Sabtu, 20 Jun 2015

สัมผัสจิตวิญญาณชาวมลายูในประเทศเมียนมาร

โดย  นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน

เมื่อครั้งผู้เขียนได้เดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2528 ที่นครมักกะห์ เพื่อนของผู้เขียนชื่อว่า “ นิสิต นุ้ยแอ ” ปัจจุบันเปิดบริษัทกิจการฮัจญ์  “หจก. นาทวีบิสเน็สแอนด์ทราเวลา”  เพื่อนผู้นี้ได้แนะนำผู้เขียนให้รู้จักกับฮุจยาตชาวมลายูจากเกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์


นั้นเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้รับรู้ว่ามีชาวมลายูอาศัยอยู่ในประเทศเมียนมาร์ จากนั้นกว่าสิบปี  ต่อมา ผู้เขียนเดินทางไปประเทศมาเลเซีย  ที่นั่นมีการลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์กระแสหลักของมาเลเซีย ถึงการที่ชาวต่างชาติที่เข้าไปทำงานและตั้งถิ่นฐานในประเทศมาเลเซีย สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจต่อประเทศมาเลเซีย ไม่ว่าจะเป็นการต้องรับภาระค่าการรักษาพยาบาล  ภาระงบประมาณสนับสนุนทางการศึกษา


ในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ครูคนหนึ่งที่ได้กล่าวถึงโรงเรียนของเขาว่า มีชาวมลายูจากประเทศเมียนมาร์มาเรียนถึงกว่าครึ่งโรง  ทำให้ผู้เขียนมีความสนใจมากขึ้นถึงความสัมพันธ์ของชาวมลายูจากประเทศเมียนมาร์กับประเทศมาเลเซีย


ยิ่งครั้งหนึ่งลูกพี่ลูกน้องของผู้เขียน ในตอนนั้นทำงานโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ได้พาหญิงชายคู่หนึ่งจะเข้าพักที่โรงแรม แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม เขาจึงพาชายหญิงคู่นั้นมาที่บ้านพักของเขา ซึ่งขณะนั้นผู้เขียนและแม่มาเยี่ยมลูกพี่น้อง  ได้พบกับผู้หญิงและบอกแก่แม่ผู้เขียนว่าเธอถูกหลอก เราจึงไล่ผู้ชายไป จนญาติพี่น้องฝ่ายหญิงหาตัวจนพบและมั่นใจว่าเธอปลอดภัย


จากนั้น เราจึงมอบหญิงสาวคนนั้นต่อครอบครัวเธอที่เดินทางมาจากฝั่งมาเลเซีย

 

นอกจากนั้น ตันสรีอิสมาแอลฮุสเซ็น  หนึ่งในนักปราชญ์มลายูศึกษา ได้เขียนบทความลงในวารสาร “Warta Gapena”  ซึ่งเป็นวารสารของสมาพันธ์นักเขียนแห่งชาติมาเลเซีย ขณะที่ท่านเป็นประธานของสมาพันธ์นักเขียน  และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลานชายภรรยาผู้เขียนได้เดินทางไปยังเกาะสอง ประเทศเมียนมาร์ พร้อมเพื่อนๆ และพักที่ชุมชนชาวมลายูที่นั่นสองสามคืน ดังนั้นการรับรู้ถึงการมีอยู่ของชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์


เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะนักศึกษามลายูศึกษา มอ. ปัตตานี มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์  ซึ่งสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งข้อมูลที่ได้ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศมาเลเซีย เป็นบทความต่างๆ ที่ชาวมาเลเซียเคยเดินทางไปเยี่ยมชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์ ส่วนในประเทศไทยเรียกว่าแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์เลย


คล้ายกับว่าชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์ไม่มีอยู่ในสาระบบความเป็นพี่น้องของมุสลิมไทย กลับกันข้อมูลชาวจามมุสลิมในประเทศลาว แม้จะมีเพียงสองสามร้อยคน กลับมีข้อมูลตามบทความต่างๆ มากมาย ”

ผู้เขียนยิ่งเศร้าใจ เมื่อนักศึกษามลายูศึกษาผู้หนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ประสานงานในการเดินทางไปสัมผัสชุมชนมลายูในประเทศเมียนมาร์ครั้งนี้  เธอได้ติดต่อสอบถามกับอดีตผู้นำนักศึกษาท่านหนึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่า เกาะสองไม่ปลอดภัย  เกาะสองไม่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ  ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องแสดงแผนที่ที่ตั้งของชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์ โดยผ่านระบบ Google Earth สำรวจชื่อชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์  ปรากฏว่ามีชื่อชุมชนชาวมลายูที่ชื่อเป็นภาษามลายูหลายชุมชนด้วยกัน เช่น กำปงเตองะห์, กำปงฮูลูกำปงเมะปูเตะห์กำปงปาเซร์ปันยังกำปงลามา  นั่นเป็นสิ่งที่ย้ำให้เรามั่นใจได้ว่าเกาะสองมีความสำคัญทางจิตวิญญาณสำหรับชาวมลายูนอกประเทศเมียนมาร์แน่นอน


การเดินทางของคณะนักศึกษามลายูศึกษา มอ. ปัตตานีในครั้งนี้  ก่อนเดินทางไปสัมผัสชุมชนชาวมลายูในเกาะสอง  คณะเราได้เดินทางไปสัมผัสชุมชนชาวมลายูที่เกาะสินไห จังหวัดระนอง

เกาะสินไห มีชื่อเป็นภาษามลายูว่า ปูเลาปีไง  ชาวบ้านชาวเกาะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะเป็นชาวมุสลิม ที่พูดภาษามลายู สำเนียงเคดะห์  การสัมผัสชุมชนชาวเกาะสินไหครั้งนี้ ทำให้คณะเราสัญญาว่าคณะเราจะไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง  ด้วยยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องช่วยเหลือพี่น้องชาวมลายูบนเกาะสินไห


หลังจากนั้นคณะนักศึกษามลายูศึกษาจึงเดินทางเข้าเกาะสอง ประเทศเมียนมาร์

เกาะสองนี้ตั้งอยู่ภายใต้ภูมิภาคตะนาวศรี (Tanintharyi Region) ภาษามลายูจะเรียกภูมิภาคตะนาวศรีว่า Tanah Sari ประเทศเมียนมาร์นี้ มีเขตการปกครองที่แปลกแตกต่างจากประเทศไทย มาเลเซีย หรือแม้แต่อินโดเนเซีย ด้วยเขตการปกครองใดที่มีชาวพม่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จะเรียกว่าภูมิภาค หรือ Region เช่น ภูมิภาคตะนาวศรี ส่วนเขตการปกครองใดที่มีชนชาติอื่นๆ เช่น ชาวมอญ ชาวไทยใหญ่ เป็นชนกลุ่มใหญ่ จะเรียกเขตการปกครองนั้นว่า รัฐ (State) เช่น รัฐมอญ รัฐฉาน



เมื่อคณะนักศึกษาเดินทางขึ้นฝั่งเกาะสอง  สิ่งแรกที่แปลกใจคือชาวเมียนมาร์มุสลิมเชื้อสายอะไรสักอย่าง ถ้าไม่โรฮิงญา ก็เชื้อสายอินเดีย-บังคลาเทศ ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์บริเวณท่าเรือ เขาสามารถพูดภาษามลายูกลางได้คล่องแคล่ว  เมื่อเราแจ้งว่าเราจะพักโรงแรมหนึ่งในตลาดเกาะสอง เขาได้พาคณะนักศึกษาไปยังโรงแรมแห่งนั้น ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังมัสยิดของเกาะสอง

เมื่อเดินทางใกล้ถึงมัสยิด  พบชาวเมียนมาร์ หน้าตาแบบชาวอินเดีย พูดภาษามลายูกลางทักทายเรา เขาบอกว่าเขาเป็นลูกครึ่งแม่มลายูส่วนพ่อเป็นมามะค์ (Mamak) คำว่ามามะเป็นคำเรียกชาวอินเดียมุสลิม เขาบอกว่าถ้าจะเยี่ยมชุมชนชาวมลายูให้ไปสอบถามลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งพูดภาษามลายูได้เช่นกัน


เราพักค้างคืนที่ตลาดเกาะสอง  โดยมีแผนวันรุ่งเช้าจะเดินทางไปสัมผัสชุมชนชาวมลายู


ในตอนค่ำที่ตลาดเกาะสอง คณะเราโชคดีได้พบกับ คุณซัมซุดดิน ชาวมลายูเกาะสอง และในวันรุ่งขึ้นคุณซัมซุดดิน ได้พาผู้เขียนไปทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารมุสลิมที่ตลาดเกาะสอง และพบกับคุณมูฮัมหมัด บุตรชายอดีตท่านอิหม่ามของมัสยิดที่ตั้งใกล้ที่พัก จากการพูดคุยในเช้าวันนั้น ทำให้เราทราบว่า เฉพาะในตลาดเกาะสองมีมัสยิดและมุซอลลา ทั้งหมดถึง 7 แห่ง ซึ่งมีมากกว่าที่เราเข้าใจเสียอีก


หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ คณะเราจึงเช่ารถสองแถว 2 คัน เพื่อพาคณะนักศึกษามลายูศึกษาสัมผัสชุมชนมลายู  ชุมชนชาวมลายูชุมชนแรก ที่คณะเราสัมผัสคือหมู่บ้านไมล์ที่ 10 (Kampong 10 Batu) ซึ่ง ณ ชุมชนนั้น ผู้เขียนก็ได้ประกาศต่อคณะนักศึกษามลายูศึกษาว่า “ วันนี้วันที่ 9 มิถุนายน ณ หมู่บ้านไมล์ที่ 9 แห่งนี้  นักศึกษามลายูศึกษาได้เดินทางครบแล้วทั้ง 10 ประเทศ ของกลุ่มประชาคมอาเซียน  หลังจากนั้นคณะเราก็ได้เดินทางไปเยี่ยมยังชุมชนอื่นๆ  เช่น หมู่บ้านไมล์ที่ 10 หมู่บ้านตันหยงบาได ”


จากการสัมผัสชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์  ปรากฏว่าบางหมู่บ้านโรงเรียนตาดีกา ที่เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนเด็กๆ ชาวมลายูต้องร้างลง เพราะขาดครูผู้สอน เด็กๆ ต้องไปเรียนศาสนาที่ต่างหมู่บ้าน  เมื่อถามชาวบ้านว่า ถ้ามีครูสอนศาสนาที่โรงเรียนร้างนั้น ผู้ปกครองจะนำลูกหลานมาเรียนไหม? เขาตอบว่า ถ้ามีครูสอนศาสนามาจริง พวกเขาก็พร้อมที่จะนำลูกหลานกลับมาเรียนที่เดิม


บางหมู่บ้านที่เราสัมผัส ปรากฏว่าโรงเรียนตาดีกากำลังปรับปรุง ก่อสร้างอาคารที่มั่นคงขึ้น ส่วนครูได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อขอสนับสนุนทางการเงินในหมู่ชาวมลายู ผู้เห็นอกเห็นใจชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์บางหมู่บ้านที่สัมผัสปรากฏว่าชาวบ้านมีน้อยมาก เมื่อสอบถามได้ความว่า ส่วนหนึ่งได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อถึงวันสำคัญ เช่น วันตรุษอีดิลฟิตรี, วันตรุษอีดิลอัฏฮา พวกเขาจึงจะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดในประเทศเมียนมาร์ อีกครั้ง”


มีชุมชนหนึ่งพบว่า มีการเปิดปอเนาะสอนศาสนาอิสลามให้กับเยาวชนชาวมลายู เมื่อสอบถามโต๊ะครูผู้สอน ทราบว่า เขาจบการศึกษาด้านศาสนามาจากปอเนาะแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี  แม้ว่าครอบครัวฝ่ายภรรยาจะเป็นครอบครัวนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงของเกาะสอง แต่เขากลับมุ่งสู่การเป็นนักการศาสนา


จากการพูดคุย สอบถามถึงชุมชนชาวมลายูในเกาะสองและบริเวณใกล้เคียง ก็ได้รับคำตอบว่ามีชุมชนชาวมลายูอยู่ประมาณ 23 หมู่บ้าน ผู้เขียนเห็นว่าโต๊ะครูผู้นี้เขาเป็นผู้เสียสละอย่างยิ่ง เนื่องในโอกาสที่ผู้เขียนและเพื่อนๆ จะจัดงานด้านวรรณกรรมในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ผู้เขียนคิดว่าโต๊ะครูหนุ่มผู้นี้ สมควรที่จะได้รับการยอมรับรางวัลอะไรสักอย่างในฐานะนักการศึกษา”


ในประเทศไทยการรับรู้ถึงการมีอยู่ของชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์ แทบไม่มีข้อมูลเลย ยกเว้นชาวมุสลิมบริเวณจังหวัดระนองและจังหวัดใกล้เคียงจนบางคนกล่าวว่า เกาะสองไม่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ  ขณะที่ในประเทศมาเลเซีย อินโดเนเซีย  โดยเฉพาะผู้สนใจเกี่ยวกับโลกมลายูแล้ว ชุมชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์อยู่ในหัวใจพวกเขาเสมอ


เนื่องในโอกาสวันตรุษอีดิลอัฏฮาปีนี้ มีเพื่อนชาวอินโดเนเซีย คือ คุณ Imbalo นักธุรกิจเจ้าของโรงเรียนมัธยม Hang Tuah และสถานีโทรทัศน์ Hang Tuah แห่งเกาะบาตัม จังหวัดหมู่เกาะเรียว ประเทศอินโดเนเซีย  ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมชุมชนชาวมลายู พร้อมมอบวัวกุรบานให้แก่ชุมชนชาวมลายูในเกาะสอง ประเทศเมียนมาร์”


สำหรับสถาบันปอเนาะสำคัญๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับเป็นแหล่งที่เยาวชนชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์เดินทางมาเรียนทางศาสนาอิสลามกันมากมาย แต่เรากลับรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชาวมลายูในประเทศมาเลเซียกับชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์มากกว่า


ประชาคมอาเซียนกำลังจะเกิดขึ้น ธุรกิจการค้าบางครั้งก็ไม่ได้เข้าทางประตูหน้าเสมอไป ผู้เขียนจึงไม่แน่ใจว่านักธุรกิจชาวมลายูบางคนในประเทศมาเลเซีย จะใช้เส้นทางสู่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยผ่านชาวมลายูในประเทศเมียนมาร์ หรือไม่ อย่างไร


Tiada ulasan: