Khamis, 23 Oktober 2025

ปฎิกริริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดและสังคใมลายูจังหวัดสตูล ต่อกรณีการมอบจังหวัดสตูลต่อสยามตามสนธิสัญญา 1909

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซน

สำหรับจังหวัดสตูล นับว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะจังหวัดสตูลแม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกมลายู เฉกเช่นเดียวกันกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส แต่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่ง มักมีความรู้สึกว่าคนมลายูจังหวัดสตูลเป็นอื่น ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีความปูกพันกับจังหวัดสตูล เพราะผู้เขียนเคยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประชาชนชาวมลายูจังหวัดสตูล กับประชาชนชาวมลายูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีผลกระทบจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐไทย หรือที่เรียกว่า นโยบาย Siamisation

สุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์

และในครั้งนี้ผู้เขียนได้นำบทความวิจัยในเรื่องปฎิกิริริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดและสังคใมลายูจังหวัดสตูล ต่อกรณีการโอนจังหวัดสตูลต่อสยามตามสนธิสัญญา 1909 บทความชิ้นนี้ชื่อว่า Reaksi Sultan Abdul Hamid Dan Masyarakat Satun Terhadap Penyerahan Wilayah Satun Kepada Siam 1909  เขียนโดยบุคคล 2 คน คือ คุณอินตัน ชาฟีนาส บินนตีชาฟีอี (Intan Syafinas Binti Shafie) จากมหาวิทยาลัยมาเลเซียเปอร์ลิส เมืองอาราว รัฐเปอร์ลิส และคุณ อัยชะห์ บินตีกามารุดดิน (Aisyah Binti Kamaruddin) แห่งมหาวิทยาลัยอุตารามาเลเซีย รัฐเคดะห์ มาเลเซีย สำหรับบทความนี้เขียนลงตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อ นิตยสารประวัติศาสตร์ (Sejarah) ของภาควิขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาลายา มาเลเซีย นิตยสารประวัติศาสตร์ เล่มที่ 34 ฉบับที่ 1 (เดือนมิถุนายน) 2025:47-59


บทความชิ้นนี้ เป็นบทความที่สมควรที่คนวิจัยต่อไป จะได้ต่อยอด และสัมผัสความเป็นจริงที่ชาวบ้านชาวมลายูในจังหวัดสตูลจะมีความรู้สึกที่แท้จริง บทความชิ้นนี้ได้แสดงคิดเห็นดังต่อไปนี้

กูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh)

สำหรับจังหวัดสตูล หรือเมืองสตูลในอดีต จะมีชื่อเป็นทางการว่า นัครีสโตยมำบังสากรา หรือ  نڬري ستول ممبڠ سڬارا หรือ Negeri Setul Mambang Segara  สำหรับชาวจังหวัดสตูล หรือคนในประเทศไทยจะออกเสียงว่า สตูน โดยชาวมลายูจะเรียกว่า สตูล หรือ ในภาษาท้องถิ่น หรือสำเนียงรัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส และชาวมลายูจังหวัดสตูล จะเรียก หรือ ออกเสียงว่า สโตย  จังหวัดสตูลเคยเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของรัฐเคดะห์ เป็นจังหวัดที่ถูกโอนให้แก่สยามตามข้อตกลงสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909  การวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับสายตระกูลและการบริหารของพื้นที่ ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับบทบาททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในบริบททางประวัติศาสตร์ของรัฐเคดะห์


นายอับดุลเลาะห์ ลังปะเต๊ะ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์จังหวัดสตูลของประเทศไทยว่า จังหวัดสตูลมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐเคดะห์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1136 ก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยามในที่สุด การศึกษาของเขาเน้นย้ำถึงในแง่มุมทางการเมืองและสังคมของจังหวัดสตูล รวมถึงบทบาทของตนกูบาฮารุดดิน บินกูแมะ หรือพระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) เจ้าเมืองสตูลคนสุดท้าย เป้นเจ้าเมืองที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาจังหวัดให้มีการพัฒนาและทันสมัย ​​แต่ในที่สุดเขาก็เอนเอียงไปทางสยาม ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะของจังหวัดสตูล นายวันซัมซุดดิน วันยูซุฟ ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานะทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสตูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1808 ถึง ค.ศ. 1909 โดยมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงการบริหารและความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐเคดะห์และสยาม ในงานเขียนของเขา เขาได้บรรยายถึงการที่กูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh) ได้นำระบบการบริหารสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจและระบบการเช่าซื้อ อย่างไรก็ตาม การกระทำของกูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh)ที่หันหลังให้กับสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ สุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ นำไปสู่ความขัดแย้งภายในและมีผลกระทบสำคัญต่อจุดยืนทางการเมืองของจังหวัดสตูล

มัสยิดมำบัง  จังหวัดสตูล

การส่งมอบจังหวัดสตูลให้แก่สยามตามข้อตกลงสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นการลงนามโดยอังกฤษและสยาม เป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศสยามกับบริติชมาลายา (มาเลเซีย)  ซึ่งได้ส่งผลกระทบสำคัญต่อการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของรัฐเคดะห์และจังหวัดสตูล จังหวัดสตูลซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเคดะห์  ได้ถูกโอนเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ซึ่งสนธิสัญญานี้ เป็นการกระทำโดยชาติมหาอำนาจ เช่น อังกฤษและสยาม การเจรจาส่งมอบจังหวัดสตูล ได้ดำเนินไปโดยปราศจากการมีส่วนร่วมโดยตรงของสุลต่านอับดุลฮามิด ฮาลิม ชาห์ (ค.ศ. 1841-1943) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลของอำนาจในความสัมพันธ์ทางการทูต ดังนั้น การศึกษาเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปฏิกิริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ต่อการส่งมอบโอนจังหวัดสตูล และประชาชนมลายูที่อยู่ในเขตจังหวัดสตูล ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐสยาม ที่มีต่อประชาชนดังกล่าว  เช่น การใช้ภาษาไทย และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง การศึกษาครั้งนี้ใช้แนวทางเชิงคุณภาพอย่างเต็มรูปแบบผ่านการวิเคราะห์เอกสารทางประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกของสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ รายงานทางการทูตของอังกฤษและสยาม และจดหมายโต้ตอบอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างเรื่องเล่าที่ครอบคลุมมากขึ้น


ปฏิกิริยาของชาวสตูล

หลังการส่งมอบดินแดนให้สยาม ภูมิภาคสตูลยังคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตามรูปแบบการปกครองของสยาม ไม่มีการตึงเครียดในหมู่ชาวมลายูจังหวัดสตูล เพราะบทบาทของรัฐบาลในขณะนั้นมีอิทธิพลต่อแนวคิดของชาวสตูลในขณะนั้น บทบาทของกูดินบินกูเมะ ซึ่งได้พัฒนาความก้าวหน้าของจังหวัดสตูลอย่างจริงจัง ทำให้ชาวจังหวัดสตูลยอมรับการส่งมอบครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น กูดินบินกูเมะ แสดงความห่วงใยต่อบทบาทของศาสนาอิสลามอย่างมาก โดยการสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ในเขตสตูล ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายสยามยังคงปกป้องศาสนาของชาวสตูล แม้ว่าในขณะนั้นสตูลจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐเคดะฮ์แล้วก็ตาม


ความตึงเครียดที่มิได้เกิดขึ้นในหมู่ชาวมลายูจังหวัดสตูลในขณะนั้น เกิดจากการที่ชาวสยามอนุญาตให้ชาวสตูลเดินทางไปกลับระหว่างสตูลและรัฐเคดะห์โดยไม่มีข้อจำกัด ความสัมพันธ์ระหว่างชาวสตูล รัฐเคดะห์ และรัฐเปอร์ลิส จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยชาวสยาม ตั้งแต่เริ่มการรวมตัวของจังหวัดสตูลกับจังหวัดอื่นๆ ของสยาม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทใดๆ ชาวสยามตระหนักดีว่า หากใช้กำลังหรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดสตูลและรัฐเคดะห์หรือรัฐเปอร์ลิสอย่างรุนแรง ประชาชนในพื้นที่จะคัดค้านรัฐเคดะห์ นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นการปกครองของสยามในจังหัดนี้ ชาวสยามยังได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ในการแสดงออกถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อลดความตึงเครียดกับชาวสยาม


ผลการศึกษาพบว่าสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์คัดค้านสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 อย่างรุนแรง แต่แรงกดดันทางการทูตและปัญหาทางการเงินบีบบังคับให้สุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ต้องยอมรับข้อตกลง ประชาชนชาวมลายูสตูลยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม  ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐสยาม แม้จะมีความพยายามต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็ตาม การศึกษานี้เสนอแนะให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารจดหมายเหตุและแหล่งข้อมูลปากเปล่า เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาของท้องถิ่นต่อข้อตกลง นอกจากนี้ ความพยายามทางการทูตสมัยใหม่ระหว่างมาเลเซียและไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเคารพมรดกทางวัฒนธรรมอิสลามของชาวมลายูในจังหวัดสตูล เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศ


ในท้ายนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ไม่เพียงจังหวัดสตูล สมควรที่จะต้องสร้งความแน่นแฟ้นทางความสัมพันธ์ในทุกๆด้านกับทางรัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส หรือแม้แต่รัฐปีนัง แต่จังหวัดสตูล สมควรที่จะสร้างความสัมพันธ์นั้นแน่นแฟ้นในทุกๆด้านกับทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

Tiada ulasan: