บทความย่อในเรื่องการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างชาวมลายูกับชาวไทยพุทธนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย ที่ทำเมื่อหลายปีก่อน แต่ยังเห็นว่า มีประโยชน์ จึงคัดมาเพื่อใช้ในการศึกษาต่อยอดต่อไป เป็นการศึกษาวิจัยระหว่างพื้นที่รัฐกลันตันและจังหวัดนราธิวาส
ในพื้นที่งานวิจัย
ด้วยชาวมลายูมุสลิมและชาวไทยพุทธทั้งในพื้นที่ประเทศไทยและมาเลเซีย ทั้งสองกลุ่มชนอยู่รวมกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นทั้งชาวไทยพุทธและชาวมลายูมุสลิมบางส่วนจึงมีการสมรสข้ามชาติพันธุ์ สิ่งนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการผสมผสานกันทางวัฒนธรรม
โดยเฉพาะชาวไทยพุทธกับชาวมลายูมุสลิมที่สมรสกัน ช่วยก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันมากยิ่งขึ้น การสมรสเป็นการยอมรับทั้งทางด้านพฤตินัยและนิตินัย
บ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพของการยอมรับในพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในดินแดนเดียวกัน
เมื่อเกิดการยอมรับก็ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
การแต่งงานโดยข้ามเผ่าพันธุ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทำให้เกิดการรับวัฒนธรรมไทย เสาวณีย์ จิตต์หมวด ได้ให้แนวทางที่คนมลายูที่ได้รับวัฒนธรรมไทย มี 3 กรณี
กรณีที่หนึ่ง
ได้รับวัฒนธรรมไทยโดยตั้งชื่อสกุล
กรณีที่สอง
ได้รับวัฒนธรรมไทยโดยไม่รู้ตัว เป็นเรื่องปกติธรรมดา
กรณีที่สามได้รับวัฒนธรรมโดยทั้งหมด
ทั้งกาย ใจ และยอมเปลี่ยนศาสนาจากอิสลามไปเป็นศาสนาพุทธ
ทั้งสามกรณีนี้ได้ปรากฏในสังคมมลายูของจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับในกลุ่มหมู่บ้านพื้นที่การวิจัยนั้น ก็ได้เกิดกรณีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ด้วย
สมัยก่อนการแต่งงานในสังคมมลายูของจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเลือกคู่ครองเป็นของพ่อแม่
การแต่งงานในระบบเครือญาติ หรือแต่งงานกับบุคคลที่มีสถานะเดียวกัน เช่น กู นิ หรือ
วัน เป็นต้น
ในปัจจุบันนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิม คือไม่นิยมแต่งงานกับเครือญาติ
เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าแต่งงานกับเครือญาติลูกที่เกิดมาจะไม่ฉลาด
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการขัดเกลาจากระบบการศึกษาสมัยใหม่
ชุมชนในพื้นที่การวิจัยที่อาศัยอยู่ในสามจังหวัดสามชายแดนภาคใต้และรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แบ่งได้เป็นสองส่วน คือหนึ่ง ชุมชนชาวมลายูมุสลิม สอง ชุมชนไทยพุทธและจีนพุทธ ซึ่งชุมชนจีนหรือคนจีนนั้น ถ้าเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองจะมีการผสมผสมกลืนกับชุมชนไทยพุทธ แต่ถ้าอาศัยอยู่ในอำเภอรอบนอกหรือในชนบทจะมีการรับอิทธิพลของชาวมลายูมากกว่า บางคนจะมีชื่อเป็นภาษามลายู บางคนนั้นจะพูดภาษามลายูไม่ผิดเพี้ยนจากคนมลายูเลย
แต่เมื่อดูหน้าตาจึงรู้ว่าเป็นคนจีน
การที่ชุมชนชาวมลายูมุสลิมในกลุ่มหมู่บ้านพื้นที่การวิจัยได้มีการปฏิสัมพันธ์กับชาวไทยพุทธและคนจีน ทำให้เกิดการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นและมีการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ขึ้นเช่นกันในหมู่บ้านพื้นที่การวิจัยในประเทศมาเลเซีย โดยทั้งหมดเมื่อเกิดการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ ด้วยชาวมลายูมุสลิมมีความเคร่งและยึดถือในศาสนาของตนเอง
กฎของศาสนาอิสลามกล่าวว่าชาวมุสลิมสามารถแต่งงานกับชาวมุสลิมด้วยกันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีการแต่งงานกัน ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมักต้องเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลาม
ในชุมชนของหมู่บ้านพื้นที่การวิจัยแห่งที่หนึ่ง เกิดการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ โดยฝ่ายชายเป็นชาวมลายูมุสลิม และฝ่ายหญิงเป็นไทยพุทธ นายอดุลย์(นามสมมติ) ชาวมลายูมุสลิมผู้แต่งงานกับชาวไทยพุทธกล่าวว่า
“ตอนแรกทางครอบครัวฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะฝ่ายหญิงเป็นข้าราชการ ส่วนผมเป็นชาวบ้านธรรมดา ฝ่ายหญิงสามารถหาผู้ชายที่ดีกว่าผมได้อีก
ทางครอบครัวต้องการที่จะให้ฝ่ายหญิงแต่งงานกับผู้ชายพุทธมากกว่า ครอบครัวเขากีดกั้นผมอย่างมาก แต่ในที่สุดผมก็สามารถแต่งงานกับฝ่ายหญิงได้ ทางครอบครัวฝ่ายหญิงโกรธมาก
เป็นเวลานานที่ผมไม่สามารถเข้าไปในบ้านฝ่ายหญิงได้ จนเรามีบุตรด้วยกัน ทำให้ครอบครัวฝ่ายหญิงเริ่มอ่อนลง ในที่สุดผมก็สามารถเข้าบ้านฝ่ายหญิงได้ ผมเองก็เริ่มสร้างความดีกับครอบครัวฝ่ายหญิง ในปัจจุบันเมื่อครอบครัวฝ่ายหญิงต้องการจะทำอะไร หรือขอความช่วยเหลืออะไร คนแรกที่ครอบครัวฝ่ายหญิงจะขอความช่วยเหลือคือผม ผมกับครอบครัวฝ่ายหญิงสามารถเข้ากันได้ บุตรผมก็ไปเยี่ยมตายายเขา
โดยส่วนตัวผมว่าชาวมลายูมุสลิมกับชาวไทยพุทธ สามารถอยู่ร่วมกันได้ ขอให้แต่ละฝ่ายเคารพในศาสนาของแต่ละฝ่าย อย่างผมญาติพี่น้องฝ่ายหญิงก็คือญาติพี่น้องผม เพราะเป็นเครือญาติของบุตรผม”
สิ่งเหล่านี้เพื่อนของนายอดุลย์ที่ชื่อนายมะ(นามสมมติ)ได้กล่าวเสริมว่า
“สิ่งที่นายอดุลย์พูดเป็นความจริง
ชาวมลายูมุสลิมกับชาวไทยพุทธในบริเวณนี้ไม่ได้มีเพียงนายอดุลย์เท่านั้นที่แต่งงานกับชาวไทยพุทธ
ยังมีอีกหลายคู่ที่แต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์เช่นนี้ แต่ละครอบครัวก็มีความสุขดี ชุมชนชาวไทยพุทธและมลายูมุสลิมในพื้นที่นี้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ความจริงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น
แต่เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กๆ เราชาวมลายูมุสลิมกับไทยพุทธก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
ผมเองตอนเด็กยังร่วมกับเพื่อนไทยพุทธเที่ยวยิงนกในสวนแถวนี้
และในชุมชนนี้ยังมีบ้านชาวไทยพุทธคนหนึ่งปลูกอยู่ใกล้มัสยิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาวมลายูมุสลิมกับไทยพุทธไม่มีปัญหา”
ในชุมชนของหมู่บ้านพื้นที่การวิจัยแห่งที่สอง
มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างผู้หญิงชาวมลายูมุสลิมกับผู้ชายไทยพุทธ
โดยที่ผู้ชายไทยพุทธคนดังกล่าวเป็นข้าราชการ ไม่มีความเคร่งในหลักการศาสนาอิสลาม
จนทำให้สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ถูกปฏิเสธจากสังคมมลายูมุสลิมในชุมชน ต่อมาต้องย้ายครอบครัวออกจากชุมชนเข้าไปอยู่ในตัวอำเภอ เมื่อฝ่ายชายได้เสียชีวิตลง
ฝ่ายหญิงจึงย้ายกลับเข้าไปอยู่ในชุมชนอีกครั้ง และฝ่ายหญิงพร้อมบุตรได้กลับมานับถือศาสนาอิสลามที่เคร่งขึ้น นางกัลซง นามสมมติ)กล่าวว่า
“เมื่อแต่งงานกับสามีแล้ว สามีเป็นคนที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเพราะต้องการแต่งงานกับดิฉัน เขาไม่เคร่งในศาสนาอิสลาม ความเป็นอยู่มีลักษณะเหมือนคนไทยพุทธทั่วไป เพียงไม่กินหมูเท่านั้น ทำให้เครือญาติ พี่น้องต่อต้าน ไม่เห็นด้วย สังคมมลายูในชุมชนส่วนหนึ่งปฏิเสธดิฉัน
ทำให้เห็นว่าต้องย้ายเข้าไปอยู่ในตัวอำเภอ แต่เมื่อสามีเสียชีวิตลง
ดิฉันจึงตัดสินกลับมาอยู่ในชุมชน และหันมาเคร่งในศาสนาอิสลามมากขึ้น จนปัจจุบันเครือญาติ พี่น้องดีใจที่ดิฉันหันกลับมาอยู่ในกรอบของศาสนาอิสลาม พวกเขากลัวว่าดิฉันจะหันไปนับถือศาสนาพุทธ”
นางตีมะห์(นามสมมติ)เพื่อนของนางกัลซงได้กล่าวเสริมว่า “ดีใจที่เขาได้กลับเข้ามาอยู่ในชุมชนอีกครั้ง ความจริงก็คิดว่าเขายังคงเป็นมุสลิมอยู่ เพียงแต่ไม่มีความเคร่งในศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะสามีของเขา ทำให้ดูเหมือนว่าความเป็นมุสลิมของสามีเขากับขณะที่เขายังเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธนั้น ไม่มีความแตกต่างกัน จนบางคนเข้าใจว่าเขาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นบุตรของเขาก็เป็นอยู่เหมือนคนไทยพุทธ
ก็ดีใจที่เขาและบุตรได้กลับมาอยู่ในสังคมมลายูมุสลิมอีกครั้ง”
ในชุมชนของหมู่บ้านพื้นที่การวิจัยแห่งที่สาม มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน
Tiada ulasan:
Catat Ulasan