โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
เริ่มแรกการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์
จากการลงมติดังกล่าวนั้น
ประชาชนชาวอาเจะห์มีความรู้สึกว่าตลอดเวลาการต่อสู้ของพวกเขาในการสนับสนุนเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้ปกครองสาธารณรัฐอินโดเนเซียเอง
ยิ่งถ้าย้อนคำสัญญาของประธานาธิบดีซูการ์โนแล้ว
ดวงใจของประชาชนชาวอาเจะห์เหมือนถูกรอยบาด ครั้งแรกที่เดินทางมาเยี่ยมอาเจะห์
เมื่อ 16 มิถุนายน 1948 ประธานาธิบดี ซูการ์โน
กล่าวในนามพระเจ้าว่าจะให้สิทธิแก่อาเจะห์ในการจัดการตนเองตามหลักชารีอะห์ของศาสนาอิสลาม
ซูการ์โน สัญญาจะใช้อิทธิพลของตนเองเพื่อให้ประชาชนชาวอาเจะห์สามารถใช้หลักชารีอะห์ในดินแดนตนเอง
สัญญานี้ความเป็นจริงเป็นสัญญาที่ว่างเปล่า
ที่มีจริงคือจังหวัดอาเจะห์ถูกยกเลิกและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสุมาตราเหนือ
การจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามอาเจะห์
แม้ว่าจังหวัดอาเจะห์จะถูกยุบโดย
ซูการ์โน
แต่ความต้องการของประชาชนชาวอาเจะห์ในการใช้หลักชารีอะห์ในดินแดนตนเองยังคงมีอยู่ ย้อนดูประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของอาเจะห์ที่เกิดบรรดารัฐอิสลามเริ่มจากรัฐสมุทรา
ปาไซ จนถึงรัฐอาเจะห์ดารุสสาลาม
เพราะฉะนั้นเมื่อจังหวัดอาเจะห์ถูกยุบและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสุมาตรา
ประชาชนชาวอาเจะห์มีความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าและผิดหวังกับผู้ปกครองสาธารณัฐอินโดเนเซียภายใต้การนำของ
ซูการ์โน
ความไม่พอใจของประชาชนชาวอาเจะห์สามารถเห็นได้ในการประชุมสมัชชานักการศาสนาทั่วอินโนเนเซีย(Kongres Alim Ulana Se-Indonesia) ที่เมืองเมดาน เมื่อวันที่ 21 เมษายน
1953 เต็งกู มูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์ ขณะนั้นได้รับเลือกเป็นผู้นำได้กล่าวคำเรียกร้องให้บรรดานักการศาสนาทั้งหลายต่อสู้ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี
1955 เพื่อให้ประเทศสาธารณรัฐอินโดเนเซียเป็นประเทศอิสลามอินโดเนเซีย การเรียกร้องนี้ได้รับการตอบรับและสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมจำนวนหนึ่ง
ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้ร่วมกันวางแผนจะตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) เพื่อแทนที่ประเทศสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่มี ซูการ์โน เป็นผู้นำ ปรากฏว่าแนวคิดนี้สอดคล้องกับส่วนหนึ่งของผู้นำอิสลามที่รุนแรงในพื้นที่บางส่วน
โดยเฉพาะที่ชวาตะวันตกที่กำลังประสบกับประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) ภายใต้การนำของ การ์โตโซวีร์โจ ขบวนการประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) ที่ชวาตะวันตกเองได้มีการประกาศจัดตั้งโดยนายการ์โตโซวีร์โจ เมื่อ 7
สิงหาคม 1949 จนทำให้ขบวนการประชาชนชาวอาเจะห์ภายใต้การนำของ ดาวุด บือเระห์
กลายเป็นผู้ปลุกจิตสำนึกในหมู่ขบวนการต่อสู้ของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ
ขบวนการต่อสู้นี้ยิ่งมีมากขึ้นและทำให้เกิดการต่อสู้ดารุลอิสลาม/กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย
(DI/TII)
พร้อมกันในหลายพื้นที่ที่มีต่อรัฐบาลกลางภายใต้การนำของ ซูการ์โน ในขณะนั้นหลักการต่อสู้ของดารุลอิสลามนั้น
ดาวุด บือเระห์ ไม่ได้พูดถึงอาเจะห์และดารุลอิสลาม/กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย ในพื้นที่ต่างๆ
จะแยกตัวออกจากอินโดเนเซีย เขาเพียงร่างแนวคิดเพื่อให้สาธารณรัฐอินโดเนเซียมีจิตสำนึก ความคาดหวัง
และระบบการปกครองแบบอิสลาม ไม่มีความคิดในการแยกดินแดน
นอกจากจิตสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
ในอาเจะห์มีการชุมนุมโดยบรรดานักการศาสนา มีดาวุด บือเระห์ แสดงจุดยืนในการตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) เพื่อให้สอดคล้องกับมติของสมัชชานักการศาสนาแห่งอินโดเนเซีย ณ เมืองเมดาน
ในการจัดเสวนาต่างๆ ครั้งนี้ไม่มีแนวความคิดของดาวุด บือเระห์ ในการแยกอาเจะห์ออกจากอินโดเนเซีย ในโอกาสต่างๆ
ดาวุด บือเระห์ ได้เรียกร้องประชาชนอาเจะห์ให้เลือกกลุ่ม (พรรคต่างๆ)
อิสลามในการเลือกตั้ง ปี 1955 ซึ่งจะสามารถโค่นการปกครองของซูการ์โน “ถ้าประชาชนชาวอาเจะห์ต้องการให้เกิดประเทศอิสลามอินโดเนเซียจริง
นี่คือโอกาส” ดาวุด บือเระห์ กล่าวไว้
สำหรับในหมู่ประชาชนระดับล่าง ในเบื้องต้นขบวนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย จะเป็นเพียงการกระซิบกันเท่านั้น และไม่เปิดเผย การกระซิบ-กระซิบนี้ปรากฏว่าเกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการการปกครองในตำบลรวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ
ทั่วดินแดนอาเจะห์
บรรดาผู้นำสังคมในชนบทของอาเจะห์โดยทั่วไปถือแนวคิดของ
ดาวุด บือเระห์ ด้วยความจริงจัง
จนกลายเป็นเชื้อเพลิงสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียโดยรวดเร็วกระจายไปทั่วทุกมุมในหมู่ประชาชนชาวอาเจะห์
สิ่งเหล่านี้ทำให้ ดาวุด บือเระห์
มีความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นในการตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะเหมือนกันแต่ในขณะนั้น
ดาวุด บือเระห์
ไม่ด่วนที่จะสนับสนุนการตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียที่ประกาศโดยการ์โตโซวีร์โจ
ที่ชวาตะวันตก ดาวุด บือเระห์ ใช้เวลาในการสังเกตุความคืบหน้าต่อไป ในเวลา 4 ปี
ที่ได้มีการจัดตั้ง ดาวุด บือเระห์ ได้ศึกษาขบวนการของการ์โตโซวีร์โจ
เพื่อทำให้ผู้นำผู้มากบารมีของอาเจะห์ผู้นั้นมั่นใจ ทางการ์โตโซวีร์โจ ได้ส่งตัวแทนชื่อ ฟาตะห์ไปยังอาเจะห์
การพบกับดาวุด บือเระห์ ทางฟาตะห์ได้อธิบายถึงหลักการต่อสู้ของการ์โตโซวีร์โจ ดังนั้นในวันที่ 21 กันยายน 1953 หรือ 5
เดือนหลังจากสมัชชานักการศาสนาอินโดเนเซียที่เมืองเมดาน ดาวุด บือเระห์
จึงประกาศการสนับสนุนของอาเจะห์ต่อการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย
ที่ประกาศขึ้นโดยการ์โตโซวีร์โจ
ไม่มีการอธิบายในประวัติศาสตร์ว่าทำไม ดาวุด บือเระห์ จึงใช้เวลานาน
เพียงมีในหนังสือบันทึกการสนับสนุนของประชาชนชาวอาเจะห์ต่อขบวนการของการ์โตโซวีร์โจ ที่ลงนามโดยดาวุด บือเระห์ มีนื้อหาดังนี้
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณายิ่ง
ผู้ทรงเมตตา การประกาศความที่มีการจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซีย
เมื่อวันที่ 12 เดือนชาวัล ปีฮิจเราะห์ศักราช 1308/
7
สิงหาคม 1949 โดยอิหม่าม เอ็ส.เอ็ม.การ์โตโซวีร์โจ
ในนามของประชาชาติมุสลิมแห่งชาติอินโดเนเซีย ดังนั้นพวกเราประกาศว่า
ดินแดนอาเจะห์และบริเวณใกล้เคียงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิสลามอินโดเนเซีย
พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อาเจะห์ ดารุสสาลาม
วันที่ 13 มูฮารัม 1312/21 กันยายน 1953
ในนามของประชาชาติมุสลิมแห่งดินแดนอาเจะห์และบริเวณใกล้เคียง ลงนาม เต็งกู
มูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์
เหตุผลของ ดาวุด บือเระห์
ในการสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย
เพราะผู้นำสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่กรุงจารการ์ตาได้ออกนอกแนวทางที่ถูกต้อง จากพฤติกรรมบรรดาผู้นำสาธารณรัฐอินโดเนเซียตลอดมานั้น ดาวุด บือเระห์ กล่าวว่าสาธารณรัฐดังกล่าวจะไม่พัฒนากลายเป็นประเทศที่ตั้งบนพื้นฐานของอิสลาม
ความจริงแล้วหลักคิดของ ดาวุด บือเระห์นั้น
ประเทศอิสลามสามารถเป็นไปได้โดยการแทรกอยู่ในหลักการพระผูเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นหลักการประการแรกของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
หรือที่เรียกว่า หลักปัญจศิลา
แม้ว่าหลักการพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นหลักการประการแรกในหลักปัญจศิลา
แต่ในมุมมองของดาวุด บือเระห์ รัฐบาลซูการ์โน
ไม่เคยให้อิสระในการนับถือศาสนาแก่ประชาชน เช่น ประชาชนชาวอาเจะห์
เขาได้ยกตัวอย่างเช่น ถ้าแท้จริงมีความอิสระในการนับถือศาสนาแล้ว
จะต้องปฏิบัติตามนั้น ก็หมายถึงหลักการชารีอะห์อิสลามจะต้องปฏิบัติในอาเจะห์
ด้วยประชาชนชาวอาเจะห์เป็นชาวมุสลิม 100 เปอร์เซ็นต์
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น ประชาชนชาวอาเจะห์เห็นถึงความระวาดระแวงของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าประชาชนชาวอาเจะห์ พวกเขาขูดรีดประชาชนชาวอาเจะห์
โรคคอร์รัปชั่นกระจายไปทั่วทุกระดับขอลหน่วยงานรัฐบาล
จากระดับส่วนกลางจนถึงระดับล่าง ขณะที่ประชาชนชาวอาเจะห์ยังคงยากจนอยู่
ช่องว่างทางสังคม เศรษฐกิจ ระหว่างดินแดนอาเจะห์และส่วนกลางห่างยิ่งขึ้น
สิ่งเหล่านี้ประชาชนชาวอาเจะห์มีความรู้สึกเอื่อมระอา
ดังนั้นจากการประกาศที่ได้อ่านโดย ดาวุด บือเระห์
ประชาชนชาวอาเจะห์จึงสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย
ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะสามารถล้างสิ่งสกปรกของรัฐบาลซูการ์โน และอาเจะห์สามารถจัดระเบียบด้วยตัวเอง
รัฐบาลซูการ์โน
ตั้งแต่แรกแล้วที่กังวลอย่างยิ่งในการที่บรรดาผู้นำอิสลามต้องการจัดตั้งประเทศอิสลาม
เหตุผลของ ซูการ์โน ในขณะนั้นถ้าจัดตั้งประเทศอิสลาม
เขาคิดว่าดินแดนบางส่วนจะแยกออกจากสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ดังนั้นซูการ์โน จึงละเลยการจัดตั้งประเทศอิสลาม
และแนวโน้มเลือกหลักการประเทศชาตินิยม ที่สามารถรวมทุกแนวคิด พลัง เชื้อชาติ
ชนเผ่า กลุ่มคน และศาสนาที่มีอยู่ในดินแดนต่างๆ ของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
อย่างไรก็ตาม ดาวุด บือเระห์ ได้ยืนยันว่าประชาชนชาวอาเจะห์ไม่ต้องการแยกตัวเองออกจากพี่น้องของเขาในสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
และประชาชนชาวอาเจะห์ก็ไม่ต้องการให้ตัวเองและดินแดนของตัวเองถูกปฏิบัติดังเช่นลูกเลี้ยงโดยรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
คำถามก็คือสาธารณรัฐอินโดเนเซียได้ประกาศเอกราชมาแล้วถึง 8 ปี
รัฐบาลไม่เคยเยี่ยมเยือนเลย ทั้งที่ประธานาธิบดีมักพูดอยู่เสมอว่า
อาเจะห์เป็นต้นทุนสำคัญของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการพูดเปล่าแค่ริมฝีปาก
ความจริงแล้วอาเจะห์ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล
ในการต่อสู้รัฐบาลซูการ์โนในของ ดาวุด บือเระห์
เขาได้กล่าวว่าการอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาของชาวอาเจะห์ไม่เพียงพอ
การติดต่อสื่อสารและคมนาคมที่มีอยู่ไม่อาจเป็นที่คาดหวังของประชาชนชาวอาเจะห์ในการพัฒนาการดำรงชีวิตทางสังคม
เศรษฐกิจของพวกเขา ในด้านการมีงานทำ คนหนุ่มชาวอาเจะห์เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน เวลา
8 ปี ที่มีเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ซึ่งชาวอาเจะห์สนับสนุน
ปรากฎว่าดินแดนนั้นไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเอกราช
แม้จะเป็นเช่นนั้น
ประชาชนชาวอาเจะห์ไม่ได้หมายความว่าต้องการแยกดินแดนออกจากสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
เหตุผลตามคำกล่าวของ ดาวุด บือเระห์
การประกาศจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวอาเจะห์นั้น
ไม่ได้หมายความว่าการจัดตั้งประเทศหนึ่งในอีกประเทศหนึ่ง
นอกจากเหตุผลแรกเริ่มประชาชนชาวอาเจะห์ถือว่าสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
เป็นสะพานทองคำที่จะเดินข้ามสู่ความคาดหวังที่ฝันไว้
เป็นที่แน่ชัดว่าความฝันได้สลายไป เพราะรัฐบาลซูการ์โนไม่สนใจอาเจะห์ ในมุมมองของ
ดาวุด บือเระห์
ในเรื่องนี้สาเหตุมาจากหลักการของรัฐบาลซูการ์โนแตกต่างอย่างยิ่งกับหลักการของประชาชนชาวอาเจะห์
ซูการ์โนต้องการประเทศหนึ่งที่มีหลักการชาตินิยม
ส่วนประชาชนชาวอาเจะห์ต้องการระบบการปกครองประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ดาวุด
บือเระห์
หวังว่าบรรดาผู้นำสาธารณรัฐอินโดเนเซียจะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับบรรดาผู้นำประเทศอิสลามอินโดเนเซีย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอาเจะห์ แต่ดำเนินการแก้ไขนโยบายของประเทศ และการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ
รัฐบาลซูการ์โนรู้ตัว่าเป็นการลำบากในการแก้ไขปัญหาอาเจะห์
สาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนซับกับฮาลันดาก็ยังคาราคาซัง
การยอมรับอธิปไตยของสาธารณรัฐอินโดเนเซียโดยฮาลันดาก็ยังสร้างรอยร้าวในหมู่นักการเมืองที่กรุงจาการ์ตา จนทำให้ผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาอาเจะห์ และยังมีพื้นที่อื่นๆ อีกที่เกี่ยวข้อง
ประชาชนชาวอาเจะห์ที่เรียกร้องนั้นต้องการหรือไม่ต้องการกับสภาพการณ์นี้
พวกยังคงมีความรู้สึกว่าถูกปฏิบัติแบบลูกเลี้ยงโดยรัฐบาลอินโดเนเซีย เพื่อการต่อสู้ร่วมกับประชาชนชาวอาเจะห์ ดาวุด
บือเระห์ได้ทำให้หลักการสมบูรณ์ขึ้น
โดยจัดระบบองค์กรการปกครองสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซียเขตอาเจะห์ นโยบายจำนวน
13 ประการที่ดาวุด บือเระห์
สร้างขึ้นในการจัดระบบการปกครองของสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซียเขตอาเจะห์ (7)
1.อาเจะห์
และบริเวณใกล้เคียง
เป็นดินแดนปกครองอิสระที่กว้างขวางที่จัดตั้งเป็นจังหวัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซีย
2.จังหวัดที่ปกครองอิสระที่กว้างขวางนั้นมีผู้นำเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและผู้ว่าราชการจังหวัดการทหาร มีศูนย์อยู่ที่เมืองเอกของจังหวัด
3.ผู้ว่าราชการจังหวัดผลเรือนและการทหาร เป็นผู้ทำการบริหารสูงสุด
และผู้บริหารจากกองทัพสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซีย ที่ตั้งอยู่ในดินแดนอาเจะห์ และพื้นที่ใกล้เคียง กองทัพนี้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอิสลามอินโดเนเซีย ภาค 5
โดยมีชื่อว่าภาคเต็งกูจิ ดีตีโร
4.สำหรับจังหวัดนั้นประกอบด้วย สภาซูรอ
(สภาบริหารเขต) และสมัชชาซูรา (สภาผู้แทนราษฎรเขต)
5.สภาซูรอประกอบด้วย ผู้นำหนึ่งคน
รองผู้นำ และสมาชิกอีก 5 คน
6.ผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหาร ดำรงตำแหน่งเป็นประชาชนสมัชชาซูรอ
7.สมัชช่าซูรอประกอบด้วยผู้นำหนึ่งคน และรองผู้นำอีกหนึ่งคน และสมาชิกจำนวน ตามกฎเกณฑ์ที่จะกำหนดไว้
8.สมัชชาซูรอเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร และสมัชชาซูรอเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ
9.ผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหาร ด้วยนอกจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารแล้ว
ยังเป็นตัวแทนผู้ปกครองส่วนกลางจากมูฮัมหมัด ผู้นำประเทศ
10.ผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหารได้รับการสนับสนุนจากคณะที่ปรึกษาการทหาร และสภาการทหาร
11.สภาการทหารมีอำนายหน้าที่ดังนี้ ให้คำปรึกษาและพิจารณาคำปรึกษาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหาร มีจะจอคำปรึกษาหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะคำปรึกษาด้านการทหาร นอกจากนั้นกำหนดวางแผนทางการเมืองในทางยุทธศาสตร์และการความมั่นคง
การความมั่งคงและการนำสำหรับกองทัพไม่ว่าด้วยการทหารหรือการเคลื่อนไหวทั่วไป
สภานี้จะวางแผนและประสานงานในที่เกี่ยวข้องกับประชาชนอาสาสมัครทุกระดับชั้น
12.จังหวัดอาเจะห์ และบริเวณใกล้เคียง เป็นดินแดนพื้นที่การทหารด้วยอำนาจของกองทัพภาคที่เรียกว่ากองทัพอิสลามอินโดเนเซียภาค 5
เต็งกูจิ ดีตีโร
13.กองทัพอิสลามอินโดเนเซียภาค 5
เต็งกูจิ ดีตีโร
ในการปฏิบัติการจะบังคับบัญชาโดยคณะผู้บังคับบัญชาคณะหนึ่ง มีผู้นำคนหนึ่งเป็นหัวหน้าในการบังคับบัญชา
อ้างอิง
7.Gerakan Aceh
Merdeka, Jihad Rakyat Aceh
Mewujudkan Negara Islam : Al Chaidar
dan Penerbit Madani Pers.
Tiada ulasan:
Catat Ulasan