Khamis, 23 Oktober 2025

ปฎิกริริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดและสังคใมลายูจังหวัดสตูล ต่อกรณีการมอบจังหวัดสตูลต่อสยามตามสนธิสัญญา 1909

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซน

สำหรับจังหวัดสตูล นับว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะจังหวัดสตูลแม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกมลายู เฉกเช่นเดียวกันกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส แต่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่ง มักมีความรู้สึกว่าคนมลายูจังหวัดสตูลเป็นอื่น ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีความปูกพันกับจังหวัดสตูล เพราะผู้เขียนเคยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประชาชนชาวมลายูจังหวัดสตูล กับประชาชนชาวมลายูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีผลกระทบจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐไทย หรือที่เรียกว่า นโยบาย Siamisation

สุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์

และในครั้งนี้ผู้เขียนได้นำบทความวิจัยในเรื่องปฎิกิริริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดและสังคใมลายูจังหวัดสตูล ต่อกรณีการโอนจังหวัดสตูลต่อสยามตามสนธิสัญญา 1909 บทความชิ้นนี้ชื่อว่า Reaksi Sultan Abdul Hamid Dan Masyarakat Satun Terhadap Penyerahan Wilayah Satun Kepada Siam 1909  เขียนโดยบุคคล 2 คน คือ คุณอินตัน ชาฟีนาส บินนตีชาฟีอี (Intan Syafinas Binti Shafie) จากมหาวิทยาลัยมาเลเซียเปอร์ลิส เมืองอาราว รัฐเปอร์ลิส และคุณ อัยชะห์ บินตีกามารุดดิน (Aisyah Binti Kamaruddin) แห่งมหาวิทยาลัยอุตารามาเลเซีย รัฐเคดะห์ มาเลเซีย สำหรับบทความนี้เขียนลงตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อ นิตยสารประวัติศาสตร์ (Sejarah) ของภาควิขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาลายา มาเลเซีย นิตยสารประวัติศาสตร์ เล่มที่ 34 ฉบับที่ 1 (เดือนมิถุนายน) 2025:47-59


บทความชิ้นนี้ เป็นบทความที่สมควรที่คนวิจัยต่อไป จะได้ต่อยอด และสัมผัสความเป็นจริงที่ชาวบ้านชาวมลายูในจังหวัดสตูลจะมีความรู้สึกที่แท้จริง บทความชิ้นนี้ได้แสดงคิดเห็นดังต่อไปนี้

กูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh)

สำหรับจังหวัดสตูล หรือเมืองสตูลในอดีต จะมีชื่อเป็นทางการว่า นัครีสโตยมำบังสากรา หรือ  نڬري ستول ممبڠ سڬارا หรือ Negeri Setul Mambang Segara  สำหรับชาวจังหวัดสตูล หรือคนในประเทศไทยจะออกเสียงว่า สตูน โดยชาวมลายูจะเรียกว่า สตูล หรือ ในภาษาท้องถิ่น หรือสำเนียงรัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส และชาวมลายูจังหวัดสตูล จะเรียก หรือ ออกเสียงว่า สโตย  จังหวัดสตูลเคยเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของรัฐเคดะห์ เป็นจังหวัดที่ถูกโอนให้แก่สยามตามข้อตกลงสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909  การวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับสายตระกูลและการบริหารของพื้นที่ ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับบทบาททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในบริบททางประวัติศาสตร์ของรัฐเคดะห์


นายอับดุลเลาะห์ ลังปะเต๊ะ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์จังหวัดสตูลของประเทศไทยว่า จังหวัดสตูลมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐเคดะห์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1136 ก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยามในที่สุด การศึกษาของเขาเน้นย้ำถึงในแง่มุมทางการเมืองและสังคมของจังหวัดสตูล รวมถึงบทบาทของตนกูบาฮารุดดิน บินกูแมะ หรือพระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) เจ้าเมืองสตูลคนสุดท้าย เป้นเจ้าเมืองที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาจังหวัดให้มีการพัฒนาและทันสมัย ​​แต่ในที่สุดเขาก็เอนเอียงไปทางสยาม ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะของจังหวัดสตูล นายวันซัมซุดดิน วันยูซุฟ ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานะทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสตูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1808 ถึง ค.ศ. 1909 โดยมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงการบริหารและความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐเคดะห์และสยาม ในงานเขียนของเขา เขาได้บรรยายถึงการที่กูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh) ได้นำระบบการบริหารสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจและระบบการเช่าซื้อ อย่างไรก็ตาม การกระทำของกูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh)ที่หันหลังให้กับสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ สุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ นำไปสู่ความขัดแย้งภายในและมีผลกระทบสำคัญต่อจุดยืนทางการเมืองของจังหวัดสตูล

มัสยิดมำบัง  จังหวัดสตูล

การส่งมอบจังหวัดสตูลให้แก่สยามตามข้อตกลงสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นการลงนามโดยอังกฤษและสยาม เป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศสยามกับบริติชมาลายา (มาเลเซีย)  ซึ่งได้ส่งผลกระทบสำคัญต่อการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของรัฐเคดะห์และจังหวัดสตูล จังหวัดสตูลซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเคดะห์  ได้ถูกโอนเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ซึ่งสนธิสัญญานี้ เป็นการกระทำโดยชาติมหาอำนาจ เช่น อังกฤษและสยาม การเจรจาส่งมอบจังหวัดสตูล ได้ดำเนินไปโดยปราศจากการมีส่วนร่วมโดยตรงของสุลต่านอับดุลฮามิด ฮาลิม ชาห์ (ค.ศ. 1841-1943) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลของอำนาจในความสัมพันธ์ทางการทูต ดังนั้น การศึกษาเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปฏิกิริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ต่อการส่งมอบโอนจังหวัดสตูล และประชาชนมลายูที่อยู่ในเขตจังหวัดสตูล ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐสยาม ที่มีต่อประชาชนดังกล่าว  เช่น การใช้ภาษาไทย และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง การศึกษาครั้งนี้ใช้แนวทางเชิงคุณภาพอย่างเต็มรูปแบบผ่านการวิเคราะห์เอกสารทางประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกของสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ รายงานทางการทูตของอังกฤษและสยาม และจดหมายโต้ตอบอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างเรื่องเล่าที่ครอบคลุมมากขึ้น


ปฏิกิริยาของชาวสตูล

หลังการส่งมอบดินแดนให้สยาม ภูมิภาคสตูลยังคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตามรูปแบบการปกครองของสยาม ไม่มีการตึงเครียดในหมู่ชาวมลายูจังหวัดสตูล เพราะบทบาทของรัฐบาลในขณะนั้นมีอิทธิพลต่อแนวคิดของชาวสตูลในขณะนั้น บทบาทของกูดินบินกูเมะ ซึ่งได้พัฒนาความก้าวหน้าของจังหวัดสตูลอย่างจริงจัง ทำให้ชาวจังหวัดสตูลยอมรับการส่งมอบครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น กูดินบินกูเมะ แสดงความห่วงใยต่อบทบาทของศาสนาอิสลามอย่างมาก โดยการสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ในเขตสตูล ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายสยามยังคงปกป้องศาสนาของชาวสตูล แม้ว่าในขณะนั้นสตูลจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐเคดะฮ์แล้วก็ตาม


ความตึงเครียดที่มิได้เกิดขึ้นในหมู่ชาวมลายูจังหวัดสตูลในขณะนั้น เกิดจากการที่ชาวสยามอนุญาตให้ชาวสตูลเดินทางไปกลับระหว่างสตูลและรัฐเคดะห์โดยไม่มีข้อจำกัด ความสัมพันธ์ระหว่างชาวสตูล รัฐเคดะห์ และรัฐเปอร์ลิส จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยชาวสยาม ตั้งแต่เริ่มการรวมตัวของจังหวัดสตูลกับจังหวัดอื่นๆ ของสยาม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทใดๆ ชาวสยามตระหนักดีว่า หากใช้กำลังหรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดสตูลและรัฐเคดะห์หรือรัฐเปอร์ลิสอย่างรุนแรง ประชาชนในพื้นที่จะคัดค้านรัฐเคดะห์ นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นการปกครองของสยามในจังหัดนี้ ชาวสยามยังได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ในการแสดงออกถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อลดความตึงเครียดกับชาวสยาม


ผลการศึกษาพบว่าสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์คัดค้านสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 อย่างรุนแรง แต่แรงกดดันทางการทูตและปัญหาทางการเงินบีบบังคับให้สุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ต้องยอมรับข้อตกลง ประชาชนชาวมลายูสตูลยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม  ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐสยาม แม้จะมีความพยายามต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็ตาม การศึกษานี้เสนอแนะให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารจดหมายเหตุและแหล่งข้อมูลปากเปล่า เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาของท้องถิ่นต่อข้อตกลง นอกจากนี้ ความพยายามทางการทูตสมัยใหม่ระหว่างมาเลเซียและไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเคารพมรดกทางวัฒนธรรมอิสลามของชาวมลายูในจังหวัดสตูล เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศ


ในท้ายนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ไม่เพียงจังหวัดสตูล สมควรที่จะต้องสร้งความแน่นแฟ้นทางความสัมพันธ์ในทุกๆด้านกับทางรัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส หรือแม้แต่รัฐปีนัง แต่จังหวัดสตูล สมควรที่จะสร้างความสัมพันธ์นั้นแน่นแฟ้นในทุกๆด้านกับทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

Sabtu, 18 Oktober 2025

ชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานี

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน


            ลูกหลานเชื้อสายวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวีในประเทศชาวซาอุดีอาราเบีย

ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาวสามสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำอุมเราะห์กัน ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเมื่อราวสี่สิบปีที่แล้ว เมื่อผู้เขียนได้เดินทางไปประเทศซาอุดีอาราเบีย ที่นั่นผู้เขียนได้ทำแผ่นสาแหรกตระกูล หรือที่เรียกว่า Salasilah มอบให้เครือญาติที่อยู่ที่นั่น ญาติที่เป็นรุ่นที่สอง รุ่นที่สามของกลุ่มชาวมลายูปาตานีที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศซาอุดีอาร้ฃาเบีย ญาติวัยผู้ใหญ่ที่พบปะเวลานั้น บางคนยังมีชีวิตอยู่ แต่บางคนคงตายจากไป ส่วนเด็กๆ แต่ละคนคงเติบโต มีวิถีชีวิตตามสังคมของประเทศซาอุดีอาราเบียที่ตนเองเกิด เมื่อประมวลความรู้ที่รับมา ทำให้เห็นว่า คนที่เป็นคนเชื้อสายปาตานี ค่อนข้างที่จะล้าหลังกว่า คนที่มีเชื้อสายมาเลเซีย หรืออินโดเนเซีย ผู้เขียนได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้หนึ่ง เขากล่าวว่า น่าจะด้วย ชาวมาเลเซีย หรืออินโดเนเซีย มีการศึกษาที่สูงกว่า เมื่อพบปะแลกเปลี่ยน หรือร่วมทุนทางธุรกิจกับคนซาอุดีอาราเบียที่มีเชื้อสายมาเลเซีย หรืออินโดเนเซีย ธุรกิจจึงก้าวหน้ากว่า กล่าวว่ามีชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานีคนหนึ่ง ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการของซาอุดีอาราเบีย แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งใดๆ เกิดขึ้นกับชุมชนบรรพบุรุษของอดีตรัฐมนตรีท่านนี้ เมื่อมองถึงชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายอินโดเนเซียท่านหนึ่ง นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์) สิ่งที่เขาทำกับประเทศบรรพบุรุษช่างใหญ่โต  

                                  นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์)ชื่อของนายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์) เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวอินโดเนเซีย เมื่อเขาเป็นหนึ่งกลุ่มคนที่ร่วมเดินทางกับกษัตริย์ซัลมาน อับดุลอาซีซ อัล-ซาอุด ไปเยี่ยมอินโดเนเซีย เมื่อปี 2017


นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์) มีชื่อเต็มว่า นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  เขามีความเป็นชาวซาอุดีอาราเบีย แต่เมื่อสังเกตรูปร่างของเขา มีความเป็นชาวมลายู มีการถามเขาว่า ทำไมเขายังสามารถพูดภาษามลายู(สำเนียงอินโดเนเซีย)ได้ ไม่ต่างจากชาวอินโดเนเซีย เขาตอบว่า ด้วยคุณแม่ของเขาบังคับให้เขาพูดภาษาภาษามลายู(สำเนียงอินโดเนเซีย) และภายในบ้านคุณแม่จะบังคับให้เขาภาษามลายู(สำเนียงอินโดเนเซีย) การที่เขาสามารถพูดภาษามลายู ได้คล่องแคล้ว ไม่ต่างกับชาวอินโดเนเซียทั่วๆไป จะเป็นประโยชน์ให้แก่เขาในอนาคต  เขาเป็นเหลนของนักการศาสนาคนหนึ่งชื่อว่า นายกียัย ฮัจญีซัยนุล อารีฟิน โปฮัน ผู้เป็นนักการเมือง นักการศาสนาสังกัดนะห์ฎาตุลอุลามะ ในขณะเดียวกันก็เป็นวีรบุรุษแห่งชาติของอินโดเนเซีย นายกียัย ฮัจญีซัยนุล อารีฟิน โปฮัน เป็นรองนายกรัฐมนตรีในสมัยอาลี ซัสโตรอามีโจโยเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 1953 1955


สำหรับนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ในการเดินทางไปอินโดเนเซีย และสื่อมวลชนอินโดเนเซียได้สังเกตและสัมภาษณ์เขา ทำให้สามารถกล่าวได้ว่า นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  จะเกิดและเติบโตในประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่เขาก็ไม่เคยลืมรากเหง้าความเป็นอินโดเนเซียของเขา จะเห็นได้จากคำสอนของคุณแม่ ทำให้นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ยังสามารถพูดภาษามลายูได้ ไม่ใช่แค่เพียงเชื้อสายอินโดเนเซียเท่านั้นที่ทำให้นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  เป็นที่รู้จัก อีกหนึ่งสิ่งที่นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ภูมิใจคือผลงานในฐานะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ด้วยวัย 40 ปีกว่า นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่อายุ 18 ปี นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ได้ประสบการณ์จากโลกธุรกิจด้วยการฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อ พ่อของเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจัดเลี้ยงที่ให้บริการแก่ผู้แสวงบุญฮัจญ์

                                     นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์)

ในปี 2006 นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองชื่อ Adil Makki Contracting Company (AMCO) ซึ่งดำเนินธุรกิจในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้าง ต่อมาบริษัทของเขาได้ร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจของอินโดเนเซียเพื่อสร้างสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศซาอุดีอาระเบียในปี 2016


นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ยังไม่พอใจกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จึงได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจอื่นๆ รวมถึงวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ในปี 2014 นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อ Edhafah Investments ปัจจุบันบริษัทได้สร้างศูนย์การค้าที่มีวิลล่า 6 หลัง ครอบคลุมพื้นที่ 1,800 ตารางเมตร ทางตอนใต้ของเมืองเจดดะห์ จิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการของนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ปรากฏชัดในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซีซ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาธุรกิจระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซิส เขายังศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยปรินซ์สุลต่าน (Prince Sultan College) และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  เคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายของหอการค้าซาอุดีอาระเบีย และยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสื่อและภาพยนตร์ของประเทศซาอุดีอาระเบียอีกด้วย ด้วยความสำเร็จและความสำเร็จของเขา นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  จึงได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ Most Inspiring Kingdom Leaders จากนิตยสารฟอร์บส์ในปี 2014


นอกจากความร่วมมือในโครงการที่ได้เซ็นสัญญาแล้ว นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ยังมีความร่วมมืออีกสามโครงการที่ได้เซ็นสัญญาถึงข้อตกลงการลงทุนในหลากหลายภาคส่วน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล สถานพยาบาล และบริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์


บริษัทก่อสร้างของรัฐแห่งหนึ่ง คือ บริษัท วิดยา การ์ยา ได้ตกลงเซ็นสัญญากับบริษัทของนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 8,000 ยูนิตในประเทศซาอุดีอาระเบีย มูลค่าการลงทุนสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


นายโรซาน โรเอสลานี ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดเนเซีย (Kadin) เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างบริษัท วิดยา การ์ยา และกลุ่มบริษัทของนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ในการประชุมทางธุรกิจของหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดนีเซีย (Kadin) และคณะผู้แทนธุรกิจจากประเทศซาอุดีอาระเบีย

 ลูกหลานเชื้อสายวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวีในประเทศชาวซาอุดีอาราเบีย

เมื่อมองนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี จะเห็นว่า ช่างมี Mindset ที่แตกต่างจากชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานี เป็นอย่างมาก แม้ชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานีจะมีจำนวนที่ไม่แตกต่างจากชาวซาอุดีอาราเบีย เชื้อสายมาเลเซีย และอินโดเนเซีย แต่เมื่อกล่าวถึงความสำเร็จจะเห็นว่า ชาวซาอุดีอาราเบีย  ถูกทิ้งห่างจนแทบจะไม่เห็นฝุ่น ผู้เขียนมีญาติที่รู้จักและยังติดต่ออยู่ เป็นชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานี ได้พูดคุยกับเพื่อนนักธุรกิจสิงคโปร์ และเศรษฐีมุสลิมภูเก็ตว่า น่าจะใช้หรือร่วมทุนกับญาติผู้นี้ หรือผ่านญาติผู้นี้ เขาเป็นนายตำรวจ และจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซีซ เมืองเจดดะห์เช่นกัน

Khamis, 16 Oktober 2025

เรียนรูประวัติศาสตร์อิสลามในโลกมลายูโดยผ่านความรูด้านนิรุกติศาสตร์

 โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ความรู้ที่เรียกว่า นิรุกติศาสตร์ หรือที่รู้จักในชื่อว่า Philology ในภาษามลายูไม่มีเลยใช้คำว่า Filologi จะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ สถาบัน และวิถีชีวิตของชนชาติที่ปรากฏในต้นฉบับโบราณนั้น โดยจะต้องเป็นเอกสารที่เขียนด้วยมือ และมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สำหรับนัก Filologi ของประเทศอินโดเนเซีย จะถือว่าแม้เอกสารที่พิมพ์ จะมีอายุมากกว่า 50 ปี ก็ไม่อาจถือว่าเป็นเอกสาร สำหรับนัก Filologi จะทำการวิจัย ศึกษา จุดประสงค์ของวิชานี้คือการทำความเข้าใจเนื้อหาของงานเขียนของผู้เขียนและรูปแบบของงานเขียนที่นำเสนอ นอกจากนี้ วิชานี้ยังเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และประวัติศาสตร์ วิชานี้ คำว่า Philologi หรือ Filologi มาจากภาษากรีกว่า philologia ซึ่งแปลว่า “ความรักในถ้อยคำ” เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายนี้ก็ได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ได้แก่ ความรักในการพูด ความรักในการเรียนรู้ ความรักในความรู้ ความรักในการเขียน ความรักในงานวรรณกรรม และแม้กระทั่งความรักในการเขียนที่มีคุณค่าสูง

ในการศึกษาเกี่ยวกับอิสลามในอาเจะห์

การพัฒนาศาสนาอิสลามในอาเจะห์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่นักวิชาการเท่านั้น แต่ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นก็มักถกเถียงกันถึงประเด็นทางศาสนา ไม่น่าแปลกใจเลยที่การถกเถียงอย่างดุเดือดเกิดขึ้นมากมาย นักวิชาการบางคนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์นี้และพยายามหาทางบรรเทาสถานการณ์ภายในชุมชน


ศาสตราจารย์โอมาน ฟัตฮูราห์มาน ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ได้กล่าวถึงอิสลามในอาเจะห์ว่า เชค คูอัล หรือที่รู้จักกันในชื่อเชค อับดุลราอุฟ อิบน์ อาลี อัล-ยาวี อัล-ฟีนชูรี นักวิชาการชาวอาเจะห์ ได้ระบายความในใจและแสวงหาทางออกจากมิตรไกลในนครมาดีนะฮ์ คือ เชค อิบรอฮีม อัลกุรานี เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านฮาดีษ


เชค อิบรอฮีม อัลกุรานี ได้ตอบกลับด้วยต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือชื่อ ''Al-Jawâbât Al-Gharâwiyyah ‘an Al-Masâil Al-Jâwiyyah Al-Jahriyyah'' เอกสารเล่มนี้ทำให้การถกเถียงอย่างดุเดือดเกี่ยวกับประเด็นทางศาสนาในอาเจะห์ค่อยๆ สงบลง  และต้นฉบับคำตอบของชีคอิบราฮิม อัล-กุรานีนี้เป็นต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดที่ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน เคยพูดถึงเกี่ยวกับพัฒนาการของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายู หรือ Malay Archipelago


ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน กล่าวต่อ ก่อนที่การถกเถียงทางศาสนาในอาเจะห์จะทวีความรุนแรงขึ้นนั้น ศาสนาอิสลามได้ปรากฏให้เห็นในหมู่เกาะมลายูนี้ราวศตวรรษที่ 13 ซึ่งอ้างอิงจากการค้นพบต้นฉบับที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 15 เรื่องราวที่นำเสนอในต้นฉบับเหล่านี้คือกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่อิสลามในราชอาณาจักรปาไซ


ที่รัฐปาไซ มีเชคอาหรับท่านหนึ่งชื่อ อัล อารีฟ ได้เดินทางมายังซามุดรา ปาไซ จากนั้นท่านได้พบปะกับบุคคลชื่อ เมระห์ ซีลู (Merah Silu) และเชิญชวนให้รับอิสลาม หลังจากที่เมระห์ ซีลู เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุลต่านมาลิกู ซาเละห์ ดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน


รากเหง้าของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูนี้

หลังจากศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน อ่านต้นฉบับจำนวนมากเกี่ยวกับศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูนี้ และเพิ่มเติมด้วยหลักฐานร่วมสมัย ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน สรุปว่าจากการล่มสลายของกรุงแบกแดดในศตวรรษที่ 12 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูแห่งนี้  การล่มสลายครั้งนี้ทำให้พวกซูฟีกระจายตัวไปทั่วทวีปต่างๆ รวมถึงหมู่เกาะมลายูด้วย


หลักฐานที่ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน นำเสนอ ทำให้เห็นว่านี้คือต้นฉบับเกี่ยวกับคำสอนอิสลามยุคแรกในหมู่เกาะมลายู ซึ่งมีกลิ่นอายของซูฟีแฝงอยู่  โดยการแพร่หลายของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูเริ่มแรกนั้นเป็นแบบซูฟี หรือมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น ฟิกฮ์ก็มีอยู่เช่นกัน แต่แนวทางที่โดดเด่นที่สุดในเวลานั้นคือแนวทางทางจิตวิญญาณ


อ้างอิง

Filologi https://halimsambas.blogspot.com/

Filologi  wikipedia.org

Pengantar Teori Filologi Siti Baroroh Baried DKK. Pusat Pembinaan dan Pengembangan Bahasa Departemen Pendidikan dan Kebudayaan  Jakarta  1985