โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
อินโดเนเซียหลังเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2014
การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของประเทศอินโดเนเซีย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2014 เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนชาวอินโดเนเซีย ซึ่งประเทศอินโดเนเซีย ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน นักสังเกตการณ์ทางการเมืองชาวอินโดเนเซียบางคนกล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีครั้งนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากการเลือกตั้งผ่านได้ไม่นาน ระหว่างรอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ก็เกิดความเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อ 14 กรกฎาคม 2014 กลุ่มพรรคการเมือง 6 พรรค ที่สนับสนุนหมายเลข 1 คือนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้ประกาศจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรถาวร โดยใช้ชื่อว่า Kaolisi Merah Putih หรือ พันธมิตรแดง-ขาว ซึ่งแต่ละพรรคเมื่อรวมกันจะมีที่นั่งในสภา 353 ที่นั่งจากที่นั่งทั้งหมด 560 ที่นั่ง ส่วนกลุ่มพรรคการเมือง 4 พรรคที่สนับสนุน หมายเลข 2 คือนายโจโก วิโดโดและนายมูฮัมหมัดยูซุป กัลลา จะมีที่นั่งในสภารวมกัน 207 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2014 ซึ่งเป็นวันประกาศผลการเลือกตั้งนั้น ขณะที่คะแนนการเลือกตั้งกำลังเข้ามายังคณะกรรมการการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือที่เรียกว่า Komisi Pemilihan Umum ปรากฎว่าทีมนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้ประกาศถอนตัวออกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีในครั้งนี้ พร้อมประกาศฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ทีมของตนเองเป็นผู้ชนะ
โดยทีมนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซาให้เหตุผลต่างๆต่อศาลรัฐธรรมนูญ เช่น มีคะแนนที่แตกต่างกันระหว่างที่มีการนับคะแนนระหว่างของฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา กับของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยคะแนนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทางฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตกับนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้คะแนน 62,576,444 คะแนน ส่วนฝ่ายนายโจโก วีโดโด กับนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้คะแนน 70,997,833 คะแนน แตกต่างจากคะแนนตามทีมกฎหมายของฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตกับนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้ทำการนับคะแนน นั้นคือ ฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตกับนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้คะแนน 67,139,153 คะแนน ส่วนนายโจโก วีโดโด กับนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้คะแนน 66,435,124 คะแนน
นอกจากนั้นมีการพบความผิดปกติของการลงคะแนน เช่นการแทรกแซงจากบุคคลอื่นในการลงคะแนน มีจำนวนถึง 20,567,256 คะแนน จากหน่วยเลือกตั้ง 48,165 หน่วย โดยเฉพาะพบปัญหาการลงคะแนน 1,596,277 คะแนน จาก 14 อำเภอในจังหวัดปาปัว โดยเฉพาะใน 5 ตำบลของจังหวัดปาปัว บางเขตกล่าวว่าไม่มีการจัดลงคะแนน แต่ปรากฏว่ามีคะแนนของผู้สมัคร โดยนายโจโก วีโดโด และนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้คะแนนถึง 91,430 คะแนน ส่วนนายปราโบโว สุเบียนโต และนายมฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ไม่มีคะแนนเลย ที่มีการพิสูจน์เป็นที่ชัดเจนคือเขตมาเปียตะวัน และเขตมาเปียกลาง
จนทางคณะกรรมการเลือกตั้งของจังหวัดปาปัว ประกาศให้คณะกรรมการเลือกตั้งของอำเภอโดกียาย ยุติการทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อ 21 สิงหาคม 2014 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคดีที่ฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซาได้ฟ้องศาล ทางศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาตั้งแต่บ่ายสองจนถึงเวลาเกือบสามทุ่มจึงประกาศผลยกฟ้อง และให้ฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา นักกฎหมายอินโดเนเซียกล่าวว่าฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ยังสามารถฟ้องร้องได้อีก 2 ศาล คือ ศาลปกครอง หรือ Pengadilan Tata Usaha Negara (PTUN) และศาลสูงสุด หรือ Mahkamah Agung (MA) แต่โอกาสที่จะชนะค่อนข้างน้อย
เส้นทางนายโจโกวี ยังต้องต่อสู้ต่อไป
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติให้ฝ่ายนายโจโก วีโดโด และนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง และนั้นไม่ได้หมายความเส้นทางการเป็นประธานาธิบดีจะเต็มด้วยดอกกุหลาบ เพราะนายโจโกวี ยังมีด่านที่ต้องผ่านอีกหลายด่าน เช่น คดีการคอรัปชั่นในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงจาการ์ตา เป็นคดีคอรัปชั่นในการซื้อรถโดยสารที่ใช้ภายในกรุงจาการ์ตา
สำหรับการคอรัปชั่นเรื่องของรถโดยสารประจำทางในกรุงจาการ์ตาที่ชื่อว่า bus Transjakarta และ Bus Kota Terintegrasi Busway (BKTB) มีชื่อของนายไมเคิล บีโม ปุตรันโต เป็นตัวละคนหลัก โดยเขาเป็นทีมสนับสนุนหาเสียงให้กับนายโจโกวี ตั้งแต่สมัยเป็นนายกเทศมนตรีโซโล จนถึงสมัยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดจาการ์ตา เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการประมูลรถจากประเทศจีน นายไมเคิล บีโม ปุตรันโต เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระดับเมืองโซโล ระหว่างปี 2004-2009 เมื่อนายโจโกวี ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดจาการ์ตา นายไมเคิล บีโม ปุตรันโต จึงย้ายมายังกรุงจาการ์ตาด้วย และได้รับแต่งตั้งจากนายโจโกวี ให้เป็นสมาชิกคณะกรรมการการคมนาคมทางบกของจังหวัดกรุงจาการ์ตา
ในกรณีนายโจโก วีโดโดสามารถผ่านด่านที่เกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่นนี้แล้ว นายโจโก วีโดโดยังต้องผ่านด่านการออกกฎหมาย หรืออะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ด้วยในรัฐสภาของอินโดเนเซียนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นของพรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรแดง-ขาวที่สนับสนุนฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัด ราชาซา ถ้าพันธมิตรแดง-ขาวยังรวมตัวต่อไป ในกรณีประธานาธิบดีมีปัญหาในเรื่องการคอรัปชั่น ทางรัฐสภาก็สามารถที่จะทำการปลดออกจากตำแหน่งได้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีอับดุลราห์มาน วาฮิดเอรัฐสภาลงมติปลดออกจากตำแหน่ง และลงมติแต่งตั้งรองประธานาธิบดีเมฆาวาตี ซูการ์โนปุตรีเป็นประธานาธิบดีขึ้นแทน เมื่อ 23 กรกฎาคม 1999
นายโจโก วีโดโดและนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้สัญญากับประชาชนชาวอินโดเนเซีย ว่าถ้าชนะการเลือกตั้งทำโครงการต่างๆ 9 โครงการให้กับประชาชนอินโดเนเซีย เช่น ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ภายใน 5 ปี ตั้งกองทุนช่วยเหลือหมู่บ้าน เพิ่มกรรมสิทธิ์ในที่ดินการเกษตรจำนวน 1.4 ล้านครอบครัว ฯลฯ
การทำได้ตามสัญญา หรือเป็นเพียงราคาคุย อนาคตจะเป็นการพิสูจน์ว่านายโจโก วีโดโดนั้นเป็นคนจริง หรือเป็นเพียงประธานาธิบดีที่มาจากการสร้างภาพ เมืองโซโล ก็ได้พิสูจน์แล้วว่านายกเทศมนตรีที่ชื่อนายนายโจโก วีโดโด และกรุงจาการตา ก็ได้พิสูจนแล้วว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ชื่อ นายโจโก วีโดโด เป็นคนอย่างไร และนับต่อจากนี้ไป ประเทศอินโดเนเซียก็จะได้พิสูจน์ว่าประธานาธิบดีที่ชื่อนายนายโจโก วีโดโด จะสามารถนำพาประเทศที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาเซียนสู่การเป็นผู้นำอาเซียนได้หรือไม่
อินโดเนเซียหลังเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2014
การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของประเทศอินโดเนเซีย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2014 เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนชาวอินโดเนเซีย ซึ่งประเทศอินโดเนเซีย ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน นักสังเกตการณ์ทางการเมืองชาวอินโดเนเซียบางคนกล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีครั้งนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2014 ซึ่งเป็นวันประกาศผลการเลือกตั้งนั้น ขณะที่คะแนนการเลือกตั้งกำลังเข้ามายังคณะกรรมการการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือที่เรียกว่า Komisi Pemilihan Umum ปรากฎว่าทีมนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้ประกาศถอนตัวออกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีในครั้งนี้ พร้อมประกาศฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ประกาศผลการเลือกตั้งให้ทีมของตนเองเป็นผู้ชนะ
โดยทีมนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซาให้เหตุผลต่างๆต่อศาลรัฐธรรมนูญ เช่น มีคะแนนที่แตกต่างกันระหว่างที่มีการนับคะแนนระหว่างของฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา กับของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยคะแนนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทางฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตกับนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้คะแนน 62,576,444 คะแนน ส่วนฝ่ายนายโจโก วีโดโด กับนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้คะแนน 70,997,833 คะแนน แตกต่างจากคะแนนตามทีมกฎหมายของฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตกับนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้ทำการนับคะแนน นั้นคือ ฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตกับนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ได้คะแนน 67,139,153 คะแนน ส่วนนายโจโก วีโดโด กับนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้คะแนน 66,435,124 คะแนน
นอกจากนั้นมีการพบความผิดปกติของการลงคะแนน เช่นการแทรกแซงจากบุคคลอื่นในการลงคะแนน มีจำนวนถึง 20,567,256 คะแนน จากหน่วยเลือกตั้ง 48,165 หน่วย โดยเฉพาะพบปัญหาการลงคะแนน 1,596,277 คะแนน จาก 14 อำเภอในจังหวัดปาปัว โดยเฉพาะใน 5 ตำบลของจังหวัดปาปัว บางเขตกล่าวว่าไม่มีการจัดลงคะแนน แต่ปรากฏว่ามีคะแนนของผู้สมัคร โดยนายโจโก วีโดโด และนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้คะแนนถึง 91,430 คะแนน ส่วนนายปราโบโว สุเบียนโต และนายมฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ไม่มีคะแนนเลย ที่มีการพิสูจน์เป็นที่ชัดเจนคือเขตมาเปียตะวัน และเขตมาเปียกลาง
จนทางคณะกรรมการเลือกตั้งของจังหวัดปาปัว ประกาศให้คณะกรรมการเลือกตั้งของอำเภอโดกียาย ยุติการทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อ 21 สิงหาคม 2014 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคดีที่ฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซาได้ฟ้องศาล ทางศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาตั้งแต่บ่ายสองจนถึงเวลาเกือบสามทุ่มจึงประกาศผลยกฟ้อง และให้ฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา นักกฎหมายอินโดเนเซียกล่าวว่าฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัดฮัตตา ราชาซา ยังสามารถฟ้องร้องได้อีก 2 ศาล คือ ศาลปกครอง หรือ Pengadilan Tata Usaha Negara (PTUN) และศาลสูงสุด หรือ Mahkamah Agung (MA) แต่โอกาสที่จะชนะค่อนข้างน้อย
เส้นทางนายโจโกวี ยังต้องต่อสู้ต่อไป
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติให้ฝ่ายนายโจโก วีโดโด และนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง และนั้นไม่ได้หมายความเส้นทางการเป็นประธานาธิบดีจะเต็มด้วยดอกกุหลาบ เพราะนายโจโกวี ยังมีด่านที่ต้องผ่านอีกหลายด่าน เช่น คดีการคอรัปชั่นในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงจาการ์ตา เป็นคดีคอรัปชั่นในการซื้อรถโดยสารที่ใช้ภายในกรุงจาการ์ตา
สำหรับการคอรัปชั่นเรื่องของรถโดยสารประจำทางในกรุงจาการ์ตาที่ชื่อว่า bus Transjakarta และ Bus Kota Terintegrasi Busway (BKTB) มีชื่อของนายไมเคิล บีโม ปุตรันโต เป็นตัวละคนหลัก โดยเขาเป็นทีมสนับสนุนหาเสียงให้กับนายโจโกวี ตั้งแต่สมัยเป็นนายกเทศมนตรีโซโล จนถึงสมัยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดจาการ์ตา เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการประมูลรถจากประเทศจีน นายไมเคิล บีโม ปุตรันโต เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระดับเมืองโซโล ระหว่างปี 2004-2009 เมื่อนายโจโกวี ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดจาการ์ตา นายไมเคิล บีโม ปุตรันโต จึงย้ายมายังกรุงจาการ์ตาด้วย และได้รับแต่งตั้งจากนายโจโกวี ให้เป็นสมาชิกคณะกรรมการการคมนาคมทางบกของจังหวัดกรุงจาการ์ตา
อูดาร์ ปริสโตโน
นายอูดาร์ ปริสโตโน อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคมนาคมของจังหวัดกรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นผู้รับผิดด้านการจัดงบประมาณในการซื้อรถโดยสารจากประเทศจีน ในฐานะหนึ่งในสี่คนที่เป็นผู้ต้องหาคดีคอรัปชั่น ได้กล่าวว่า เขาได้ปฏิบัติตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและรองู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งให้ปฏิบัติตาม และนายอุดาร์ ปริสโตโนได้กล่าวว่าในสมัยที่นายโจโกวี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงจาการ์ตา ได้เรียกเขาให้ไปพบ พร้อมพบกับนายไมเคิล บีโม ปุตรันโต พร้อมบอกให้เขาช่วยเหลือนายไมเคิล บีโม ปุตรันโต ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถโดยสารจากประเทศจีน
ไมเคิล บีโม ปุตรันโต
ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีสุซิโล บัมบัง ยูโธโยโน ก็ได้อนุมัติให้มีการสอบสวนข้าราชการจำนวน 176 คน ที่เกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่น และกล่าวว่านับตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี มีการอนุมัติให้มีการสอบสวนข้าราชการจำนวน 277 คน เป็นข้าราชการทั้งระดับชาติ และท้องถิ่น ที่ถูกขอสอบสวนโดยคณะกรรมการปราบปรามการคอรัปชั่น หรือ Komisi Pemberantasan Korupsi (KPK) ซึ่งจำนวนนี้ไม่รวมที่ถูกฝ่ายตำรวจและฝ่ายศาลดำเนินการสอบสวน ซึ่งไม่แน่ใจว่าในจำนวนบุคคลเหล่านั้น จะมีชื่อนายโจโกวีด้วยหรือไม่ ในกรณีนายโจโก วีโดโดสามารถผ่านด่านที่เกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่นนี้แล้ว นายโจโก วีโดโดยังต้องผ่านด่านการออกกฎหมาย หรืออะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ด้วยในรัฐสภาของอินโดเนเซียนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นของพรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรแดง-ขาวที่สนับสนุนฝ่ายนายปราโบโว สุเบียนโตและนายมูฮัมหมัด ราชาซา ถ้าพันธมิตรแดง-ขาวยังรวมตัวต่อไป ในกรณีประธานาธิบดีมีปัญหาในเรื่องการคอรัปชั่น ทางรัฐสภาก็สามารถที่จะทำการปลดออกจากตำแหน่งได้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีอับดุลราห์มาน วาฮิดเอรัฐสภาลงมติปลดออกจากตำแหน่ง และลงมติแต่งตั้งรองประธานาธิบดีเมฆาวาตี ซูการ์โนปุตรีเป็นประธานาธิบดีขึ้นแทน เมื่อ 23 กรกฎาคม 1999
นายอัดนัน บูยง นาซูเตียน
นายอัดนัน บูยง นาซูเตียน นักกฎหมายชั้นยอดชื่อดังของอินโดเนเซีย ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายกฎหมายให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้งในคดีที่ถูกฟ้องร้องในศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า นับแต่นี้นายโจโก วีโดโด ก็จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของประเทศอินโดเนเซีย และจะต้องทำตามที่ได้สัญญามากมายกับประชาชนชาวอินโดเนเซีย ถ้าไม่สามารถทำตามสัญญาที่ได้พูดกับประชาชน ก็จงลาออกเสียนายโจโก วีโดโดและนายมูฮัมหมัดยูซุฟ กัลลา ได้สัญญากับประชาชนชาวอินโดเนเซีย ว่าถ้าชนะการเลือกตั้งทำโครงการต่างๆ 9 โครงการให้กับประชาชนอินโดเนเซีย เช่น ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ภายใน 5 ปี ตั้งกองทุนช่วยเหลือหมู่บ้าน เพิ่มกรรมสิทธิ์ในที่ดินการเกษตรจำนวน 1.4 ล้านครอบครัว ฯลฯ
การทำได้ตามสัญญา หรือเป็นเพียงราคาคุย อนาคตจะเป็นการพิสูจน์ว่านายโจโก วีโดโดนั้นเป็นคนจริง หรือเป็นเพียงประธานาธิบดีที่มาจากการสร้างภาพ เมืองโซโล ก็ได้พิสูจน์แล้วว่านายกเทศมนตรีที่ชื่อนายนายโจโก วีโดโด และกรุงจาการตา ก็ได้พิสูจนแล้วว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ชื่อ นายโจโก วีโดโด เป็นคนอย่างไร และนับต่อจากนี้ไป ประเทศอินโดเนเซียก็จะได้พิสูจน์ว่าประธานาธิบดีที่ชื่อนายนายโจโก วีโดโด จะสามารถนำพาประเทศที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาเซียนสู่การเป็นผู้นำอาเซียนได้หรือไม่
Tiada ulasan:
Catat Ulasan