกราคม 1872 จึงทำการแบบติสต์ หรือ การเข้ารับศาสนาคริสต์
โดยใช้ชื่อว่า Esca Brooke ที่โบสถ์คริสต์แองลีกัน
ในอำเภอซีมังฆัง ทำการแบบติสต์ โดยบาทหลวง W. Crossland ต่อมานายเอสก้า บรูค ถูกส่งตัวไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ
และอยู่กับบาทหลวง William Yate Daykin และภรรยาที่ชื่อว่า Mary
Frances Harrison ซึ่งไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาอพยพติดตามครอบครัวบาทหลวงดังกล่าวไปตั้งถิ่นฐานในประเทศแคนาดา
สำหรับนายเอสก้า บรูค
ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ
และในปี 1927 เมื่อครั้งเขามีอายุ 60 ปี
เขาได้ประกาศเรียกร้องสิทธิในการเป็นราชาของรัฐซาราวัค แต่ก็ล้มเหลว
และเมื่อเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
น้องชายต่างมารดา ได้มอบสิทธิรัฐซาราวัคให้กับอังกฤษ
โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ นายเอสก้า บรูค
ก็ได้เรียกร้องสิทธิในฐานะที่เป็นบุตรชายคนโตของราชาผิวขาวแห่งรัฐซาราวัค
แต่ก็ไม่สำเร็จอีกครั้ง นายเอสก้า บรูค เสียชีวิตที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา
เมื่อ17 กุมภาพันธ์ 1953
5. เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค (Sir Charles Vyner Brooke) ราชาผิวขาวคนที่สาม
เซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค เกิดที่ประเทศอังกฤษ
และในสมัยหนุ่มใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ
เกิดเมื่อ 30 กันยายน 1874 และสิ้นชีวิตเมื่อ 9 พฤษภาคม 1963
เป็นราชาผิวขาวคนที่สามของรัฐซาราวัค
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค ขึ้นบัลลังค์ 2 ครั้ง
โดยครั้งแรกเป็นราชาแห่งรัฐซาราวัคระหว่างปี 1917
จนถึงสมัยกองทัพญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองเกาะบอร์เนียวในปี 1941 และในสมัยที่สอง
เมื่อเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
กลับมายังรัฐซาราวัคเมื่อ 15 เมษายน 1946 จนถึงสมัยที่ได้มอบอำนาจในกับอังกฤษเมื่อวันที่
1 กรกฎาคม 1946
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
เซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค
เข้าทำงานเป็นผู้ติดตามบิดาของเขาระหว่างปี 1897-1898
ต่อมาเลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอซีมังฆัง (Simanggang)
ระหว่างปี 1898–1901 และต่อมาเป็น Resident ของเขต
Mukah และ Oya ระหว่างปี 1902–1903
และต่อมาเป็น Resident เขตที่ 3 ระหว่างปี 1903–1904 น
อกจากนั้นยังเป็นประธานสภาศาลแห่งรัฐ (Law Courts) ระหว่างปี
1904–1911
ที่ประเทศอังกฤษได้รู้จักกับนางสาว Sylvia Brett บุตรสาวของ Lord Esher และได้แต่งงานกันเมื่อ 21
กุมภาพันธ์ 1911 ทั้งสองจึงเดินทางกลับไปยังรัฐซาราวัค.
การปกครองรัฐซาราวัค
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชาผิวขาวคนที่สามและคนสุดท้าย
หลังการเสียชีวิตของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ก็ได้รับการแต่งตั้งปกครองรัฐซาราวัค เมื่อ 24 พฤษภาคม 1917 การที่รัฐซาราวัค
สามารถผลิตยางพาราและน้ำมันดิบ ทำให้เซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค สามารถนำเงินไปพัฒนารัฐซาราวัคได้มากขึ้น
นโยบายหนึ่งของเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค ที่ได้รับการชื่นชมจากคนพื้นเมือง
นั้นคือการห้ามนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแพร่ในหมู่ชาวมุสลิม ต่อมาเมื่อ 25
ธันวาคม 1941 รัฐซาราวัคถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครอง ทำให้เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค อพยพหนี้ภัยพร้อมครอบครัวไปยังเมืองซีดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
และอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสงครามโลกสงบ
จึงเดินทางกลับไปเป็นราชาผิวขาวของรัฐซาราวัคอีกครั้ง เมื่อ 15 เมษายน 1946
มอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐในอาณานิคมของอังกฤษ
เซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค
ได้มอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐในอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อ 1 กรกฎาคม 1946
ในขณะเดียวกันราชามูดาแอนโทนี ผู้จะเป็นผู้สืบอำนาจคนต่อไป
ก็ได้สละอำนาจที่จะมีต่อบัลลังค์ผู้ปกครองรัฐซาราวัค ตามสนธิสัญญาในฐานะราชทายาทปี
1951 และได้อพยพไปยังประเทศนิวซีแลนด์
สำหรับเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค ได้เสียชีวิตสี่เดือน
ก่อนที่รัฐซาราวัคจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย
6. นายเบอร์ตแรม บรูค (Bertram Brooke @
Bertram of Sarawak) ตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค (Tuan Muda of Sarawak)
ร้อยเอก เบอร์ตแรม บรูค
เป็นน้องชายของเซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค ตำแหน่งตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค
น่าจะเหมือนอุปราชไทยยุคอดีต เป็นรองจากราชาแห่งรัฐซาราวัค เกิดเมื่อ 8 สิงหาคม 1876 เกิดที่เมืองกุจิง
รัฐซาราวัค และเสียชีวิตที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ 15 กันยายน 1965 .
ร้อยเอก เบอร์ตแรม บรูค เป็นบุตรชายของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ราชาผิวขาวคนที่สอง ด้วยเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค ไม่มีบุตรชาย ล้วนมีบุตรสาว ดังนั้นจึงแต่งตั้งน้องชายมาเป็นตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค ร้อยเอก เบอร์ตแรม บรูค ได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยตรีนีตี้ มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์
นายเบอร์ตแรม บรูค แต่งงานกับ นางสาว Gladys Milton Palmer เมื่อ 28 มิถุนายน 1904 เธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของ Sir Walter Palmer และเมื่อแต่งงานแล้ว นางสาว Gladys Milton Palmer จะได้รับยศเป็น "Dayang Muda" ใช้คำนำหน้าว่า "Her Highness" ทั้งคู่มีบุตรชาย 1 คน และบุตรสาว 3 คน สำหรับบุตรชายได้รับแต่งตั้งเป็นราชามูดา แห่งรัฐซาราวัค
7. นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค (Anthony Walter Dayrell Brooke) ราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค
เกิดเมื่อ 10 ธันวาคม 1912 และเสียชีวิตเมื่อ 2 มีนาคม 2011 ขณะมีอายุได้
98 ปี เขาเป็นบุตรของเบอร์ตแรม บรูค
เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค โดยลุงของเขา คือเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค เมื่อ 25 สิงหาคม 1937 สำหรับชื่อเต็มในภาษามลายูของเขา คือ Yang Amat Mulia Tuan Rajah Muda Sarawak เขาได้รับการศึกษาจาก
วิทยาลัยตรีนีตี้ มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์
เช่นเดียวกันกับบิดา ทำงานหลายแห่งในรัฐซาราวัค ทั้งเคยทำงานที่สำนักงานที่ดินของรัฐ
รวมทั้งเคยเป็นผู้พิพากษา นอกจากนั้นยังเคยเป็นผู้แทนพิเศษของรัฐซาราวัค
ประจำประเทศอังกฤษ
แอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
ได้รับหน้าที่รับผิดชอบบริหารงานของรัฐซาราวัค ระหว่างปี 1939 - 1940
ต่อมาเขาถูกถอดออกจากตำแหน่งเมื่อ 17 มกราคม 1940
และเกิดกรณีพิพาทกับเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค ผู้เป็นลุง กรณีที่เขาไปแต่งงานกับ นางสาว
Kathleen Mary Hudden ภายหลังทั้งคู่หย่ากันในปี
1965
นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
และเขาถูกขับออกจากรัฐซาราวัคในเดือนกันยายน
1941 ต่อมาบิดาของเขา คือเบอร์ตแรม บรูค
ผู้เป็นราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค กับเซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค ได้ปรึกษากัน และในปี
1944 ได้คืนตำแหน่งราชามูดาแก่เขา อย่างไรก็ตาม เขาถูกถอดถอนตำแหน่งอีกเมื่อ 12
ตุลาคม 1945
ในปี 1946 เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค ได้ยกรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐอาณานิคมของอังกฤษ
เพื่อแลกกับเงินบำนาญจำนวนมากสำหรับเขาและลูกสาวสามคน ทางนายแอนโทนี วอลเตอร์
เดย์เรลล์ บรูค กับสมาชิกส่วนใหญ่ของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐของรัฐซาราวัค
ไม่เห็นด้วย ในเวลาห้าปีได้เกิดการต่อต้านของชาวรัฐซาราวัคต่อการขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
ได้ใช้บ้านพักของตนเองในสิงคโปร์เป็นศูนย์การเคลื่อนไหว โดยในปี 1948
ผู้ว่าการรัฐซาราวัคของอังกฤษ คนที่สอง คือ Sir
Duncan Stewart ถูกชาวมลายูรัฐซาราวัค ที่ชื่อ Rosli
Dhobie ฆ่าตาย
หน่วยราชการลับของอังกฤษจึงเดินทางไปสอบสวนนายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
เพื่อค้นหาความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมกรณีดังกล่าว
แต่ไม่พบสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงได้ ในปี 2012 เอกสารของหอจดหมายเหตุอังกฤษ
ที่ลอนดอน ก็เปิดเผยว่านายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับกรณีดังกล่าว
นาย Rosli Dhobi ถูกจับกุม
นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
หลังจากหย่ากับนาง Kathleen Mary Hudden ในปี 1965
ต่อมาอีกหลายปี ในปี 1982 ก็ได้แต่งงานอีกครั้งกับนาง Brigitte Keller นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค เสียชีวิตที่ประเทศนิวซีแลนด์
แต่นำกลับไปฝั่งที่สุสานครอบครัวในเมืองกุจิง รัฐซาราวัค
อ้างอิง :
James Ritchie, Rajah Charles Brooke’s secret
life revealed, www.newsarawaktribune.com.my, February 26, 2020.
Esca Brooke Daykin https://www.findagrave.com/memorial/203999634/esca-brooke-daykin
https://www.royalark.net/Malaysia/sarawak4.htm
หมายเหตุ:
จากการค้นข้อมูล เกี่ยวกับดายังมัสเตียะห์
บางข้อมูล บอกว่า เป็นหลาน บางข้อมูล บอกว่า เป็นลูก แต่บางข้อมูลบอกว่า
เป็นลูกบุญธรรม
Rosli Dhobi มีอาชีพเป็นครู นอกจากนั้น เขายังเป็นนักเขียน และนักกวี เกิดเมื่อ 18 มีนาคม 1932 ที่เมืองซีบู รัฐซาราวัค มีบิดาเชื้อสายเจ้า มาจากอินโดเนเซีย ส่วนมารดา ก็มาจากอินโดเนเซีย จากเมืองซัมบัส จังหวัดกาลีมันตันตะวันตก อินโดเนเซีย เขาเป็นสมาชิกขององค์กรลับ ที่ชื่อว่า Rukun 13 เป็นองค์กรต่อต้านอังกฤษที่ปกครองรัฐซาราวัค เขาถูกจับและตัดสินประหารชีวิตในขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี ปัจจุบันสุสานของ Rosli Dhobi ถูกย้ายไปตั้งที่สุสานวีรบุรุษแห่งรัฐของรัฐซาราวัค
Tiada ulasan:
Catat Ulasan