Sabtu, 28 Mac 2015

กษัตริย์มลายูแห่งสิงคโปร์ที่ถูกลืม

โดยนิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
             เมื่อ 23 มีนาคม 2015 เป็นวันที่นายลี กวน ยิว อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้สิ้นชีวิตลง ชื่อของนายลี กวน ยิว ก็ถูกกล่าวในฐานะผู้ที่นำประเทศสิงคโปร์ จากประเทศเกาะที่แทบจะไม่มีอะไร จนกลายมาเป็นเสือทางเศรษฐกิจของเอเชีย และเมื่อมีการกล่าวถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว นอกจากนายลี กวน ยิว แล้ว ก็จะมีการกล่าวถึงบุคคลอีกผู้หนึ่งที่ทางรัฐบาลถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ นั้นคือ เซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ (Sir Thomas Stamford Raffles) 
           แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่เซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ (อังกฤษ: Sir Thomas Stamford Raffles) จะเข้าไปยังสิงคโปร์ก็มีกษัตริย์มลายูปกครองสิงคโปร์อยู่แล้ว รวมทั้งกรณีการ “อุปโลก” เต็งกูฮุสเซ็นให้เป็นสุลต่านฮุสเซ็น สุลต่านแห่งสิงคโปร์ ก็มีความเกี่ยวข้องกับระบบกษัตริย์มลายู แต่ถ้าดูในหนังสือตำราต่างๆสิงคโปร์ จะเห็นถึงการพยายามจะลบประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ออกจากประวัติศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์ จนคนรุ่นปัจจุบันแทบจะไม่ทราบถึงการเคยมีอยู่ของกษัตริย์มลายูแห่งสิงคโปร์

                ผู้เขียนมีหนังสืออยู่ 2 เล่มที่เขียนถึงเรื่องราวการมีอยู่ของกษัตริย์มลายูแห่งสิงคโปร์ เล่มแรกคือ Kerajaan Melayu Lama Singapura (รัฐมลายูเก่าแห่งสิงคโปร์) เขียนโดยนายอาลี อาซีซ พิมพ์เมื่อปี 1965 โดยสำนักพิมพ์อันตารา กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ส่วนเล่มที่ 2 คือ Sejarah Singapura (ประวัติศาสตร์สิงคโปร์) เขียนโดยนายฮัจญีบูยง  อาดิล พิมพ์เมื่อปี 1972 โดยสำนักเดวันบาฮาซาฯ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  หนังสือข้างต้นได้อ้างบทความของ Dr. W. Linehan เรื่อง The King of 14th Century Singapore ซึ่งเขียนลงในวารสาร JMBRAS ในปี 1947 ความว่า ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 สิงคโปร์เคยถูกปกครองโดยกษัตริย์มลายูที่มีรากเหง้ามาจากเมืองปาเล็มบังถึง 5 องค์ด้วยกัน กษัตริย์มลายูดังกล่าวองค์แรก คือ Sri Tri Buana หรือ Sang Nila Utama ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1299-1347  องค์ที่สอง คือ Raja Kecil Besar หรือ Paduka Seri Pikrama Wira ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1347-1362  องค์ที่สาม คือ Raja Muda หรือ Seri Rana Wira Kerma ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1362-1375 ส่วนองค์ที่สี่ คือ Dasia Raja หรือ Paduka Seri Maharaja ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1375-1388 และองค์ที่ห้า คือ Raja Iskandar Shah หรือ Sri Parameswara ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1388- 1391
อดีตหมู่บ้านชาวมลายูในสิงคโปร์
อดีตหมู่บ้านชาวมลายูในสิงคโปร์
                หลังจากการล่มสลายของรัฐมลายูสิงคโปร์ที่มีกษัตริย์ปกครองอยู่ 5 องค์ เกาะสิงคโปร์ก็สิ้นบทบาท และอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐโยโฮร์ โดยรัฐโยโฮร์ในขณะนั้นมีดินแดนค่อนข้างกว้างมาก ประกอบด้วยโดยโฮร์-ปาหัง-สิงคโปร์ และหมู่เกาะเรียว ลิงฆา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินโดเนเซีย  ในขณะที่สุลต่านมาห์มุด เรียยาต ชาห์ ที่ 3 ผู้เป็นสุลต่านรัฐโยโฮร์ ระหว่างปี ค.ศ. 1761-1812 ได้สิ้นชีวิตลงที่เกาะลิงฆา (Pulau Lingga) ขณะนั้นเกาะลิงฆา เป็นศูนย์อำนาจของรัฐโยโฮร์ บางข้อมูลกล่าวว่าด้วยราชายะฟาร์ผู้มีอำนาจเป็นอันดับสองรองจากสุลต่านไม่ชอบเต็งกูฮุสเซ็น บุตรคนโตของสุลต่านมาห์มุด เรียยาต ชาห์ ที่ 3 ในการเป็นสุลต่านคนต่อไป แต่บางข้อมูลบอกว่าตามราชธรรมเนียมมลายู จะต้องมีการประกาศสุลต่านองค์ใหม่ก่อนพิธีฝังศพสุลต่านองค์เก่าที่สิ้นชีวิต แต่ขณะนั้นเต็งกูฮุสเซ็น อยู่ในปาหังไม่ทันกลับมาเข้าพิธีได้ ดังนั้นจึงมีการยกน้องชายคนละแม่ที่ชื่อว่าราชาอับดุลราห์มานขึ้นเป็นสุลต่านแห่งรัฐโยโฮร์ 
หมู่บ้านชาวประมงมลายูในสิงคโปร์
              เต็งกูฮุสเซ็นผิดหวังจึงไปอยู่ที่เกาะปือญืองัต (Pulau Penyengat) อังกฤษรู้ถึงความขัดแย้งดังกล่าว หลังจากนั้นอังกฤษ โดยเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ สั่งให้พันโท วิลเลี่ยม ฟาร์กูฮา เชิญเต็งกูฮุสเซ็นมายังสิงคโปร์ และในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1819 อังกฤษก็ทำพิธีแต่งตั้งเต็งกูฮุสเซ็นเป็นกษัตริย์หรือสุลต่านแห่งสิงคโปร์ เมื่อทำพิธีเสร็จอังกฤษก็ทำสัญญากับสุลต่านฮุสเซ็นโดยอังกฤษสามารถตั้งโกดังสินค้า และเป็นผู้ดูแลท่าเรือสิงคโปร์ และนับจากนั้นเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ ก็ทำการสร้างเมืองสิงคโปร์ขึ้นมาใหม่  ต่อมาเมื่อ 26 มิถุนายน 1819 เซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ และพันโทวิลเลี่ยม ฟาร์กูฮา ผู้ทำหน้าที่เป็น Resident ของสิงคโปร์ ได้ทำสัญญาอีกครั้งกับฝ่ายสุลต่านฮุสเซ็น โดยอังกฤษจะดูแลพื้นที่ทั้งหมดของสิงคโปร์ ยกเว้นหมู่กือลัม (Kampung Gelam)ของสุลต่านฮุสเซ็น และหมู่บ้านเตอเมิงกง (Kampung Temenggung) ของเตอเมิงกงอับดุลราห์มาน ผู้มีอำนาจอันดับสองรองจากสุลต่านฮุสเซ็น ในปี 1823  เซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ ได้เปลี่ยน Resident หรือผู้ปกครองสิงคโปร์ จากพันโทวิลเลี่ยม ฟาร์กูฮา มาเป็น จอห์น ครอเฟิร์ด 

            และใน 7 มิถุนายน 1823 ฝ่ายเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ได้ทำสัญญาใหม่กับสุลต่านฮุสเซ็นเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายอังกฤษมากขึ้นอีก ต่อมาเมื่อ 2 สิงหาคม 1824 ฝ่ายอังกฤษ โดยจอห์น ครอเฟิร์ด เป็นตัวแทน ได้ทำสัญญากับฝ่ายสุลต่านฮุสเซ็น โดยฝ่ายสุลต่านฮุสเซ็นยอมมอบอำนาจทั้งหมดในเกาะสิงคโปร์และเกาะใกล้เคียงให้ฝ่ายอังกฤษเป็นผู้ปกครอง สุลต่านฮุสเซ็นอยู่ในสิงคโปร์แบบไร้อำนาจ ต่อมาในปี 1834 จึงอพยพไปตั้งถิ่นฐานในรัฐมะละกา มาเลเซีย จนเสียชีวิตที่นั่น ทิ้งลูกหลานส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในสิงคโปร์ 
สุสานสุลต่านฮุสเซ็นในรัฐมะละกา
         สิ่งที่เหลือให้เห็นผลงงานของสุลต่านฮุสเซ็นในปัจจุบัน คือ มัสยิดสุลต่านที่สร้างจากเงินที่ได้รับจากอังกฤษ และวังของตนเองที่สร้างขึ้น โดยปัจจุบันได้กลายมาเป็นศูนย์มรดกมลายู หรือ Malay Heritage Center
วังสุลต่านก่อนการซ่อมแซมปรับปรุง
ภายหลังการซ่อมแซม
สภาพภายในวังสุลต่าน

บริเวณศูนย์มรดกมลายู
มัสยิดสุลต่าน
มัสยิดสุลต่าน
มัสยิดสุลต่าน
ผู้เขียนเคยพานักศึกษาวิชาเอกมลายู ม.อ. ปัตตานี ไปเยี่ยมศูนย์มรดกมลายู หรือ Malay Heritage Center เมื่อหลายปีก่อน เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับมลายู เคยถ่ายรูปสัญญาที่เป็นภาษามลายูอักขระยาวีที่อังกฤษทำกับฝ่ายสุลต่านฮุสเซ็น แต่เมื่อปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าสัญญาดังกล่าวไม่มีอีกแล้ว ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า เหมือนกับว่ารัฐบาลสิงคโปร์พยายามจะลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบสุลต่านมลายูในสิงคโปร์ เหมือนกับว่าระบบสุลต่านมลายูไม่เคยเกิดขึ้นในสิงคโปร์


Tiada ulasan: