โดย
นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ประเทศศรีลังกามีประชากรประมาณ
21 ล้านคน และในจำนวนดังกล่าวจะมีชาวศรีลังกาที่นับถือศาสนาอิสลาม ประมาณ 1.9
ล้านคน
ชาวมุสลิมในประเทศศรีลังกาจะพูดภาษาทมิฬ
ในขณะที่ชาวศรีลังกาส่วนใหญ่ที่มาจากกลุ่มชนชาวสิงหล จะพูดภาษาสิงหลี
ชาวทมิฬศรีลังกาจะเรียกชาวมุสลิมว่า Sonakar และ Sonar บ้าง และชาวมุสลิมเหล่านั้นแบ่งออกเป็นหลากหลายประเภท เช่นกลุ่มแรกคือ
ชาวทมิฬมุสลิม (Tamil Muslim) บางครั้งกลุ่มนี้ก็ถูกเรียกว่าชาวมัวร์ศรีลังกา
(Sri Lankan Moors) ด้วย
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชาวทมิฬศรีลังกาที่นับถือศาสนาฮินดู
พยายามจะให้กลุ่มนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชาวทมิฬศรีลังกา
ด้วยพวกเขาถือว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มชาวทมิฬที่เข้ารับศาสนาอิสลาม
ส่วนชาวมัวร์ศรีลังกานั้น
จะเป็นกลุ่มที่มีเชื้อสายมาจากชาวอาหรับที่อพยพมายังประเทศศรีลังกาในศตวรรษที่
15
อย่างไรก็ตามนักวิชาการชาวมุสลิมศรีลังกากล่าวว่า
คำว่ามัวร์นั้นเป็นเรียกของชาวโปร์ตุเกสที่หมายถึงชาวมุสลิม ทั้งในประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา
อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มชาวมุสลิมที่มาจากเชื้อสายอาหรับ
นักวิชาการบางส่วนถือว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่น่าจะเรียกว่าชาวมัวร์ศรีลังกามากกว่ากลุ่มที่มาจากชาวทมิฬมุสลิม
มีการแบ่งแยกกันระหว่างกลุ่มชาวทมิฬมุสลิมกับชาวมมัวร์ศรีลังกา แม้ว่าทั้งสองกลุ่มจะพูดภาษาเดียวกันก็ตาม
สำหรับชาวมัวร์ศรีลังกา นอกจากจะใช้ภาษาทมิฬ และภาษาสิงหลีแล้ว
ยังมีความรู้ในเรื่องภาษาอาหรับอีกด้วย ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมืองอัมปารา
และกรุงโคลอมโบ
บางทฤษฎีก็กล่าวว่าคำว่ามัวร์นั้นมาจากการผสมแต่งงานกันระหว่างชาวทมิฬมุสลิมกับชาวอาหรับ
นอกจากนั้นยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คนในประเทศไทยอาจรู้น้อยมาก
คือ กลุ่มชาวมลายูศรีลังกา กลุ่มนี้ยังคงมีการใช้ภาษามลายูอยู่
สำหรับในประเทศศรีลังกานั้น ชาวมลายูยังคงยึดถืออัตลักษณ์ของชาวมลายูอยู่
แม้ว่าภาษามลายูของพวกเขาจะได้รับอิทธิพลของภาษาทมิฬ และสิงหล ประชากรของศรีลังกาที่มีเชื้อชาติมลายูนั้น
มีอยู่ประมาณ 62,000 คน
ชาวมลายูในศรีลังกามีประวัติภูมิหลังที่น่าสนใจจริง พวกเขาถูกฮอลันดานำไปยังศรีลังกาในศตวรรษที่ 18
และบางส่วนถูกอังกฤษนำไปยังศรีลังกาในศตวรรษที่ 19 ซึ่งก่อนหน้านั้นชาวมลายูก็ได้อพยพไปยังศรีลังกาแล้ว ในหนังสือชื่อ “มหาวังศา” ( Mahawangsa) ซึ่งเป็นหนังสือประวัติศาตร์เก่าแก่ของประเทศศรีลังกาก็มีการบันทึกว่า
ในสมัยกษัตริย์ที่ชื่อ กษัตริย์ Prakrama Bahu ในปี1268
มีกษัตริย์ชาวมลายูชื่อกษัตริย์จันทราภาณุ (Chandrabhanu) จากอาณาจักรตามพรลิงค์ ( Tambralinga ) ได้ไปโจมตีศรีลังกาเป็นจำนวน
2 ครั้ง แม้แต่แม่ทัพของกษัตริย์ Prakrama Bahu เองก็เป็นชาวมลายูมีชื่อว่า
Melayu Rayer แต่ชาวมลายูเหล่านี้ถูกสังคมศรีลังกากลมกลืน
จนสิ้นอัตลักษณ์ ด้วยพวกเขานับถือศาสนาเฉกเช่นเดียวกันกับชาวศรีลังกา
การนับถือศาสนาของชาวมลายูในประเทศศรีลังกา
ด้วยพวกเขามีบรรพบุรุษที่มาจากประเทศมาเลเซียและอินโดเนเซีย
ทำให้พวกเขานับถือศาสนาอิสลามด้วย มัสยิดสองชั้นแห่งแรกที่สร้างขึ้น
เป็นมัสยิดที่สร้างโด นาย HH
Mohammed Balankaya ซึ่งเป็นเชื้อสายเจ้าชาวมลายู ที่มาจากรัฐ หรือเมืองโกวา
(Gowa ) เป็นรัฐที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสุลาเวซีใต้
ประเทศอินโดเนเซียในปัจจุบัน ชาวมลายูศรีลังกา จะกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ เช่น
กรุงโคลอมโบ เมืองฮัมบาโตตา เมืองเบรูเวลา และกัลเล
บุคลลสำคัญในสังคมมลายูศรีลังกา
ชาวมลายูในประเทศศรีลังกา
มักใช้คำว่า T.
บ้าง และ Tuan บ้าง
เพื่อสื่อถึงการเป็นชาวมลายูบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวมลายูศรีลังกา
คือ ท่าน ที.บี. จายา หรือ T.B. Jayah โดยมีชื่อเต็มว่า Tuan
Burhanudeen Jayah เป็นนักการศึกษา นักการเมือง และนักการทูต
เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2433 ที่ประเทศศรีลังกา และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1
มิถุนายน 2503 ที่นครมักกะฮ์
ประเทศซาอุดีอาระเบีย
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน เป็นนักการเมืองที่มาจากพรรค United
National Party ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตคนแรกของประเทศศรีลังกาประจำประเทศปากีสถาน
และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและบริการสังคมในขณะรัฐบาลชุดแรกของประเทศศรีลังกาภายหลังจากได้รับเอกราช
นอกจากนั้นยังมีชาวมลายูศรีลังกาที่มีชื่อเสียงทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เช่น พลจัตวาตวนซูเรส ซัลลี อดีตผู้อำนวยการหน่วยการข่าวกรองกองทัพศรีลังกา พันเอกตวนนีซาม มุตตาลิฟ
อดีตผู้บังคับการหน่วยข่าวกรองของกองทัพภาคที่ 1
พันเอกตวนรีสลี มีดิน
อดีตผู้บังคับการหน่วยข่าวกรองของกองทัพภาคที่ 2 รวมทั้งพลจัตวาซาเมรัน ฐูฮารี
ซัลลี อดีตเสนาธิการกองทัพศรีลังกา ซึ่งเป็นชาวมลายูและชาวมุสลิมคนแรกที่สามารถมีตำแหน่งระดับสูงในกองทัพศรีลังกา
โดยเขาเป็นเลขาธิการคนแรกของสมาพันธ์ชาวมลายูศรีลังกา หรือ The Sri Lanka
Malay Confederation (SLAMAC) สำหรับคนที่มีบทบาทในสังคมมลายูศรีลังกา
ที่ผู้เขียนติดต่อเสมอมา เช่น นายยูซุฟ คุตตีลัน
และครอบครัว ซึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
รวมทั้งนายนูร์ อาร์. ราฮิม อดีตนายทหารกองทัพอากาศศรีลังกา
ซึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานในเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา
Tiada ulasan:
Catat Ulasan