รัฐสุลต่านแห่งซูลู
เป็นรัฐหนึ่งที่มีอำนาจในภาคใต้ฟิลิปปินส์
รัฐสุลต่านแห่งซูล฿จัดตั้งขึ้นในปี 1450 ในหนังสือ Nagarakretagama ได้บันทึกถึงรัฐนี้โดยใช้ชื่อว่า Solot
ความเป็นมาของรัฐสุลต่านแห่งซูลู
ในปี 1380
มีนักการศาสนาอิสลามผู้หนึ่ง ชื่อว่า Karim ul-Makdum ได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาอิสลามยังหมู่เกาะซูลู
ต่อมาในปี 1390 มี Raja Bagindo ซึ่งมาจากมีนังกาเบาได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาอิสลามยังหมู่เกาะดังกล่าวอีกครั้ง
จนในที่สุด Raja Bagindo ได้เผยแพร่ศาสนาอิสลามจนถึงเกาะซีบูตู (Pulau Sibutu)
ราวในปี 1450 มีคนเชื้อสายอาหรับจากรัฐโยโฮร์ชื่อ Shari'ful Hashem Syed Abu Bakar ได้เดินทางไปยังหมู่เกาะซูลู ต่อมาได้แต่งงานกับ Paramisuli บุตรีของ Raja Bagindo หลังจากนั้นในปี 1457 Shari'ful Hashem Syed Abu Bakar ได้ประกาศตนเองเป็นสุลต่าน โดยใช้ชื่อว่า "Paduka Maulana Mahasari Sharif Sultan Hashem Abu
Bakar" เขาเป็นคนแรกที่ใช้ยศนำหน้าว่า “สุลต่าน” ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ ในขะที่ก่อนหน้านี้จะใช้คำว่า “ราชา”
ในทศวรรษที่ 1640
ทางสเปนได้ทำสนสัญญากับรัฐสุลต่านในภาคใต้ฟิลิปปินส์ เช่น รัฐสุลต่านซูลู รัฐสุลต่านมากินดาเนา
รับรองถึงความเป็นอิสระของรัฐข้างต้น
จากการที่รัฐสุลต่านแห่งซูลูได้ประกาศเรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือรัฐซาบะห์ ประเทศมาเลเซีย จะเห็นแต่เอกสารต่างๆที่มาจากในส่วนของรัฐซูลู แต่ไม่เคยปรากฎการเผยแพร่เอกสารที่มาจากฝ่ายบรูไนเลย ทั้งๆที่ประเทศบรูไนเอง น่าจะมีความชอบธรรมในรัฐซาบะห์ ไม่แพ้ หรืออาจจะมากกว่ารัฐซูลูด้วยซ้ำไป
ทำไมบรูไนจึงไม่เรียกร้องสิทธิเหนือซาบะห์
ขณะที่มีการจัดตั้งสหพันธรัฐที่ชื่อว่า มาเลเซีย
ทางสุลต่านบรูไนและเตอเมิงฆงบรูไน
ได้ให้เช่าซาบะห์แก่ Gustavus Baron von
Overbeck และผู้ที่สืบทอดต่อจากเขาในปี
1877 โดยเช่าจำนวน $15,000 ต่อปี สำหรับคำว่าผู้สืบทอดต่อจากเขา
ต่อมาก็คือรัฐบาลของบอร์เนียวเหนือ และรัฐบาลมาเลเซียที่ได้มาปกครองซาบะห์ ส่วนการเช่าครั้งนี้
คือการเช่าแบบถาวร โดยเขียนในสัญญาการเช่าว่า การเช่าจะยังคงมีอยู่
ตราบเท่าที่ผู้เช่ามีความต้องการเช่า และจ่ายค่าเช่า
แต่ถ้าไม่จ่ายค่าเช่าเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน บรูไนสามารถที่จะเอาคืนซาบะห์
แต่การที่มีการจ่ายค่าเช่ามาตลอด และต่อมาบรูไนและซาบะห์
ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน คืออังกฤษ
ทำให้บรูไนไม่ได้มีการเรียกร้องสิทธิเหนือซาบะห์ หรือบอร์เนียวเหนือ
สงครามระหว่างราชวงศ์บรูไนกินเวลาถึง
12 ปี โดยสุลต่านมุฮยิดดิน แห่งบรูไนขัดแย้งภายใต้เชื้อพระวงศ์
จึงขอความช่วยเหลือจากรัฐสุลต่านซูลูมาช่วยเหลือ
แต่รัฐสุลต่านซูลูเองก็ไม่ได้มาช่วยเหลืออย่างจริงจังต่อสุลต่านมุฮยิดดิน
แห่งบรูไน ทำให้ในส่วนของประวัติศาสตร์บรูไนเอง
ไม่เพียงไม่มีเอกสารหลักฐาน แม้แต่ในเอกสารประวัติศาสตร์บรูไน หรือ Tarsilah Brunei ก็ไม่มีการบันทึกถึงการมอบซาบะห์ของสุลต่านบรูไนให้แก่รัฐสุลต่านซูลู
ในเรื่องการมอบดินแดนซาบะห์ของสุลต่านมุฮยิดดินแห่งบรูไนแก่รัฐสุลต่านแห่งซูลู
นักวิชาการชาวมุสลิมมินดาเนาเองก็ยอมรับว่า
เพียงเป็นที่รับรู้ในหมู่ชาวมุสลิมในภาคใต้ฟิลิปปินส์เท่านั้น
แต่ไม่มีเอกสารหลักฐานที่กล่าวถึงการมอบซาบะห์ให้แก่รัฐสุลต่านซูลูแต่อย่างใด (Cesar Adib Majul: “Muslims in the Philippines,” 1999)
ราชวังสุลต่านซูลู
สภาพราชวังสุลต่านซูลูหลังถูกพายุถล่ม
สุลต่านซูลู
การแสดงการต่อสู้ของชาวซูลู
ชาวซูลูในอดีต
สุลต่านซูลู
สุลต่านซูลู
ในความเป็นจริงรัฐสุลต่านซูลูได้สิ้นสภาพความเป็นรัฐ
ตั้งแต่ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศฟิลิปปินส์แล้ว แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์มีความจำเป็นต้องรักษาหรือประคับประคองในรัฐสุลต่านซูลูคงอยู่ ด้วยมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของฟิลิปปินส์ นั้นคือรัฐบาลฟิลิปปินส์นับตั้งแต่อดีตมีการอ้างความชอบธรรมในกรรมสิทธิ์ของรัฐซาบะห์ว่าเป็นดินแดนของตนเอง ที่ทางรัฐสุลต่านแห่งซูลู ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฟิลิปปินส์ให้เช่าแก่ผู้อื่น ไม่ได้มีการยกให้อย่างถาวร ดังนั้นการคงอยู่ของระบบสุลต่านซูลู จึงมีความจำเป็น เพื่ออ้างความชอบธรรมดังกล่าว
เนื้อหาในรัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ ปี 1973
เนื้อหาในรัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ ปี 1987
บรรดาผู้ตั้งตัวเองเป็นสุลต่าน
เมื่อวันที่ 4 เมษายน
2009 มีกลุ่มชาวซูลูสัญชาติมาเลเซียมีผู้นำชื่อ ดาตูอับดุลราซัคดาตูอาลีอุดดิน ได้เผาธงรัฐซาบะห์
6 ผืนที่เมืองเซิมโปร์นา รัฐซาบะห์ พร้อมได้ชักธงซูลูขึ้นแทน ก่อนหน้าที่เขาได้ประกาศเป็นสุลต่านแห่งซาบะห์
การอุปโลกตนเองขึ้นเป็นสุลต่านแห่งซูลู
จากการสำรวจของนักเขียนมาเลเซีย (ibnususydi.blogspot.com) ได้กล่าวว่ามีบุคคลต่างๆแอบอ้างว่าเป็นสุลต่านแห่งซูลูทั้งหมด
ราว 97 คน ส่วนใหญ่จะใช้ชื่อว่าสุลต่านแห่งซูลูและบอร์เนียวเหนือ หรือ Sultan of Sulu & North Borneo ในบรรดาผู้อุปโลกน์ตัวเองเหล่านี้
มีกิจกรรมอยู่เพียง 2 ประการคือ เรียกร้องซาบะห์คืนมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐซูลู
และการได้รับเงินค่าเช่าถาวรรัฐซาบะห์จากมาเลเซีย แต่ไม่มีสักคนที่มีการเรียกร้องความเป็นอิสระของรัฐซูลู รวมทั้งสุลต่านที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ งานอีกอย่างหนึ่งของบรรดาสุลต่านอุปโลกน์เหล่านี้คือ
การ “ขายเครื่องราชอิสริยยศ” ที่ใช้ชื่อนำหน้าว่า ดาโสรี หรือ Datuk Paduka
สุลต่านซูลูที่ชื่อว่า
สุลต่านยามาลุล กีราม ที่ 2 ได้สิ้นชีพลงในปี 1936 โดยสุลต่านองค์นี้ไม่มีบุตรเป็นผู้สืบราชบัลลังค์
นับตั้งแต่นั้นเริ่มมีผู้ที่ทั้งอาศัยอยู่ซาบะห์และหมู่เกาะซูลูจำนวนหนึ่งได้อ้างถึงความชอบธรรมในการเป็นสุลต่านคนต่อไป
โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่อยู่ในตระกูล กีราม (Kiram)
ภายหลังจากการสิ้นชีวิตของสุลต่านยามาลุล กีราม
ที่ 2 ก็มีการประกาศสืบทอดตำแหน่งสุลต่านคนต่อไป
1) สุลต่านมาวัลลี วาซีต
หรือ Sultan Mawallil Wasit (1936)
ผู้นี้เป็นน้องชายของสุลต่านยามาลุล
กีราม ที่ 2 หลังจากการสิ้นชีวิตของสุลต่านยามาลุล
กีราม ที่ 2 ทางสภาของรัฐซูลู หรือที่เรียกว่า Rumah Bichara ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์กรบริหารรัฐซูลู
ก็แต่งตั้งให้เป็นสุลต่านมาวัลลี วาซีต แต่เป็นได้แค่ 6 เดือนก็สิ้นชีพด้วยยาพิษ
และหนึ่งปีต่อมา ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ขณะนั้นคือประธานาธิบดี มานูเอ็ล ลุยส์
กูเอซอน วาย โมนีลา ( Manuel Luis Quezón y
Molina) ได้ออกประกาศประธานาธิบดี
ลงวันที่ 20 กันยายน 1937 ประกาศว่า
รัฐบาลฟิลิปปินส์จะไม่รับรองสุลต่านคนต่อไปอีกแล้ว
2) สุลต่านอมรา
อามิลบังซา หรือ Sultan Ombra Amilbangsa
(1937-1950)
เขามีฐานะเป็นสามีของ Dayang-dayang Hajah Piandao ซึ่งเธอเป็นบุตรีของสุลต่านบาดารุดดิน หรือ Sultan Badaruddin โดยเธอมีศักดิ์เป็นหลานอาของสุลต่านยามาลุล กีราม
ที่ 2 เมื่อสิ้นสุลต่านมาวัลลีล
วาซิต เธอทำหน้าที่เป็น “Sandah” หรือผู้รักษาราชการแทนสุลต่านแห่งซูลู
ดังนั้นในเดือนมกราคม 1937 เธอจึงประกาศแต่งตั้งสามีตัวเองซึ่งมาจากเกาะตาวี ตาวี
ให้เป็นสุลต่านแห่งซูลู โดยใช้ชื่อว่า
สุลต่านอามีรุล อุมรา ที่ 2 เขาผู้นี้เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการซูลู
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2
และเคยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาคองเกรสของฟิลิปปินส์อีกด้วย
เขาเป็นบุตรของสุลต่านมาวัลลี
วาซิน ด้วยสุลต่านอมรา
อามิลบังซา หรือ Sultan Ombra Amilbangsa ไม่ใช่ผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของราชวงศ์ซูลู ดังนั้นในปี 1950 ทางราชสำนักซูลูจึงพร้อมใจแต่งตั้งให้สุลต่านเอสมาแล
กีราม ที่ 1 เป็นสุลต่านแห่งรัฐซูลู โดยมีการแต่งตั้งที่เมืองโฮโล ในปี 1962
เขาได้มอบอำนาจอธิปไตยของรัฐซูลูและบอร์เนียวเหนือให้แก่รัฐบาลของฟิลิปปินส์
ซึ่งขณะนั้นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คือ ประธานาธิบดี ดีออสดาโด มากาปากัลป์ หรือ Diosdado Macapagal เขาสิ้นชีพในปี 1974
4)สุลต่านมูฮัมหมัด
มหากูตตาห์ กีราม
หรือ Sultan Muhammad
Mahakuttah Kiram (1974-1980)
เขาเป็นบุตรคนโตจากภรรยาคนที่
2 ของสุลต่านเอสมาแล กีราม ที่ 1 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นสุลต่านแห่งซูลูสิ้นชีพ
ซึ่งขณะนั้นราชทายาทที่สมควรจะได้รับการแต่งตั้งเป็นสุลต่าน คือ ดาตูปูนยุงัน
ไปลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในซาบะห์ ด้วยเกิดความวุ่นวายในฟิลิปปินส์
มีการประกาศกฎอัยการศึก การแต่งตั้งสุลต่านมูฮัมหมัด มหากูตตาห์ กีราม
ให้เป็นสุลต่านแห่งรัฐซูลูนี้ ดำเนินการโดยรัฐบาลฟิลิปปินส์
ซึ่งขณะนั้นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คือ ประธานาธิบดีเฟอดินัน มาร์คอส สุลต่านคนนี้พักอาศัยอยู่ในโรงแรม Aurelio บริเวณถนน Mabini ในกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์
ต่อมาเมื่อในปี 1980
มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก ดาตูปูยุงัน จึงเดินทางกลับมายังดินแดนซูลู
ดังนั้นสุลต่านมูฮัมหมัด มหากูตตาห์ กีราม
ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานอาของดาตูปูนยุงัน จึงสละตำแหน่งสุลต่าน
พร้อมมอบตำแหน่งสุลต่านให้แก่อาของตนเอง โดยดาตูปูนยุงัน เป็นสุลต่านแห่งรัฐซูลูคนต่อมา
โดยใช้ชื่อว่า สุลต่านปูนยุงัน กีราม
5)
สุลต่าน อาลีอุดดิน ที่ 2 หรือ Sultan Aliuddin II (1980-2007)
ชื่อจริงคือ
ดาตูอาลีอุดดิน ฮัดดิส ปาบีลา
บินดาตู เชค อิบนี มหาราชา สุลต่านมูฮัมหมัด อารานัน มีถิ่นฐานจากรัฐซาบะห์
ในยุคการปกครองของสุลต่านมูฮัมหมัด มหากุตตาห์ กีราม ได้เกิดเหตุการ์สำคัญ
ที่ทำให้เห็นว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนเพื่อประโยชน์ของฟิลิปปินส์เท่านั้น
และเมื่อมีการตรวจสอบหลักฐานถึงความชอบธรรมในสิทธิของการดำรงตำแหน่งสุลต่าน
โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2004 สภาแห่งรัฐสุลต่านซูลู มีการประกาศแต่งตั้งดาตูอาลีอุดดิน
ฮัดดิส ปาบีลาขึ้นเป็นสุลต่านโดยใช้ชื่อว่า
สุลต่านอาลีอุดดิน ที่ 2 หรือ Sultan Aliuddin II" แต่ด้วยขาดทุนทรัพย์
จึงไม่สามารถประกอบพิธีการประกาศเป็นสุลต่านอย่างเป็นทางการ
จนเขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2007
6) ดาตูอาลี กูยุง หรือ Datu Ali Kuyung (2007-kini)
มีชื่อจริงว่า
ดาตูมูฮัมหมัด อาลี บินดาตูมาห์มูน จากสายตระกูล อารานัน (Aranan) มีศักดิ์เป็นหลานอาของสุลต่านอาลีอุดดิน ที่ 2 โดยฐานะเขาเป็นประธานสภาสภาแห่งรัฐสุลต่านซูลู เขาสามารถรวบรวมเชื้อสายเจ้าแห่งรัฐสุลต่านซูลู
จากสายตระกูลทั้ง กีรามบางส่วน และอารานัน โดยตกลงว่า
พวกเขาจะไม่เรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือรัฐซาบะห์
ซึ่งการเรียกร้องดังกล่าวล้วนเป็นประโยชน์แก่ประเทศฟิลิปปินส์
นอกจากบรรดาผู้ที่มีสิทธิชอบธรรมในการเป็นผู้สืบเชื้อสายสุลต่านแห่งซูลูแล้ว
ก็ยังมีผู้ที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นสุลต่านแห่งซูลูอีกหลายต่อหลายคน ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีความชอบธรรมแต่อย่างใด
ซึ่งรายชื่อบุคคลดังกล่าว เช่น
1) สุลต่าน โรดีนูด กีราม หรือ Sultan Rodinood Kiram
เขาเป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์การต่อสู้ของบิดาของเขา
ที่ใช้ชื่อว่า สุลต่านยุลัสปี กีราม โดยบิดาของเขาอ้างว่าเป็นบุตรคนเดียวของสุลต่านยามาลุล กีราม
ที่ 2 ซึ่งจากแหล่งข้อมูลกล่าวว่า บิดาของเขาที่ชื่อว่า
ยุลัสปีนั้น เป็นบุตรของนายฮายีรุล หรือ Hadjirul ซึ่งเป็นองครักษ์สุลต่านยามาลุล กีราม ที่ 2 โดยนายฮายีรุลตกหลุมรักภรรยาน้อยของสุลต่าน สุลต่านไม่ทำโทษ
แต่เนรเทศทั้งสองไปยังที่อื่น ต่อมาทั้งนายฮายีรุลอดีตองครักษ์และอดีตภรรยาสุลต่าน
มีบุตรด้วยกันชื่อนายยุลัสปี ซึ่งต่อมานายยุลัสปีมีบุตรชื่อว่า โรดีนุด
และสุลต่านยามาลุล กีราม
ที่ 3 หรือ dan Sultan Jamalul Kiram III
ทั้งสองเป็นบุตรของสุลต่านปุนยุงัน กีราม ซึ่งสุลต่านปุนยุงัน กีราม เป็นบุตรของสุลต่านมาวัลลี วาซิต หลังจากสุลต่านปุนยุงัน กีรามสิ้นชีวิตในปี 1983 บุตรชายคนโตจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสุลต่านโดยใช้ชื่อว่า
สุลต่านยามาลุล กีราม ที่ 3 แต่เขาตั้งถิ่นฐานในกรุงมะนิลา ไม่ยอมกลับมาอาศัยในหมู่เกาะซูลู
ไม่เป็นไปตามจารีตประเพณีของชาวซูลู ดังนั้นในปี 2001 น้องชายของเขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นสุลต่านโดยใช้ชื่อว่า
สุลต่านเอสมาแอล ที่ 2
เขาถือเป็นหนึ่งในหุ่นเชิดของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการเรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือรัฐซาบะห์ เขาเป็นน้องชายของสุลต่านมูฮัมหมัด มหากุตตาห์
กีราม โดยสุลต่านมูฮัมหมัด ฟูอัด อับดุลลอฮ กีราม
ได้ประกาศตนเองเป็นสุลต่านในปี 2006
4)สุลต่านชารีฟ อิบราฮิม อยีบุล ปูลาลุน หรือ Sultan Syarif Ibrahim Ajibul Pulalun
เขาถือเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีเชื้อสายเจ้า
แต่ต้องการเป็นสุลต่าน โดยเขาจัดพิธีตั้งตัวเป็นสุลต่านเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2005 ที่โรงแรม Grand Astoria เมือง Zamboanga
เขามีชื่อจริงว่า
ดาตูลายามูรา บินดาตู วาซิก หรือ Datu Ladjamura bin Datu Wasik แรกเริ่มเขาถูกส่งตัวไปยังหมู่เกาะซูลู
เพื่อประชาสัมพันธ์ความชอบธรรมในการฟื้นฟูระบบสุลต่าน ต่อมาเขาได้ทำงานร่วมกับกลุ่มชาวซูลูที่เรียกว่า United Tausug Citizen (UTC) ต่อมาเขาได้ถูกกลุ่ม United Tausug Citizen (UTC) ประกาศแต่งตั้งให้เป็นสุลต่าน โดยใช้ชื่อว่า
สุลต่านบันตีลัน มูอิซซูดดิน ที่ 2 และกลุ่ม United Tausug Citizen
(UTC) นี้เองเป็นกลุ่มที่เผยแพร่การออกใบสุจิบัตรของรัฐสุลต่านซูลูในรัฐซาบะห์ มาเลเซีย
6) สุลต่านอัยดัล อาลีอุดดิน หรือ Sultan Aidal Aliuddin
เขาเป็นบุตรบุญธรรมของดาตู
อาลีอุดดิน ฮัดดิส ปาบีลา โดยในทศวรรษที่ 1970 บ้านของเขาถูกไฟไหม้ ทางดาตู อาลีอุดดิน ฮัดดิส ปาบีลาจึงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม คนที่รู้จักเบื้องหลังของเขากล่าวว่า
จริงๆเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา มีบิดาชื่อวาฮิดดุน หรือ Wahiddun และมีมารดาชื่อ มิลลิง หรือ Milling มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในเมืองตาวี-ตาวี ของจังหวัดโฮโล ภาคใต้ฟิลิปปินส์ กิจกรรมหนึ่งของเขาคือ
การขายบัตรประชาชนรัฐสุลต่านซูลู บัตรประชาชนที่ไม่มีประเทศไหนให้การยอมรับ
เขาเพียงมีศักดิ์เป็นหลานของบรรดาผู้สืบเชื้อสายจากครอบครัวชากีราอุลลอฮ นั้นคือจากเชื้อสายสุลต่านอากีมุดดิน อาบีรีน หรือ Sultan Agimuddin Abirin เป็นผู้ที่ไม่ค่อยจะมีบทบาทใดๆ
เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
เขาได้รับการลงข่าวจากสื่อมวลชนเมื่อประกาศขอบริจาคเงินจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อสร้างราชวังสำหรับรัฐสุลต่านซูลู
9. สุลต่านชารีฟุล ฮาชิม ที่ 2 หรือ Sultan Shariful Hashim II
เขามีชื่อเดิมว่า
ดาตูมูฮัมหมัด อักจาน หรือ Datu Mohd Akjan ได้รับการยกเป็นสุลต่านโดยดาตูอัลบี อาหมัด
ซุลการ์ไนน์ หรือ Datu Albi Ahmad
Julkernain และพรรคพวกที่ได้แยกตัวออกมาจาก United Tausug Citizen (UTC)
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหมู่เกาะซูลู ซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคใต้ของประเทศฟิลิปปินส์
อ้างอิง
www.ibnurusydi.blogspot.com
www.gov.ph
www.quezon.ph