โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ช่วงเวลาเดือนกว่าๆที่ผ่านมา
เป็นช่วงเวลาของการประกอบพิธีฮัจญ์ของพี่น้องชาวมุสลิมจากทั่วโลก นครมักกะห์ไม่เพียงเป็นเวทีสมัชชาพบปะ
สร้างความสัมพันธ์กันระหว่างพี่น้องมุสลิมจากทั่วโลกเท่านั้น แต่นครมักกะห์ยังถือว่าน่าจะเป็นสถานที่เดียว
ที่เป็นสมัชชาของชาติพันธุ์มลายูและผู้คนจากโลกมลายู
ด้วยนครมักกะห์กลายเป็นศูนย์รวมของผู้คนจากทุกๆพื้นที่ในโลกมลายู
ในช่วงเวลาที่พี่น้องมุสลิมโดยเฉพาะจากประเทศไทยไปประกอบพิธีฮัจญ์ปีนี้
แม้ผู้เขียนจะไม่ได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ด้วย แต่ก็ได้ถือโอกาสช่วงนี้ฟื้นความหลัง
ฟื้นประสบการณ์ของตัวเองในอดีต
เป็นประสบการณ์ที่สามารถนำมาต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับโลกมลายูในปัจจุบัน
เมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา
ครั้งก่อนเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ผู้เขียนสำรวจข้อมูลการทำวีซ่า ได้ยินข่าวว่าเมื่อขอวีซ่าทางประเทศไทยลำบาก
คนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถไปขอวีซ่าที่ประเทศมาเลเซีย จึงสำรวจข้อมูลสถานทูตซาอุดีอาราเบียในกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย ปรากฏว่าเอกอัครทูตซาอุดีอาราเบียชื่อว่า ตันสรี ฮุสเซ็น
อัล-ฟาตานี นั้นคือบทเรียนหนึ่งที่ได้รับรู้ว่าลูกหลานชาวปาตานี
หรือชาวสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้ตั้งถิ่นฐานในประเทศซาอุดีอาราเบีย
มีส่วนหนึ่งที่มีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตพอสมควร
และเมื่อครั้งเดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาราเบีย ก็ได้รับรู้จากคุณอับดุลลอฮ
อัล-ฟาตานีผู้เป็นญาติของเขาว่าตันสรี ฮุสเซ็น อัล-ฟาตานี ยังมีน้องชายอีกคนชื่อ คุณมุสตสฟา อัล-ฟาตานี
เป็นกงสุลซาอุดีอาราเบียอยู่ที่เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน
และผู้เขียนใช้เวลาส่วนหนึ่งสัมผัสชุมชนชาวมลายูในประเทศซาอุดีอาราเบีย ชาวมลายูส่วนหนึ่งในประเทศซาอุดีอาราเบีย
จะมีนามสกุลว่า อัล-ฟาตานี อัล-ฟาเล็มบานี อัล-อินดราคีรี
ผู้เขียนจะใช้เวลาส่วนหนึ่ง
สร้างความรู้จักกับผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ที่มาจากกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษามลายู
ไม่ว่าประเทศมาเลเซีย อินโดเนเซีย บรูไน รวมทั้งสิงคโปร์ นั้นอาจถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เราในประเทศไทยได้รับรู้แล้วว่าประเทศที่กล่าวข้างต้นมีชาวมลายูอาศัยอยู่
รวมทั้งสิงคโปร์ แม้ชาวมลายูจะเป็นชนกลุ่มน้อยในสิงคโปร์
แต่ภาษามลายูก็เป็นภาษาประจำชาติของสิงคโปร์
ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในมัสยิดอัลฮารอม ผู้คนจากหลากหลายชาติพันธุ์มารวมกัน
แต่ละคนมักติดธงประเทศตนเอง เพื่อบอกแหล่งที่มา เมื่อเกิดปัญหาจะได้รู้ว่ามาจากไหน
มีคนกลุ่มหนึ่งพูดคุยด้วยภาษามลายู แต่เมื่อดูสัญลักษณ์ชาติธงชาติ มีแถบสีเขียว
สีขาว ตรงกลางแถบสีแดง มีดาวสีเหลือง ผู้เขียนไม่เคยเห็นธงชาตินี้ จึงเข้าใกล้
และถามผู้หญิงคนหนึ่งว่ามาจากไหน เขาตอบว่ามาจากประเทศสุรีนาม
เมื่อเห็นหน้าของผู้เขียนยังงงอยู่
เขาบอกต่อว่า ประเทศสุรีนามอยู่ในทวีปละตินอเมริกา นี้ก็เป็นบทเรียนหนึ่งที่ผู้เขียนใช้ต่อยอดความรู้มลายูศึกษาในปัจจุบัน
ด้วยความที่ผู้เขียนเรียนทางรัฐศาสตร์
มีความสนใจในเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมักอ่านบทความต่างๆของประเทศมาเลเซีย
ก่อนเดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาราเบีย
ผู้เขียนเคยอ่านบทความของตันสรีอิสมาแอล
ฮุสเซ็น ขณะนั้นเป็นหัวหน้าภาควิชามลายูศึกษา ก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็นสถาบันมลายูศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยมาลายา
ซึ่งต่อมาท่านก็ได้มาเป็นอาจารย์ลักจำเกี่ยวกับมลายูศึกษาของผู้เขียน ภายหลังเมื่อรู้จักกันเป็นการส่วนตัว
ท่านก็ได้เปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้รู้จักผู้คน ได้สร้างเครือข่ายในโลกวัฒนธรรมมมลายู
ท่านเขียนบทความเรื่องชุมชนชาวมลายูในประเทศสรีลังกา และประเทศอัฟริกาใต้
สิ่งที่ผู้เขียนประทับใจมาก
นั้นคือในขณะที่จะเดินทางไปยังทุ่งอาราฟะห์
ผู้เขียนและคนที่ผู้เขียนรู้จักที่นครมักกะห์ เป็นชาวมลายูสิงคโปร์ ตัดสินใจว่าเราจะใช้วิธีการเดินเท้า
และในกลุ่มที่จะเดินนั้น ปรากฏว่ามีชาวมลายูจากมาเลเซียอยู่ด้วย และมีคนหนึ่งแนะนำตัวเองว่า ผมเป็นชาวมลายูครับ
ผมมาจากประเทศอัฟริกาใต้
แม้เขาจะพูดภาษามลายูไม่ได้
ด้วยกลุ่มชาวมลายูอพยพไปอยู่ในประเทศอัฟริกาใต้มาสองสามร้อยปีมาแล้ว จนลืมภาษามลายู
แต่ก็ยังไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ขณะเดินเท้าไปยังทุ่งอาราฟะห์นั้น
ผู้เขียนพูดกับผู้ร่วมเดินเท้าว่า
นี้เป็นการรวมตัวของกลุ่มชาวมลายูเล็กๆจากประเทศต่างๆร่วมเดินเท้าไปยังทุ่งอาราฟะห์
เมื่อเดินทางถึงทุ่งอาราฟะห์
ก็พบผู้คนกลุ่มหนึ่ง เมื่อถามว่ามาจากไหน
มีชายคนหนึ่งตอบว่ามาจากประเทศศรีลังกา
เมื่อดูหน้าตา ไม่มีเค้าของชาวศรีลังกาเลย
ความรู้ที่ได้จากบทความของตันสรีอิสมาแอล
ฮุสเซ็นถูกนำมาประยุกต์ใช้ จึงถามว่า เป็นชาวมลายูจากประเทศศรีลังกาใช่ไหม คำตอบที่ได้รับเป็นภาษามลายูว่าใช่ เราจึงคุยกันเป็นภาษามลายู
หลายๆคนที่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
แปลกใจที่มีคนมลายูในประเทศศรีลังกา
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในนครมักกะห์ได้ระยะหนึ่ง ที่นครมักกะห์ ได้รู้จักทั้งชาวมาเลเซีย
อินโดเนเซีย บรูไน สิงคโปร์ แม้แต่ชาวมลายูจากประเทศเมียนมาร์ก็ได้รู้จัก ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของชาวมลายูในประเทศดังกล่าว
แม้แต่ในการติดต่อสื่อสารทางจดหมายกับญาติพี่น้องในประเทศไทย
ด้วยได้รู้จักเพื่อนชาวนราธิวาส ที่มีบิดาเป็นคนเชื้อสายรัฐเคดะห์
เพื่อนผู้นั้นทำหน้าที่ดูแลอาคารสำนักงานกิจการฮัจญ์มาเลเซียในนครมักกะห์
ผู้เขียนจึงใช้ที่อยู่ของสำนักงานดังกล่าวเป็นที่อยู่ในการติดต่อสื่อสาร ในนครมักกะห์ สิ่งหนึ่งที่ประทับใจ
ที่ชุมชนชาวมลายูที่ชุอิบอาลี ไม่ห่างจากมัสยิดอัลฮารอมมากนัก ซึ่งปัจจุบัน
น่าจะถูกรื้อเพื่อพัฒนาพื้นที่แล้ว มีโรงเรียนหนึ่งที่ตั้งขึ้นมา
เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาให้กับบุตรหลานของชาวมลายูในพื้นที่บริเวณดังกล่าว
โรงเรียนแห่งนั้นใช้ชื่อว่า โรงเรียนอินโดเนเซีย หรือ มัดราซะห์อินโดเนเซีย
ต่อมาเมื่อผู้เขียนกลับมาเรียนต่อในสาขามลายูศึกษา
ที่ประเทศมาเลเซียแล้วก็ตาม การเรียนส่วนหนึ่งก็อาจแค่เป็นทฤษฎี แต่การพบปะ
การสร้างความสัมพันธ์ การรู้จักชาวมลายูจากประเทศต่างๆ การสัมผัสชาวมลายูจากประเทศศรีลังกา
ประเทศอัฟริกาใต้ ประเทศสุรีนาม ประเทศเมียนมาร์ เมื่อครั้งเมื่ออยู่ที่นครมักกะห์
ผู้เขียนถือว่าเป็นการลงภาคสนามสัมผัสชาวมลายูที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งบางครั้งไม่อาจสัมผัสได้ในประเทศมาเลเซีย ดังนั้นผู้เขียนภูมิใจและไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประสบการณ์สัมผัสชาวมลายูจากประเทศต่างๆในนครมักกะห์
ถือได้ว่าเป็นบทเรียนแรกๆในการต่อยอดความรู้เกี่ยวกับมลายูศึกษาของผู้เขียนในปัจจุบัน