Jumaat, 31 Oktober 2025

Oral Tradition Heritage of Pantun: From Sacred to Digital - Alang Rizal

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan

Pada 2025 ada satu seminar yang dinamakan Seminar Internasional Pantun 2025. Seminar ini diadakan di Jakarta dan dianjurkan oleh ATL Assosiasi Tradisi Lisan dan dibiayai oleh BRIN (Badan Riset dan Inovasi Nasional). Dalam seminar ini Pak Afrizal (Alang Rizal) menulis sebuah makalah berkaitan Pantun dan abstraknya dibahasainggeriskan seperti berikut:


Abstract

The oral tradition heritage of Malay pantun not only possesses high aesthetic value but also contains moral and social values related to local wisdom. Initially, pantun were used in sacred activities and later evolved and thrived in the digital era. The harmonious structure of pantun reflects linguistic proficiency, semantic harmony, and the local wisdom of Malay society. Many previous scholars have discussed pantun from various perspectives.


The development of information technology has brought pantun to the public and the digital realm. In the digital era, pantun are widely disseminated through social media platforms such as TikTok, Instagram, YouTube, and Facebook, allowing anyone to create and disseminate pantun. Contemporary pantun shared on social media often go viral. This paper highlights the journey of pantun from sacred spaces to the digital world. The study focuses on the harmony of structure, word choice, and moral, social, and educational values.


Unlike traditional pantun, which maintain strong and valuable patterns and structures, contemporary pantun prioritize virality over aesthetic quality and the function of pantun itself. To ensure the sustainability of pantun, it is essential to strengthen traditional institutions, provide learning materials in formal education, and organize workshops and festivals. Thus, pantun can continue to evolve as a creative Malay cultural heritage with aesthetic and meaningful value in the modern context.


Keywords: pantun, tradition, sacred, digital, wisdom.

Rabu, 29 Oktober 2025

รีดา เค. เลียมซี นักวรรณกรรม นักเขียนชาวหมู่เกาะเรียว อินโดเนเซีย

โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

สำหรับรีดา เค. เลียมซี  ได้เคยพบปะผู้เขียนมาแล้ว หลายต่อหลายครั้ง ทั้งการสัมมนาทางวัฒนธรรมในเมืองปอกันบารู จังหวัดเรียว เช่น งาน KAPLF II Pertemuan Penyair Korea-ASEAN II ที่เมืองเปอกันบารู จัดโดย Yayasan Sagang และงานวรรณกรรมที่เมืองตันหยงปีนัง เมืองเอกของจังหวัดหมู่เกาะเรียว นอกจากนั้น ยังได้พบปะทางออนไลน์ในการจัดสัมมนาทางออนไลน์ หรือที่เรียกว่า webinar ในการนี้ขอเสนอประวัติ และผลงานเขียนของนักเขียนผู้นี้มาให้ทราบ


รีดา เค. เลียมซี  เกิดเมื่อ 17 กรกฎาคม 1943 เป็นนักเขียนและบุคคลสำคัญทางวัฒนธรรมชาวมลายูจากอินโดเนเซีย ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักจากผลงานบทกวีที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ รีดา เค. เลียมซี  เป็นผู้ริเริ่มเทศกาลวันกวีอินโดเนเซีย ซึ่งเริ่มต้นในปี 2014 โดยจัดขึ้นที่โรงละครเล็ก Taman Ismail Marzuki กรุงจาการ์ตา นอกจากจะเป็นนักเขียนแล้ว รีดา เค. เลียมซี  ยังประกอบอาชีพเป็นครูและนักข่าว นอกจากนั้นเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารกลุ่มสื่อ Riau Pos ภายหลังเขากลับมาใช้ชีวิตที่เมืองตันหยงปีนัง  รีดา เค. เลียมซี  มีบทบาทสำคัญในวงการวรรณกรรม โดยรีดา เค. เลียมซี  ได้รับรางวัลมากมายจากหลายฝ่าย ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในประเด็นทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมมลายู เศรษฐกิจ และสังคม และอ่านผลงานของเขาในเมืองต่างๆ เช่น รัฐมะละกา รัฐโยโฮร์ กัวลาลัมเปอร์ กรุงโซล และกรุงฮานอย

ประวัติความเป็นมา

รีดา เค. เลียมซี  เกิดที่หมู่บ้านบากงซิงเก็บ อำเภอหมู่เกาะลิงกา จังหวัดหมู่เกาะเรียว เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1943 ในสมัยเด็กเขามีชื่อว่า อิสมาแอล กาเดร์ (Ismail Kadir) เขาเริ่มต้นอาชีพเป็นครูโรงเรียนประถมศึกษาในเกาะเรียวตั้งแต่ปี 1967 ถึง 1975 นอกจากนี้เขายังทำงานด้านวรรณกรรมและการเขียนข่าว โดยเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์และวงการศิลปะในเมืองตันจุงปินังตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1980


ในฐานะนักข่าว เขาทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ Berita Buana ระหว่างปี 1972–1973 นิตยสาร Tempo (เป็นเวลา 5 ปี) และหนังสือพิมพ์ Suara Karya  (เป็นเวลา 5 ปี) ซึ่งทั้งหมดนี้ตีพิมพ์และมีสำนักงานใหญ่ในจาการ์ตา จากนั้นเขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ Genta ในเมืองเปอกันบารูในปี 1983 ภายในวงการนักข่าวของเมืองเปอกันบารูนี้ เขาดำรงตำแหน่งประธานสมาคมนักข่าวอินโดนีเซีย (PWI) สาขาจังหวัดเรียว

ในปี 1991 รีดา เค. เลียมซี  ได้นำพากลุ่มสื่อยักษ์ชื่อ Riau Pos มาอยู่ในจังหวัดเรียว  ด้วยความเป็นมืออาชีพของรีดา เค. เลียมซี  และในปี 2015 ภายใต้กลุ่มบริษัท Riau Pos Group รีดา เค. เลียมซี  ได้บริหารจัดการหนังสือพิมพ์รายวัน 23 ฉบับ เว็บไซต์ข่าว 5 แห่ง สถานีโทรทัศน์ 5 แห่ง สถานีวิทยุ 1 แห่ง และผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 1 แห่ง กระจายอยู่ทั่วภาคกลางและภาคเหนือของเกาะสุมาตรา โดยมีศูนย์ควบคุมอยู่ในจังหวัดเรียวและหมู่เกาะเรียว


ภายใต้การอุปถัมภ์ของ Riau Pos Group รีดา เค. เลียมซี  ได้ก่อตั้งมูลนิธิมีชื่อว่า Yayasan Sagang ซึ่งตั้งแต่ปี 1997 ได้มอบรางวัลประจำปีแก่บุคคล/ศิลปินทางวัฒนธรรม ผลงาน สถาบันทางวัฒนธรรม และการรายงานข่าวทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมมลายู ผู้ได้รับรางวัลเหล่านี้คือบุคคลและสถาบันที่ได้รับการพิจารณาว่ามีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมและอารยธรรมมลายูให้เจริญรุ่งเรืองในโลกมลายูที่กว้างขึ้น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย ในปี 2011 นิตยสารของ Yayasan Sagang ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับนิตยสารวรรณกรรมของเกาหลีใต้ ชื่อ Sipyung

มูลนิธิ Yayasan Sagang ได้ก่อตั้งนิตยสาร Sagang ซึ่งเป็นนิตยสารทางวัฒนธรรมเพียงฉบับเดียวของอินโดเนเซีย ตั้งแต่ปี 2010 มูลนิธิที่เขานำอยู่ยังได้บริหารจัดการสถาบันศิลปะมลายูเรียว Akademi Kesenian Melayu Riau (AKMR) ตามคำขอของผู้บริหารก่อนหน้านี้ คือ มูลนิธิ  Yayasan Pusaka Riau ปัจจุบันสถาบันได้ทราบว่า ได้รับการยุบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเรียว หรือ Universitas Riau

ผลงานเขียนของรีดา เค. เลียมซี 

1.Tempuling (kumpulan sajak, Yayasan Sagang, 2002)

2.Perjalanan Kelekatu (kumpulan puisi, 2007)

3.Bulang Cahaya (novel, JP Book Surabaya dan Yayasan Sagang, 2007)

4.Rose (kumpulan puisi dwibahasa, Indonesia-Inggris, 2013)

5.Kurator Antologi Puisi Hari Puisi Indonesia, Matahari Cinta

6. Samudera Kata (2016)

7.Prasasti Bukit Siguntang dan Badai Politik di Kemaharajaan Melayu, 8.11 60-1946 (buku semi sejarah, 2016)

9.Megat (novel, 2016)

10.Mahmud, Sang Pembangkang (buku semi sejarah, 2017)


ผลงานร่วมเป็นบรรณาธิการ

1. Mahayana, Maman S.; et al., ed. (2017). Apa & Siapa Penyair

   Indonesia. Jakarta Barat: Yayasan Hari Puisi.


กิจกรรม

1.Penggagas Gerakan Ekonomi Kerakyatan Gerakan Sejuta Melayu

2.Penggagas dan deklarator Hari Puisi Indonesia (HPI)

3.Penggagas Festival Sungai Carang, Festival Budaya berlatar Sejarah

4.Penggagas Penerbitan surat kabar dengan halaman terbanyak, Harian Riau Pos, edisi 28 Oktober 2014, 280 halaman.


รางวัล

1. Gelar kehormatan Adat, Datuk Seri Lela Budaya dari Lembaga Adat Melayu Riau, 2015

2. penghargaan Anggota Kehormatan Masyarakat Sejarawan Indonesia, 2016

3. Rekor MURI. Pengusaha Media, dan wartawan dengan predikat Wartawan Utama

4. Gelar Seniman Perdana (SP) dari Dewan Kesenian Riau (DKR), 2010

5. Gelar Tokoh Sosio Budaya dari Dunia Melayu Dunia Islam (DMDI, 2008)

6.Entrepreneur of the Year 2015 dari KADIN Riau

7.Anggota Kehormatan Masyarakat Sejarawan Indonesia, 2016

8.Penghargaan dari Bank Permata sebagai Tokoh Budaya Nasional berpengaruh (2008)

9.Pelopor dalam pemimpin populis Ekonomi dan Budaya Melayu dari Pusat Studi dan Pengembangan Budaya Melayu, yang berbasis di Yogyakarta, Indonesia (2009)


อ้างอิง

Ela Herlia*, Prof. Dr. Isjoni, M.Si**, Asril, M.Pd, Know Rida K Liamsi As RRiau Malay Literary Figures.


 

Isnin, 27 Oktober 2025

Perempuan Perkasa itu Bernama Ibu

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan

Puisi Perempuan ini diambil dari sebuah buku yang dihadiahkan oleh ibu Diah Hadaning tajuknya Perempuan pilihan yang dicari. Ini Adalah puisi dari buku tersebut.

Perempuan Perkasa itu Bernama Ibu

Telah kau suratkan

       Dengan cinta dan kesabaran

              Dalam memaknai kehidupan

                      Bagi putra putri harapan

                             Pewaris masa depan


Telah kau kidungkan

       Setiap senja sepanjang musim

              Dalam memaknai hasta bratha

                      Dalam melakoni ajaran hidup benar

                             Aku menandai jejakmu, ibu


Dalam hidup ini kau ajarkan

       Yang bernilai dan dimulaikan

              Adalah janji dan kesetiaan

                      Adalah sumpah dan kejujuran

                             Agar selalu ditegurkan


Cintamu samodra bagi semua

       Senyum arifmu Melati senja

              Ketabahanmu gunung raja

                      Telah kau pesan wanti-wanti

                             Jangan pernah mengkhianati cinta


Samodra (Samudra) = lautan luas, air masin yang sangat besar

Wanti-wanti = memberikan nasihat, peringatan, pesan secara berulang-ulang,  pesan terus-menerus.

 

Sabtu, 25 Oktober 2025

ชุมชนยาวีเปอรานักกัน

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

                                              ชาวทมิฬมุสลิม

ครั้งนี้ เรามาทำความรู้จักกับชาวมลายูกลุ่มหนึ่ง เป็นชาวมลายูที่เป็นลูกผสมระหว่างชาวมลายูกับชาวทมิฬ   เรียกว่าชาวยาวีเปอรานักกัน  เพื่อทำความรู้จักกับชาวยาวีเปอรานักกัน  ซึ่งขอใช้บทความเรื่อง Jawi Peranakan community ที่เขียนโดย Naidu Ratnala Thulaja ลงใน National Library Board Singapore ซึ่งในบทความมีดังต่อไปนี้


กลุ่มยาวีเปอรานักกันเป็นกลุ่มชนชั้นนำในชุมชนชาวมลายูที่มีบทบาทมานานครึ่งศตวรรษ (ช่วงทศวรรษ 1870 ถึง 1920)¹ พวกเขาเป็นชาวมุสลิมที่เกิดในช่องแคบมลายู มีเชื้อสายผสมระหว่างอินเดีย (โดยเฉพาะทมิฬ) และมลายู ซึ่งได้หลอมรวมเข้ากับสังคมมลายู2 หนังสือพิมพ์ของพวกเขาคือ ยาวีเปอรานักกัน ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษามลายูฉบับแรกในภูมิภาค³ ยุครุ่งเรืองของพวกเขาสิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาถูกบดบังรัศมีโดยผู้นำชาวมลายูรุ่นใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง4

                                           เด็กๆชาวยาวีเปอกัน  

ประวัติศาสตร์

บรรพบุรุษของชาวยาวีเปอรานักกันส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพชาวทมิฬจากอินเดียตอนใต้ ซึ่งก่อนการเปิดการค้ากับสิงคโปร์ พวกเขาได้ตั้งถิ่นฐานในรัฐมลายูต่างๆ เช่น รัฐเคดะห์ รัฐปีนัง และรัฐมะละกา5 เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโสด หลายคนจึงแต่งงานกับชาวมลายู และลูกหลานของพวกเขากลายเป็นที่รู้จักในชื่อยาวีเปอรานักกัน6 ยาวีเป็นคำภาษาอาหรับที่ใช้เรียกชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปอรานักกันเป็นภาษามลายู แปลว่า “เกิดจาก” อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว ชาวมุสลิมอินเดียที่มีเชื้อสายผสมและเกิดในช่องแคบก็ถูกเรียกว่ายาวีเปอรานักกันเช่นกัน7 รวมถึงลูกหลานของพ่อแม่ที่เป็นชาวอาหรับ-มลายู8  คำอื่นๆ ที่ใช้เรียกผู้คนที่มีเชื้อสายผสมระหว่างมลายูและอินเดีย ได้แก่ “ยาวีเปกัน” (ส่วนใหญ่ใช้ในปีนัง9)  และ “เปอรานักกันคลิง” (ส่วนใหญ่ใช้ในมะละกา) ซึ่งคำหลังนี้ได้รับความนิยมจากนักบันทึกเหตุการณ์ชาวมลายูผู้ยิ่งใหญ่ในยุคแรกอย่าง อับดุลลาห์ มุนชี10

 

ชุมชนที่มีความรู้สูง

ชาวยาวีเปอรานักกันเป็นชนชั้นสูงของสังคมมลายูและมีบทบาทโดดเด่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการศึกษาของบุตรหลานควบคู่ไปกับการอบรมทางศาสนาและการศึกษาเล่าเรียน11 นอกจากจะเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จแล้ว ชาวยาวีเปอรานักกันที่พูดภาษาอังกฤษยังหางานราชการได้ง่ายและได้รับการว่าจ้างเป็นครูให้กับชาวยุโรป12  ด้วยความรู้ความสามารถและฐานะร่ำรวย พวกเขามีตำแหน่งทางสังคมรองจากชาวอาหรับในด้านความเป็นผู้นำและอำนาจภายในชุมชนมุสลิมมลายู และมีเงินทุนและทักษะเพียงพอที่จะเปิดตัวหนังสือพิมพ์ยาวีมลายูฉบับแรกในมาลายาและอินโดนีเซีย13 ซึ่งมีชื่อว่า ยาวีเปอรานักกันในช่วงปลายปี 187614

                                       ชาวยาวีเปอกัน  

ในฐานะกลุ่มชนกลุ่มน้อยในชุมชนชาวมลายู-มุสลิม ชาวยาวีเปอรานักกันพัฒนาอัตลักษณ์ที่ยืดหยุ่นต่อสังคมเจ้าบ้าน แม้จะรับเอาภาษาและขนบธรรมเนียมของชาวมลายูมาใช้อย่างกว้างขวาง15  แต่ชาวยาวีเปอรานักกันก็ยังคงมีความแตกต่างจากชาวมลยูในเรื่องความชอบอาหารอินเดียตอนใต้16  และเครื่องประดับที่โดดเด่น รวมถึงแฟชั่นในเมือง17 การสลับไปมาระหว่างอัตลักษณ์ลูกผสมระหว่างมลายูและทมิฬเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งที่มาของความเข้มแข็งของชุมชนของพวกเขารัฐ18

หนังสือพิมพ์ยาวีเปอกัน  

การสูญเสียความเป็นผู้นำ

การตื่นตัวทางการเมืองของชาวมลายูในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และขบวนการเรียกร้องเอกราชหลังสงครามได้สร้างบรรยากาศทางการเมืองที่เอื้ออำนวยต่อเชื้อชาติ ความเป็นผู้นำ และสิทธิของชาวมลายู19  ในช่วงทศวรรษ 1920 มีการต่อสู้แย่งชิงความเป็นผู้นำอย่างดุเดือดระหว่างชาวมลายูท้องถิ่นกับชาวมุสลิมอาหรับและอินเดีย ภายใต้การอุปถัมภ์ของอังกฤษ ชาวมลายูในท้องถิ่นได้มีบทบาทในสภานิติบัญญัติ และการเป็นตัวแทนทางการเมืองดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากผู้นำมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวมลายูไปสู่ผู้นำชาวมลายู20  ในช่วงทศวรรษ 1930 ชาวยาวีเปอรานักกันเรียกร้องให้เปิดบริการบริหารราชการของชาวมลายู เนื่องจากพวกเขาอ้างว่าเป็นชาวมลายู ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการโต้แย้งจากนักข่าวชาวมลายูที่มีชื่อเสียงซึ่งชี้แจงว่าชาวยาวีเปอรานักกัน“ไม่ใช่ชาวมลายูในความหมายที่แท้จริง”21 เมื่อแนวคิดเรื่อง “ชาติมลายู” (เผ่าพันธุ์มลายู) กลายเป็นวิสัยทัศน์ในการต่อสู้เพื่อเอกราช การแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของชาวยาวีเปอรานักกันที่เป็นชนชั้นสูงและแตกต่างจากชาวมลายูจึงไม่เหมาะสมอีกต่อไป เช่นเดียวกับชาวมุสลิมที่เกิดในช่องแคบอื่นๆ ที่มีเชื้อสายผสม ชาวยาวีเปอรานักกันได้จดทะเบียนตนเองว่าเป็น “ชาวมลายู


References

1. Kwen Fee Lian, ed., Multiculturalism, Migration, and the Politics of Identity in Singapore (Singapore: Springer, 2016), 83. (Call no. RSING 305.80095957 MUL)

2. William R. Roff, The Origins of Malay Nationalism (Kuala Lumpur: Oxford University Press, 1994), 48. (Call no. RSING 320.54 ROF)

3. C. M. Turnbull, A History of Modern Singapore, 1819–2005 (Singapore: NUS Press, 2009), 113 (Call no. RSING 959.57 TUR); Allington Kennard, “An Account of Early Malay Press and Periodicals,” Straits Times, 12 February 1973), 18. (From NewspaperSG)

4. Lian, Multiculturalism, Migration, and the Politics of Identity in Singapore, 83; Lynden H. S. Pung, “The Malays in Singapore: Political Aspects of the “Malay Problem” (master’s thesis, McMaster University of Ontario, September 1993), 28–29.

5. Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, Images of the Jawi Peranakan of Penang: Assimilation of the Jawi Peranakan Community Into the Malay Society (Tanjong Malim, Kedah: Universiti Pendidikan Sultan Idris, 2004), 34–39, 43, 44. (Call no. RSEA 305.89481105951 HA)

6. Patrick Pillai, Yearning To Belong: Malaysia’s Indian Muslims, Chitties, Portuguese Eurasians, Peranankan Chinese and Baweanese (Singapore: ISEAS, 2015), 23 (Call no. RSEA 305.8009595 PIL); Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, 16.

7. Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, Images of the Jawi Peranakan of Penang, 17.

8. Mustapha Hussain, Memoirs of Mustapha Hussain: Malay Nationalism Before UMNO (Kuala Lumpur: Utusan Publications & Distributors, 2005), 124. (Call no. RSING 959.505092 MUS)

9. Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, Images of the Jawi Peranakan of Penang, 16.

10. Kok Seong Too, “A Socliolinguistic Description of the Peranakan Chinese of Kelantan, Malaysia” (PhD, diss. University of California, 1993), 6; Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, Images of the Jawi Peranakan of Penang, 18.

11. R. Michael Freener and Terenjit Sevea, eds., Islamic Connections: Muslim Societies in South and Southeast Asia (Singapore: ISEAS, 2009), 90. (Call no. RSING 297.0954 ISL)

12. Roff, The Origins of Malay Nationalism, 48–49.

13. Turnbull, A History of Modern Singapore, 1819–2005, 113; Kennard, “An Account of Early Malay Press and Periodicals.”

14. “Education Report 1876,” Straits Times, 1 September 1877, 6 (From NewspaperSG); Freener and Sevea, Islamic Connections: Muslim Societies in South and Southeast Asia, 93.

15. Phyllis Chew Gim Lian, A Sociolinguistic History of Early Identities in Singapore: From Colonialism to Nationalism (New York: Palgrave Macmillan, 2013), 76. (Call no. RSING 306.44095957 CHE)

16. Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, Images of the Jawi Peranakan of Penang, 137.

17. Halimah Mohd Said and Zainab Abdul Majid, Images of the Jawi Peranakan of Penang, 131–34.

18. Freener and Sevea, Islamic Connections: Muslim Societies in South and Southeast Asia, 94.

19. Ahmad Fauzi Abdul Hamid, “Malay Anti-Colonialism in British Malaya: A Re-Appraisal of Independence Fighters of Peninsular Malaysia,” Journal of Asian and African Studies 43, no. 5 (October 2007): 381–82; Chew, A Sociolinguistic History of Early Identities in Singapore, 78.

20. Pung, “The Malays in Singapore: Political Aspects of the “Malay Problem”, 28–29.

21. Mustapha Hussain, Memoirs of Mustapha Hussain: Malay Nationalism Before UMNO, 124.

22. Chew, A Sociolinguistic History of Early Identities in Singapore, 76; Kwen, Multiculturalism, Migration, and the Politics of Identity in Singapore, 84.


 

Khamis, 23 Oktober 2025

ปฎิกริริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดและสังคใมลายูจังหวัดสตูล ต่อกรณีการมอบจังหวัดสตูลต่อสยามตามสนธิสัญญา 1909

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซน

สำหรับจังหวัดสตูล นับว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะจังหวัดสตูลแม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกมลายู เฉกเช่นเดียวกันกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส แต่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่ง มักมีความรู้สึกว่าคนมลายูจังหวัดสตูลเป็นอื่น ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีความปูกพันกับจังหวัดสตูล เพราะผู้เขียนเคยศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประชาชนชาวมลายูจังหวัดสตูล กับประชาชนชาวมลายูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีผลกระทบจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐไทย หรือที่เรียกว่า นโยบาย Siamisation

สุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์

และในครั้งนี้ผู้เขียนได้นำบทความวิจัยในเรื่องปฎิกิริริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดและสังคใมลายูจังหวัดสตูล ต่อกรณีการโอนจังหวัดสตูลต่อสยามตามสนธิสัญญา 1909 บทความชิ้นนี้ชื่อว่า Reaksi Sultan Abdul Hamid Dan Masyarakat Satun Terhadap Penyerahan Wilayah Satun Kepada Siam 1909  เขียนโดยบุคคล 2 คน คือ คุณอินตัน ชาฟีนาส บินนตีชาฟีอี (Intan Syafinas Binti Shafie) จากมหาวิทยาลัยมาเลเซียเปอร์ลิส เมืองอาราว รัฐเปอร์ลิส และคุณ อัยชะห์ บินตีกามารุดดิน (Aisyah Binti Kamaruddin) แห่งมหาวิทยาลัยอุตารามาเลเซีย รัฐเคดะห์ มาเลเซีย สำหรับบทความนี้เขียนลงตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อ นิตยสารประวัติศาสตร์ (Sejarah) ของภาควิขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาลายา มาเลเซีย นิตยสารประวัติศาสตร์ เล่มที่ 34 ฉบับที่ 1 (เดือนมิถุนายน) 2025:47-59


บทความชิ้นนี้ เป็นบทความที่สมควรที่คนวิจัยต่อไป จะได้ต่อยอด และสัมผัสความเป็นจริงที่ชาวบ้านชาวมลายูในจังหวัดสตูลจะมีความรู้สึกที่แท้จริง บทความชิ้นนี้ได้แสดงคิดเห็นดังต่อไปนี้

กูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh)

สำหรับจังหวัดสตูล หรือเมืองสตูลในอดีต จะมีชื่อเป็นทางการว่า นัครีสโตยมำบังสากรา หรือ  نڬري ستول ممبڠ سڬارا หรือ Negeri Setul Mambang Segara  สำหรับชาวจังหวัดสตูล หรือคนในประเทศไทยจะออกเสียงว่า สตูน โดยชาวมลายูจะเรียกว่า สตูล หรือ ในภาษาท้องถิ่น หรือสำเนียงรัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส และชาวมลายูจังหวัดสตูล จะเรียก หรือ ออกเสียงว่า สโตย  จังหวัดสตูลเคยเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของรัฐเคดะห์ เป็นจังหวัดที่ถูกโอนให้แก่สยามตามข้อตกลงสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909  การวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับสายตระกูลและการบริหารของพื้นที่ ทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับบทบาททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในบริบททางประวัติศาสตร์ของรัฐเคดะห์


นายอับดุลเลาะห์ ลังปะเต๊ะ ได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์จังหวัดสตูลของประเทศไทยว่า จังหวัดสตูลมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐเคดะห์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1136 ก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยามในที่สุด การศึกษาของเขาเน้นย้ำถึงในแง่มุมทางการเมืองและสังคมของจังหวัดสตูล รวมถึงบทบาทของตนกูบาฮารุดดิน บินกูแมะ หรือพระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) เจ้าเมืองสตูลคนสุดท้าย เป้นเจ้าเมืองที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาจังหวัดให้มีการพัฒนาและทันสมัย ​​แต่ในที่สุดเขาก็เอนเอียงไปทางสยาม ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะของจังหวัดสตูล นายวันซัมซุดดิน วันยูซุฟ ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานะทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสตูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1808 ถึง ค.ศ. 1909 โดยมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงการบริหารและความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐเคดะห์และสยาม ในงานเขียนของเขา เขาได้บรรยายถึงการที่กูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh) ได้นำระบบการบริหารสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจและระบบการเช่าซื้อ อย่างไรก็ตาม การกระทำของกูดิน บินกูเมะห์ (Ku Din Bin Ke Meh)ที่หันหลังให้กับสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ สุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ นำไปสู่ความขัดแย้งภายในและมีผลกระทบสำคัญต่อจุดยืนทางการเมืองของจังหวัดสตูล

มัสยิดมำบัง  จังหวัดสตูล

การส่งมอบจังหวัดสตูลให้แก่สยามตามข้อตกลงสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นการลงนามโดยอังกฤษและสยาม เป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศสยามกับบริติชมาลายา (มาเลเซีย)  ซึ่งได้ส่งผลกระทบสำคัญต่อการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของรัฐเคดะห์และจังหวัดสตูล จังหวัดสตูลซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเคดะห์  ได้ถูกโอนเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ซึ่งสนธิสัญญานี้ เป็นการกระทำโดยชาติมหาอำนาจ เช่น อังกฤษและสยาม การเจรจาส่งมอบจังหวัดสตูล ได้ดำเนินไปโดยปราศจากการมีส่วนร่วมโดยตรงของสุลต่านอับดุลฮามิด ฮาลิม ชาห์ (ค.ศ. 1841-1943) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลของอำนาจในความสัมพันธ์ทางการทูต ดังนั้น การศึกษาเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปฏิกิริยาของสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ต่อการส่งมอบโอนจังหวัดสตูล และประชาชนมลายูที่อยู่ในเขตจังหวัดสตูล ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐสยาม ที่มีต่อประชาชนดังกล่าว  เช่น การใช้ภาษาไทย และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง การศึกษาครั้งนี้ใช้แนวทางเชิงคุณภาพอย่างเต็มรูปแบบผ่านการวิเคราะห์เอกสารทางประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกของสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ รายงานทางการทูตของอังกฤษและสยาม และจดหมายโต้ตอบอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างเรื่องเล่าที่ครอบคลุมมากขึ้น


ปฏิกิริยาของชาวสตูล

หลังการส่งมอบดินแดนให้สยาม ภูมิภาคสตูลยังคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตามรูปแบบการปกครองของสยาม ไม่มีการตึงเครียดในหมู่ชาวมลายูจังหวัดสตูล เพราะบทบาทของรัฐบาลในขณะนั้นมีอิทธิพลต่อแนวคิดของชาวสตูลในขณะนั้น บทบาทของกูดินบินกูเมะ ซึ่งได้พัฒนาความก้าวหน้าของจังหวัดสตูลอย่างจริงจัง ทำให้ชาวจังหวัดสตูลยอมรับการส่งมอบครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น กูดินบินกูเมะ แสดงความห่วงใยต่อบทบาทของศาสนาอิสลามอย่างมาก โดยการสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ในเขตสตูล ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายสยามยังคงปกป้องศาสนาของชาวสตูล แม้ว่าในขณะนั้นสตูลจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐเคดะฮ์แล้วก็ตาม


ความตึงเครียดที่มิได้เกิดขึ้นในหมู่ชาวมลายูจังหวัดสตูลในขณะนั้น เกิดจากการที่ชาวสยามอนุญาตให้ชาวสตูลเดินทางไปกลับระหว่างสตูลและรัฐเคดะห์โดยไม่มีข้อจำกัด ความสัมพันธ์ระหว่างชาวสตูล รัฐเคดะห์ และรัฐเปอร์ลิส จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยชาวสยาม ตั้งแต่เริ่มการรวมตัวของจังหวัดสตูลกับจังหวัดอื่นๆ ของสยาม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทใดๆ ชาวสยามตระหนักดีว่า หากใช้กำลังหรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดสตูลและรัฐเคดะห์หรือรัฐเปอร์ลิสอย่างรุนแรง ประชาชนในพื้นที่จะคัดค้านรัฐเคดะห์ นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นการปกครองของสยามในจังหัดนี้ ชาวสยามยังได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ในการแสดงออกถึงความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อลดความตึงเครียดกับชาวสยาม


ผลการศึกษาพบว่าสุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์คัดค้านสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty 1909 อย่างรุนแรง แต่แรงกดดันทางการทูตและปัญหาทางการเงินบีบบังคับให้สุลต่านอับดุลฮามิดชาห์ แห่งรัฐเคดะห์ต้องยอมรับข้อตกลง ประชาชนชาวมลายูสตูลยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม  ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการผสมกลมกลืนของรัฐสยาม แม้จะมีความพยายามต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็ตาม การศึกษานี้เสนอแนะให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารจดหมายเหตุและแหล่งข้อมูลปากเปล่า เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาของท้องถิ่นต่อข้อตกลง นอกจากนี้ ความพยายามทางการทูตสมัยใหม่ระหว่างมาเลเซียและไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเคารพมรดกทางวัฒนธรรมอิสลามของชาวมลายูในจังหวัดสตูล เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศ


ในท้ายนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ไม่เพียงจังหวัดสตูล สมควรที่จะต้องสร้งความแน่นแฟ้นทางความสัมพันธ์ในทุกๆด้านกับทางรัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส หรือแม้แต่รัฐปีนัง แต่จังหวัดสตูล สมควรที่จะสร้างความสัมพันธ์นั้นแน่นแฟ้นในทุกๆด้านกับทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

Sabtu, 18 Oktober 2025

ชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานี

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน


            ลูกหลานเชื้อสายวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวีในประเทศชาวซาอุดีอาราเบีย

ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาวสามสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทำอุมเราะห์กัน ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเมื่อราวสี่สิบปีที่แล้ว เมื่อผู้เขียนได้เดินทางไปประเทศซาอุดีอาราเบีย ที่นั่นผู้เขียนได้ทำแผ่นสาแหรกตระกูล หรือที่เรียกว่า Salasilah มอบให้เครือญาติที่อยู่ที่นั่น ญาติที่เป็นรุ่นที่สอง รุ่นที่สามของกลุ่มชาวมลายูปาตานีที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศซาอุดีอาร้ฃาเบีย ญาติวัยผู้ใหญ่ที่พบปะเวลานั้น บางคนยังมีชีวิตอยู่ แต่บางคนคงตายจากไป ส่วนเด็กๆ แต่ละคนคงเติบโต มีวิถีชีวิตตามสังคมของประเทศซาอุดีอาราเบียที่ตนเองเกิด เมื่อประมวลความรู้ที่รับมา ทำให้เห็นว่า คนที่เป็นคนเชื้อสายปาตานี ค่อนข้างที่จะล้าหลังกว่า คนที่มีเชื้อสายมาเลเซีย หรืออินโดเนเซีย ผู้เขียนได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้หนึ่ง เขากล่าวว่า น่าจะด้วย ชาวมาเลเซีย หรืออินโดเนเซีย มีการศึกษาที่สูงกว่า เมื่อพบปะแลกเปลี่ยน หรือร่วมทุนทางธุรกิจกับคนซาอุดีอาราเบียที่มีเชื้อสายมาเลเซีย หรืออินโดเนเซีย ธุรกิจจึงก้าวหน้ากว่า กล่าวว่ามีชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานีคนหนึ่ง ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการของซาอุดีอาราเบีย แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งใดๆ เกิดขึ้นกับชุมชนบรรพบุรุษของอดีตรัฐมนตรีท่านนี้ เมื่อมองถึงชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายอินโดเนเซียท่านหนึ่ง นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์) สิ่งที่เขาทำกับประเทศบรรพบุรุษช่างใหญ่โต  

                                  นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์)ชื่อของนายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์) เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวอินโดเนเซีย เมื่อเขาเป็นหนึ่งกลุ่มคนที่ร่วมเดินทางกับกษัตริย์ซัลมาน อับดุลอาซีซ อัล-ซาอุด ไปเยี่ยมอินโดเนเซีย เมื่อปี 2017


นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์) มีชื่อเต็มว่า นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  เขามีความเป็นชาวซาอุดีอาราเบีย แต่เมื่อสังเกตรูปร่างของเขา มีความเป็นชาวมลายู มีการถามเขาว่า ทำไมเขายังสามารถพูดภาษามลายู(สำเนียงอินโดเนเซีย)ได้ ไม่ต่างจากชาวอินโดเนเซีย เขาตอบว่า ด้วยคุณแม่ของเขาบังคับให้เขาพูดภาษาภาษามลายู(สำเนียงอินโดเนเซีย) และภายในบ้านคุณแม่จะบังคับให้เขาภาษามลายู(สำเนียงอินโดเนเซีย) การที่เขาสามารถพูดภาษามลายู ได้คล่องแคล้ว ไม่ต่างกับชาวอินโดเนเซียทั่วๆไป จะเป็นประโยชน์ให้แก่เขาในอนาคต  เขาเป็นเหลนของนักการศาสนาคนหนึ่งชื่อว่า นายกียัย ฮัจญีซัยนุล อารีฟิน โปฮัน ผู้เป็นนักการเมือง นักการศาสนาสังกัดนะห์ฎาตุลอุลามะ ในขณะเดียวกันก็เป็นวีรบุรุษแห่งชาติของอินโดเนเซีย นายกียัย ฮัจญีซัยนุล อารีฟิน โปฮัน เป็นรองนายกรัฐมนตรีในสมัยอาลี ซัสโตรอามีโจโยเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 1953 1955


สำหรับนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ในการเดินทางไปอินโดเนเซีย และสื่อมวลชนอินโดเนเซียได้สังเกตและสัมภาษณ์เขา ทำให้สามารถกล่าวได้ว่า นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  จะเกิดและเติบโตในประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่เขาก็ไม่เคยลืมรากเหง้าความเป็นอินโดเนเซียของเขา จะเห็นได้จากคำสอนของคุณแม่ ทำให้นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ยังสามารถพูดภาษามลายูได้ ไม่ใช่แค่เพียงเชื้อสายอินโดเนเซียเท่านั้นที่ทำให้นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  เป็นที่รู้จัก อีกหนึ่งสิ่งที่นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ภูมิใจคือผลงานในฐานะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ด้วยวัย 40 ปีกว่า นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่อายุ 18 ปี นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ได้ประสบการณ์จากโลกธุรกิจด้วยการฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อ พ่อของเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจัดเลี้ยงที่ให้บริการแก่ผู้แสวงบุญฮัจญ์

                                     นายอาดีล อัล-มักกี (มักกะห์)

ในปี 2006 นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองชื่อ Adil Makki Contracting Company (AMCO) ซึ่งดำเนินธุรกิจในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้าง ต่อมาบริษัทของเขาได้ร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจของอินโดเนเซียเพื่อสร้างสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศซาอุดีอาระเบียในปี 2016


นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ยังไม่พอใจกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จึงได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจอื่นๆ รวมถึงวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ในปี 2014 นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อ Edhafah Investments ปัจจุบันบริษัทได้สร้างศูนย์การค้าที่มีวิลล่า 6 หลัง ครอบคลุมพื้นที่ 1,800 ตารางเมตร ทางตอนใต้ของเมืองเจดดะห์ จิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการของนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ปรากฏชัดในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซีซ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาธุรกิจระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซิส เขายังศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยปรินซ์สุลต่าน (Prince Sultan College) และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  เคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายของหอการค้าซาอุดีอาระเบีย และยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสื่อและภาพยนตร์ของประเทศซาอุดีอาระเบียอีกด้วย ด้วยความสำเร็จและความสำเร็จของเขา นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  จึงได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ Most Inspiring Kingdom Leaders จากนิตยสารฟอร์บส์ในปี 2014


นอกจากความร่วมมือในโครงการที่ได้เซ็นสัญญาแล้ว นายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ยังมีความร่วมมืออีกสามโครงการที่ได้เซ็นสัญญาถึงข้อตกลงการลงทุนในหลากหลายภาคส่วน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล สถานพยาบาล และบริการด้านการท่องเที่ยวสำหรับพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์


บริษัทก่อสร้างของรัฐแห่งหนึ่ง คือ บริษัท วิดยา การ์ยา ได้ตกลงเซ็นสัญญากับบริษัทของนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 8,000 ยูนิตในประเทศซาอุดีอาระเบีย มูลค่าการลงทุนสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


นายโรซาน โรเอสลานี ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดเนเซีย (Kadin) เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างบริษัท วิดยา การ์ยา และกลุ่มบริษัทของนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี  ในการประชุมทางธุรกิจของหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดนีเซีย (Kadin) และคณะผู้แทนธุรกิจจากประเทศซาอุดีอาระเบีย

 ลูกหลานเชื้อสายวันฮุสเซ็น อัส-ซานาวีในประเทศชาวซาอุดีอาราเบีย

เมื่อมองนายอาดีล อับดุล มูนีฟ มูฮัมหมัด มักกี จะเห็นว่า ช่างมี Mindset ที่แตกต่างจากชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานี เป็นอย่างมาก แม้ชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานีจะมีจำนวนที่ไม่แตกต่างจากชาวซาอุดีอาราเบีย เชื้อสายมาเลเซีย และอินโดเนเซีย แต่เมื่อกล่าวถึงความสำเร็จจะเห็นว่า ชาวซาอุดีอาราเบีย  ถูกทิ้งห่างจนแทบจะไม่เห็นฝุ่น ผู้เขียนมีญาติที่รู้จักและยังติดต่ออยู่ เป็นชาวซาอุดีอาราเบียเชื้อสายปาตานี ได้พูดคุยกับเพื่อนนักธุรกิจสิงคโปร์ และเศรษฐีมุสลิมภูเก็ตว่า น่าจะใช้หรือร่วมทุนกับญาติผู้นี้ หรือผ่านญาติผู้นี้ เขาเป็นนายตำรวจ และจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซีซ เมืองเจดดะห์เช่นกัน

Khamis, 16 Oktober 2025

เรียนรูประวัติศาสตร์อิสลามในโลกมลายูโดยผ่านความรูด้านนิรุกติศาสตร์

 โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ความรู้ที่เรียกว่า นิรุกติศาสตร์ หรือที่รู้จักในชื่อว่า Philology ในภาษามลายูไม่มีเลยใช้คำว่า Filologi จะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ สถาบัน และวิถีชีวิตของชนชาติที่ปรากฏในต้นฉบับโบราณนั้น โดยจะต้องเป็นเอกสารที่เขียนด้วยมือ และมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สำหรับนัก Filologi ของประเทศอินโดเนเซีย จะถือว่าแม้เอกสารที่พิมพ์ จะมีอายุมากกว่า 50 ปี ก็ไม่อาจถือว่าเป็นเอกสาร สำหรับนัก Filologi จะทำการวิจัย ศึกษา จุดประสงค์ของวิชานี้คือการทำความเข้าใจเนื้อหาของงานเขียนของผู้เขียนและรูปแบบของงานเขียนที่นำเสนอ นอกจากนี้ วิชานี้ยังเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และประวัติศาสตร์ วิชานี้ คำว่า Philologi หรือ Filologi มาจากภาษากรีกว่า philologia ซึ่งแปลว่า “ความรักในถ้อยคำ” เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายนี้ก็ได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ได้แก่ ความรักในการพูด ความรักในการเรียนรู้ ความรักในความรู้ ความรักในการเขียน ความรักในงานวรรณกรรม และแม้กระทั่งความรักในการเขียนที่มีคุณค่าสูง

ในการศึกษาเกี่ยวกับอิสลามในอาเจะห์

การพัฒนาศาสนาอิสลามในอาเจะห์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่นักวิชาการเท่านั้น แต่ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นก็มักถกเถียงกันถึงประเด็นทางศาสนา ไม่น่าแปลกใจเลยที่การถกเถียงอย่างดุเดือดเกิดขึ้นมากมาย นักวิชาการบางคนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์นี้และพยายามหาทางบรรเทาสถานการณ์ภายในชุมชน


ศาสตราจารย์โอมาน ฟัตฮูราห์มาน ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ได้กล่าวถึงอิสลามในอาเจะห์ว่า เชค คูอัล หรือที่รู้จักกันในชื่อเชค อับดุลราอุฟ อิบน์ อาลี อัล-ยาวี อัล-ฟีนชูรี นักวิชาการชาวอาเจะห์ ได้ระบายความในใจและแสวงหาทางออกจากมิตรไกลในนครมาดีนะฮ์ คือ เชค อิบรอฮีม อัลกุรานี เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านฮาดีษ


เชค อิบรอฮีม อัลกุรานี ได้ตอบกลับด้วยต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือชื่อ ''Al-Jawâbât Al-Gharâwiyyah ‘an Al-Masâil Al-Jâwiyyah Al-Jahriyyah'' เอกสารเล่มนี้ทำให้การถกเถียงอย่างดุเดือดเกี่ยวกับประเด็นทางศาสนาในอาเจะห์ค่อยๆ สงบลง  และต้นฉบับคำตอบของชีคอิบราฮิม อัล-กุรานีนี้เป็นต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดที่ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน เคยพูดถึงเกี่ยวกับพัฒนาการของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายู หรือ Malay Archipelago


ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน กล่าวต่อ ก่อนที่การถกเถียงทางศาสนาในอาเจะห์จะทวีความรุนแรงขึ้นนั้น ศาสนาอิสลามได้ปรากฏให้เห็นในหมู่เกาะมลายูนี้ราวศตวรรษที่ 13 ซึ่งอ้างอิงจากการค้นพบต้นฉบับที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 15 เรื่องราวที่นำเสนอในต้นฉบับเหล่านี้คือกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่อิสลามในราชอาณาจักรปาไซ


ที่รัฐปาไซ มีเชคอาหรับท่านหนึ่งชื่อ อัล อารีฟ ได้เดินทางมายังซามุดรา ปาไซ จากนั้นท่านได้พบปะกับบุคคลชื่อ เมระห์ ซีลู (Merah Silu) และเชิญชวนให้รับอิสลาม หลังจากที่เมระห์ ซีลู เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุลต่านมาลิกู ซาเละห์ ดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน


รากเหง้าของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูนี้

หลังจากศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน อ่านต้นฉบับจำนวนมากเกี่ยวกับศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูนี้ และเพิ่มเติมด้วยหลักฐานร่วมสมัย ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน สรุปว่าจากการล่มสลายของกรุงแบกแดดในศตวรรษที่ 12 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูแห่งนี้  การล่มสลายครั้งนี้ทำให้พวกซูฟีกระจายตัวไปทั่วทวีปต่างๆ รวมถึงหมู่เกาะมลายูด้วย


หลักฐานที่ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน นำเสนอ ทำให้เห็นว่านี้คือต้นฉบับเกี่ยวกับคำสอนอิสลามยุคแรกในหมู่เกาะมลายู ซึ่งมีกลิ่นอายของซูฟีแฝงอยู่  โดยการแพร่หลายของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูเริ่มแรกนั้นเป็นแบบซูฟี หรือมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น ฟิกฮ์ก็มีอยู่เช่นกัน แต่แนวทางที่โดดเด่นที่สุดในเวลานั้นคือแนวทางทางจิตวิญญาณ


อ้างอิง

Filologi https://halimsambas.blogspot.com/

Filologi  wikipedia.org

Pengantar Teori Filologi Siti Baroroh Baried DKK. Pusat Pembinaan dan Pengembangan Bahasa Departemen Pendidikan dan Kebudayaan  Jakarta  1985