โดย
นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ในอดีตประเทศมาเลเซีย
จะมีเจ้าผู้ครองรัฐ หรือสุลต่าน เป็นผู้ปกครองรัฐต่างๆ มีราชวงศ์ต่างๆปกครอง
ส่วนใหญ่จะปกครองจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นเจ้าครองรัฐมะละกาสลายไป
หลังจากรัฐมะละกาพ่ายแพ้ให้กับโปร์ตุเกส ภายใต้การนำของ Alfonso de
Albuquerque ในปี 1511 สำหรับรัฐซาราวัค บนเกาะบอร์เนียวนั้น
ด้วยมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของรัฐในประเทศมาเลเซีย
นอกจากจะมีเจ้าผู้ครองรัฐชาวมลายูของรัฐซาราวัค รวมทั้งรัฐพื้นเมืองอื่นๆ
เช่นรัฐซันตูบง รัฐของชาวอีบัน
รัฐมาลาโน รัฐซามาราฮัน รัฐซาดง รัฐกาลากา รัฐซารีบัส
รวมทั้งรัฐที่ชื่อว่ารัฐซาราวัค นักวิชาการส่วนหนึ่งถือว่า
เป็นสุลต่านองค์แรกและองค์สุดท้ายของรัฐซาราวัค
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับรัฐบรูไนด้วย[1]นอกจากนั้นรัฐซาราวัค
ยังมีความแปลกว่ารัฐอื่นๆ ด้วยในอดีตรัฐซาราวัคนั้น
จะมีราชวงศ์คนผิวขาวปกครองรัฐซาราวัค รู้จักในนามของราชาผิวขาว หรือ Raja Putih หรือ White Rajahs โดยราชวงศ์ผิวขาวที่ปกครองรัฐซาราวัคนี้
มาจากครอบครัวชาวอังกฤษที่ชื่อว่า ครอบครัวบรูค (Brooke family) การที่ราชวงศ์บรูคปกครองรัฐซาราวัคนั้น
เรียกว่า ราชา หรือ Raja กล่าวว่าเพราะจะสร้างความแตกต่างจากราชวงศ์ชาวมลายูในเกาะบอร์เนียวที่ใช้คำว่า
สุลต่าน
เดิมดินแดนรัฐซาราวัค
เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบรูไน จนกระทั่งเซอร์เจมส์
บรูค ราชาผิวขาวคนแรกได้รับที่ดินจากรัฐบรูไน
ในเวลาต่อมาการปกครองของเซอร์เจมส์ บรูค ก็ขยายตัวออกไปกว้างขึ้น และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ราชาผิวขาวคนสุดท้ายของรัฐซาราวัคก็ได้มอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐอาณานิคม (British Crown
Colony)ของอังกฤษ
รัฐซาราวัค
มีราชาผิวขาว 3 คน และยังมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์บรูค
แต่ไม่สามารถดำรงตำแหน่งราชาผิวขาวอีก 3 คน คือ
1.
เซอร์เจมส์ บรูค (Sir James Brooke) ราชาผิวขาวคนแรก
2.
จอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค (John Brooke Johnson Brooke)
ราชามูดา
ผู้ถูกถอดออกจากตำแหน่ง
3.
เซอร์ชาร์ลส์ บรูค (Sir Charles Brooke)
ราชาผิวขาวคนที่สอง
4.
นายเอสก้า บรูค (Esca Brooke
) บุตรชายคนโตลูกครึ่งมลายูที่ถูก
ลืมของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
5.
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค (Sir Charles
Vyner Brooke) ราชา
ผิวขาวคนที่สาม
6.
เบอร์ตแรม บรูค (Bertram Brooke @ Bertram of Sarawak)
ตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค
(Tuan
Muda of Sarawak)
7.
แอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค (Anthony Walter Dayrell
Brooke)
ราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค
เซอร์เจมส์ บรูค 1.
เซอร์เจมส์ บรูค ราชาผิวขาวคนแรก
เขามีชื่อเต็มว่า
James
Bertram Lionel Brooke เกิดเมื่อ 29 เมษายน 1803 เสียชีวิตเมื่อ 11
มิถุนายน1867 เขาเกิดในอินเดีย ขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางผู้หญิงในบ้านของครอบครัว
เขาเป็นบุตรของนายโธมัส บรูค ( Thomas
Brooke) และนางแอนนา มาเรีย
บรูค (Anna Maria Brooke) บิดาของเขาเป็นผู้พิพากษาของแบงคอล
อินเดีย
การเริ่มต้นในรัฐซาราวัค
ในปี
1835 บิดาของเขาเสียชีวิต และทิ้งมรดกให้เขาเป็นจำนวน £30,000[2] นายเจมส์ บรูค ได้นำเงินจำนวนนั้นไปซื้อเรือเดินทะเล
ชื่อว่า Royalist
ในปี 1838 เขาได้เดินเรือไปยังเกาะบอร์เนียว
และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เขาได้เดินทางไปยังเมืองกูจิง และได้รับรู้ว่า
ชนเผ่าดายักของรัฐซาราวัค ได้ก่อกบถต่อต้านสุลต่านแห่งรัฐบรูไน เซอร์เจมส์
บรูค ได้ช่วยเหลือราชามูดาฮาชิม ผู้เป็นน้าของสุลต่านแห่งรัฐบรูไน
และเป็นราชามูดา (อุปราช) ของสุลต่านแห่งรัฐบรูไน รวมทั้งเป็นผู้ปกครองดินแดนรัฐซาราวัค
ในการปราบกบถ และเมื่อสามารถปราบกบถชนเผ่าดายักได้แล้ว ราชามูดาฮาชิม
ได้ตอบแทนเซอร์เจมส์ บรูค โดยมอบตำแหน่งเป็นราชาแห่งซาราวัคในปี 1841
ต่อมาตำแหน่งดังกล่าวได้รับการยอมรับจากสุลต่านแห่งรัฐบรูไน
กลายเป็นราชาผิวขาวแห่งรัฐซาราวัค
ต้นเหตุการณ์ก่อกบถในรัฐซาราวัค
ในหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของรัฐซาราวัคได้บันทึกว่า[3]
ในปี 1836 สุลต่านอุมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ที่ 2 แห่งรัฐบรูไน
ได้ส่งขุนนางเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ที่ชื่อว่าปาเงรันมะห์โกตา (Pangeran
Mahkota) พร้อมกับผู้ติดตาม
ไปยังรัฐซาราวัค
ตอนที่ปาเงรันมะห์โกตาปกครองรัฐซาราวัคนั้น เขาปกครองด้วยความอยุติธรรม กลุ่มขุนนางจากรัฐบรูไนเหล่านี้ได้มีการเอาข้าวสาร
ปลา รังนก และสิ่งของจากชาวบ้านพื้นเมือง โดยไม่จ่ายตอบแทนค่าสิ่งของ
นอกจากนั้นยังให้ชาวบ้านจ่ายภาษีด้วยอัตราที่สูง
สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านเป็นอันมาก
ภาพวาดของปาเงรันมูดา หรือราชามูดาฮาชิม ในรัฐซาราวัค
มีการเปิดเหมืองพลวง (Antimony)
และเหมืองทอง หนึ่งในผู้ที่ริเริ่มเปิดเหมือง คือดาตูปาติงฆีอาลี (Datu
Patinggi Ali) ซึ่งมีชาวจีน ชาวดายัก เป็นพวก จึงได้ก่อกบถระหว่างปี 1836 – 1840
ทำให้สุลต่านบรูไน จำเป็นต้องส่งปาเงรันมูดาฮาชิม (Pengiran Muda Hashim) ไปยังรัฐซาราวัคเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ไม่สามารถแก้ไขการกดขี่
ความอยุติธรรมที่สร้างขึ้นโดยปาเงรันมะห์โกตา และในปี 1838
กำลังของดาตูปาติงฆีอาลี ยิ่งเข้มแข็งขึ้น
เมื่อได้รับการสนับสนุนดินปืนและอาหารจากสุลต่านซัมบัส (จังหวัดกาลีมันตันตะวันตก
อินโดเนเซีย) นอกจากนั้นทาง ดาตูปาติงฆีอาลี ยังขอความช่วยเหลือจากฮอลันดา
แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการเข้าร่วมก้าวก่ายในกิจการรัฐซาราวัค
ด้วยสถานการณ์จำเป็น
ทำให้ทางปาเงรันมูดาฮาชิม ต้องขอความช่วยเหลือจาก เซอร์เจมส์ บรูค ที่เดินทางมากับเรือพร้อม 2 ปืนใหญ่
โดยมีการสัญญาจะให้เซอร์เจมส์ บรูค
ปกครองบริเวณซาราวัค (เมืองกุจิง) และเมืองเซอเนียวัน จากนั้นในปี 1840
กำลังของเซอร์เจมส์ บรูค และกำลังของ ปาเงรันมูดาฮาชิม
จึงโจมตีกำลังของดาตูปาติงฆีอาลี ที่เมืองลีดะห์ตานะห์ (Lidah Tanah) แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ต่อมาเมื่อ 20 ธันวาคม 1840
กำลังของเซอร์เจมส์ บรูค
และกำลังของปาเงรันมูดาฮาชิม
ได้โจมตีกำลังของดาตูปาติงฆีอาลี อีกครั้งที่เมืองซีกูดิส (Sikudis) ในครั้งนี้ กำลังของเซอร์เจมส์
บรูค และกำลังของปาเงรันมูดาฮาชิม
ประสบความสำเร็จเมื่อ คนของดาตูปาติงฆีอาลี คือปาเงรันมัตอูซิน (Pangeran
Matusin) และผู้ติดตาม เดินทางเข้าพบเซอร์เจมส์ บรูค พร้อมขอเจรจาสงบศึก[4] และเซอร์เจมส์ บรูค ได้เห็นถึงอิทธิพลของดาตูปาติงฆีอาลี
จึงแต่งตั้งเป็นมุขรัฐมนตรีคนแรกของของรัฐซาราวัค
การต่อต้านของชาวมลายู
การปกครองรัฐซาราวัคของเซอร์เจมส์ บรูค ไม่ได้ราบรื่นตลอดไป
ด้วยได้รับการต่อต้านจากชาวมลายูและชนพื้นเมืองอื่นๆ
มีการต่อต้านที่หนังสือประวัติศาสตร์รัฐซาราวัคเรียกว่า The Malay Plot[5] ในปี 1853 1857 และ 1860 ภายใต้การนำของ Datu Patinggi Abang Abdul Ghafor ที่เมืองกุจิง และ Sharif Masahor ที่เมือง Sarikei
เซอร์เจมส์
บรูค ที่ประเทศอังกฤษบั้นปลายชีวิตของเซอร์เจมส์ บรูค
ในสุดท้ายเซอร์เจมส์ บรูค ได้ลาพักและเดินทางกลับไปยังอังกฤษในปี
1863 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากกลับไปยังอังกฤษ ทางเซอร์เจมส์ บรูค ได้เดินทางกลับมายังรัฐซาราวัคอีก 2 ครั้ง
เพื่อปราบโจรสลัดและปราบกบถที่เกิดขึ้นในรัฐซาราวัค เขาเสียชีวิตที่ไร่ของเขาที่ Devonshhire ประเทศอังกฤษในปี 1868 หลังจากที่เกิดเส้นสมองตีบ 3 ครั้งในระยะเวลา 10 ปี
สำหรับเซอร์เจมส์ บรูค
กล่าวว่ามีบุตร แต่เป็นบุตรนอกสมรส
จอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
2.
จอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค หรือ บรูค บรูค
ในขณะที่เซอร์เจมส์ บรูค เป็นราชาผิวขาวแห่งรัฐซาราวัคนั้น
ทางเซอร์เจมส์ บรูค ได้มอบอำนาจให้
นายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค (John Brooke Johnson Brooke) ผู้เป็นหลานน้าของตนเองให้เป็นราชามูดา
สำหรับจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค เกิดในปี 1823 และเสียชีวิตเมื่อ 1 ธันวาคม 1868
ในครั้งเกิดชื่อว่า จอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
ทั้งจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
และเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ผู้เป็นน้องชาย เป็นบุตรชายของนางเอมมา แฟรนเซส บรูค (Emma Frances Brooke)
น้องสาวของเซอร์เจมส์ บรูค
กับบาทหลวงแฟรนซิส ชาร์ลส์ จอห์นสัน (Francis Charles Johnson) เซอร์เจมส์ บรูค ผู้เป็นลุงได้นำนายจอห์น บรูค จอห์นสัน
บรูค
ร่วมเดินทางล่องเรือที่ซื้อไปยังเมดิเตอร์เรเนียนในปี 1837 ต่อมานายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
ได้สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอังกฤษในปี 1839 ต่อมาได้รับยศเป็นร้อยโทในปี 1842 และเป็นร้อยเอกในปี 1848
หลังจากนั้นเขาได้ลาออกจากกองทัพอังกฤษ
และได้เป็นราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค หลังจากที่เซอร์เจมส์ บรูค
ผู้เป็นลุงของเขาได้เดินทางกลับไปยังอังกฤษ สำหรับนายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
ประวัติของเขาที่เกี่ยวข้องกับรัฐซาราวัค มักถูกลบออก จนแทบจะไม่มีในประวัติศาสตร์รัฐซาราวัค
แม้ความจริงแล้วประวัติของเขายังมีอยู่
ที่มีการบันทึกเก็บไว้เป็นจำนวนมาก
สำหรับนายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
ได้รับการแต่งตั้งเป็นราชามูดาในระหว่างปี 1859-1863 ผลงานหนึ่งของนายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
คือสามารถปราบโจรสลัด โดยในการปะทะกันระหว่างกลุ่มโจรสลัดกับรัฐซาราวัค
ที่เมืองมูกะห์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 1862
โดยรัฐซาราวัคมีนายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค เป็นผู้นำ
จนรัฐซาราวัคสามารถปราบโจรสลัดได้ ต่อมานายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค ซึ่งรู้จักในนามของนายบรูค
บรูค ได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ด้วยเหตุผลถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศต่อลุงตัวเอง
โดยขณะที่ตัวเขาอยู่ในอังกฤษ นายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค
ได้วิจารณ์เซอร์เจมส์ บรูค
จนถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเซอร์เจมส์ บรูคห้ามไม่ให้นายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค เดินทางเข้ารัฐซาราวัค เขาเสียชีวิตในปี
1868 ที่กรุงลอนดอน หลังจากป่วยเป็นเวลานาน
เซอร์ชาร์ลส์
แอนโทนี บรูค 3.
เซอร์ชาร์ลส์ แอนโทนี บรูค ราชาผิวขาวคนที่สอง
สำหรับเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
มีชื่อเดิมว่า ชาร์ลส์ แอนโทนี
จอห์นสัน เกิดที่อังกฤษ
เช่นเดียวกันกับพี่ชาย เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชาผิวขาวคนที่สอง
ภายหลังจากนายจอห์น บรูค จอห์นสัน บรูค ผู้เป็นพี่ชายถูกเซอร์เจมส์ บรูค ปลดออกจากการเป็นทายาทผู้สืบอำนาจ เซอร์ชาร์ลส์
บรูค ได้รับการศึกษาจากอังกฤษ
ต่อมาได้สมัครเข้าทำงานกับกองทัพเรืออังกฤษ ต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อเป็น ชาร์ลส์ บรูค
เขาเข้าทำงานกับลุงของเขาในปี 1852 โดยเริ่มเป็นผู้ปกครอง หรือ Resident ของเขตลุนดู (Lundu) ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองกุจิง
และมีเขตแดนที่ติดต่อกับจังหวัดกาลีมันตันตะวันตกของอินโดเนเซีย และในปี 1865 เซอร์เจมส์ บรูค
ได้ประกาศให้เขาเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา
เซอร์ชาร์ลส์ บรูค ได้ดำเนินนโยบายตามที่เซอร์เจมส์ บรูค ผู้เป็นลุงของเขา โดยได้ดำเนินการต่างๆ
เช่น การปราบโจรสลัด การห้ามทาส การห้ามบางเผ่าที่ชอบตัดหัวมนุษย์ เซอร์ชาร์ลส์
บรูค ต่อมาได้รับยศเป็นเซอร์ และมียศในภาษามลายูรัฐซาราวัคว่า Seri Paduka
Duli Yang Maha Mulia Tuan Rajah Sir Charles Brooke สำหรับเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ดำรงตำแหน่งเป็นราชาแห่งรัฐซาราวัคระหว่าง
3 สิงหาคม 1867 – 17 พฤษภาคม 1917
เขามีผลงานในรัฐซาราวัคหลายอย่าง
เช่นในปี 1891 เขาได้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งรัฐซาราวัค
ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกบนเกาะบอร์เนียว นอกจากนั้นในปี 1903
เขายังก่อตั้งโรงเรียนชายล้วน ชื่อว่า Government Lay School เป็นโรงเรียนที่ชาวมลายูสามารถที่จะเรียนด้วยภาษามลายูได้ เมื่อเขาเสียชีวิตลง
ทางอังกฤษได้ให้รัฐซาราวัคเป็นรัฐที่มีสถานะเป็นรัฐอารักขาของอังกฤษ หรือ protectorate
state และรัฐซาราวัคสามารถที่จะมีสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเป็นของตนเอง
มีการสร้างทางรถไฟ และที่สำคัญมีการค้นพบน้ำมันในรัฐซาราวัค
นายเอสก้า บรูค
4.
นายเอสก้า บรูค (Esca Brooke
) บุตรชายคนโตลูกครึ่งมลายูที่ถูกลืมของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
นายเอสก้า
บรูค ถือเป็นบุตรชายคนโตที่ถูกลืมของเซอร์ชาร์ลส์
บรูค
ความจริงเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะสืบอำนาจต่อจากเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
แต่นายเอสก้า บรูค โชคร้ายตรงที่เขาเป็นบุตรเซอร์ชาร์ลส์ บรูค กับสตรีชาวมลายู ชนพื้นเมืองของรัฐซาราวัค ในหนังสือเรื่อง A History of
Sarawak under its two White Rajahs’ (1839-1908)
มักจะเขียนถึงประวัติของราชาผิวขาวสองคนของรัฐซาราวัค โดยเขียนถึงเรื่องราวระหว่างปี
1839-1908
โดยเขียนเกี่ยวกับอาชีพทางการเมืองและความสำเร็จของราชาสองคนแรก
แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและสังคมของพวกเขากับผู้คนในรัฐซาราวัค โดยเฉพาะเรื่องชีวิตส่วนตัวด้านที่ไม่เปิดเผย
นายเอสก้า บรูในวัยวัยรุ่น
ดร.ซันดรา
ปีบัส (Dr.
Sandra Pybus) จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ผู้เขียนเรื่อง “White
Rajah - A Dynastic Intrigue”[6] ได้ให้ภาพของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ราชาผิวขาวคนที่สอง
ในมุมมองที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่เขียนเกี่ยวกับราชวงศ์บรูค
แห่งรัฐซาราวัค โดยเฉพาะในหนังสือข้างต้นได้เขียนถึงเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ที่ได้แต่งงานกับสตรีชาวมลายูพื้นเมือง
ในหนังสือได้เล่าถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์ชาร์ลส์ บรูค กับผู้นำชาวมลายู-มลาเนา ที่ชื่อว่า Abang Aing Datuk Laksama Menuddin ซึ่งเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
พบกับผู้นำชาวมลายู-มลาเนาดังกล่าวในปี 1853 เมื่อครั้งเขายังเป็น Resident
ของเขต Fort Lingga บริเวณปากแม่น้ำบาตังลูปาร์
ในอำเภอซีมังฆัง (Simanggang district)
ขณะที่เซอร์ชาร์ลส์
บรูค ในฐานะเป็น Resident เพิ่งจะมีอายุได้เพียง 24
ปี แต่ต้องดูแลนักรบพื้นเมืองชาวอีบันนับหมื่นคน แต่ก็สามารถดูแลได้ ด้วยความช่วยเหลือของนาย
Aing ผู้เป็นบุตรชายของแม่ทัพเรือพื้นเมืองที่ชื่อว่า Laksamana
Menudin ผู้นำคนนี้รู้จักในนามของ Rajah Ulu
ในขณะที่เซอร์ชาร์ลส์ บรูค เป็น Resident นับสิบปี
เขาได้สร้างตำนัก หรือ astana ขึ้นที่เนินเขา
ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำบาตังลูปาร์ ส่วน Abang Aing Datuk Laksama
Menuddin และผู้ติดตามก็ได้สร้างบ้านเรือนขึ้นไม่ไกลจากนั่น
ตั้งเป็นชุมชนเรียกว่า หมู่บ้านอูลู (Kampung Ulu) ในหนังสือดังกล่าวยังเขียนว่า
ในสมัยยังหนุ่มโสด เชื่อว่าเซอร์ชาร์ลส์
บรูค
มีความสัมพันธ์กับสตรีชาวอีบันหลายคน และมีบุตรกับสตรีชาวอีบันด้วย
แต่ที่มีหลักฐานคือเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ได้หมั้นหมายกับดายังมัสตียะห์ (Dayang Mastiah) หลานสาว[7]ของนาย
Abang Aing Datuk Laksama Menuddin สำหรับ Abang Aing
Datuk Laksama Menuddin ได้เป็นผู้นำทัพสามครั้งระหว่างปี 1854 –
1861 ในการต่อสู้กับกองกำลังชาวอีบันที่มีผู้นำชื่อนาย Rentap ที่ต่อต้านการปกครองรัฐซาราวัคของตระกูลบรูค สำหรับนาย Rentap มีชื่อจริงว่า
นาย Libau Libau anak Ningkan ซึ่งคำว่า Rentap มีความหมายว่า ผู้สั่นสะเทือนโลก (Penggoncang Dunia) เป็นผู้นำของชนเผ่าชาวอีบันที่ Sungai Skrang และ Sungai
Saribas
สำหรับนาย
Rentap
ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขา จนได้รับการยอมรับในหมู่ชาวอีบัน
คือเมื่อปี 1853 โดยกำลังของนาย Rentap ได้โจมตีกำลังของรัฐซาราวัคของผู้ปกครองตระกูลบรูค
จนสามารถฆ่าทหารอังกฤษที่ชื่อว่า Allan Lee ในหลายปีต่อมากำลังของนาย
Rentap ก็พ่ายแพ้แก่กองกำลังของอังกฤษ และนาย Rentap ได้เสียชีวิตในวัยชรา
เมื่อปี 1870
วกกลับมาเรื่องของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค กับสตรีชาวมลายู ลูกหลานของนาย Abang Aing Datuk Laksama Menuddin กล่าวว่า การแต่งงานของทั้งคู่ทำการที่หมู่บ้านอูลู
โดยจัดพิธีแต่งงานแบบอิสลาม สำหรับ Dayang Mastiah จะมีผู้ปกครองที่ยินยอมการแต่งงาน
โดยใช้ Wali Hakim ส่วนผู้ทำพิธีแต่งงานเป็นกอฎี
ผู้นำทางศาสนาอิสลาม เมื่อดูพิธีการแต่งงานดังกล่าว จะเห็นว่า
ฝ่ายชายจะต้องเป็นมุสลิมด้วย ดังนั้น จึงหมายความว่า เซอร์ชาร์ลส์ บรูค จะต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วย อาจจะด้วยการหลอกเข้ารับศาสนาอิสลามเพื่อการแต่งงานก็ตาม
ในเดือนธันวาคม
1866 นาง Dayang
Mastiah ได้ติดตามสามีไปยังเมืองกุจิง
และสองเดือนหลังจากนั้นได้ตั้งท้อง
และเธอได้เดินทางกลับมาคลอดลูกที่อำเภอซีมังฆัง
และบุตรชายที่เกิดเมื่อ 27 สิงหาคม 1867 ทางเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ได้ตั้งชื่อว่า อีซากา (Isaka) เป็นชื่อในภาษามลายู ที่หมายถึง Isaac สำหรับเด็กชายอีซากา
ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาและ นาย Abang Aing และสามารถพูดแต่เพียงภาษามลายู
เด็กชายอีซากา หรือ เอสก้า บรูค
เซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ได้ประจำถาวรในเมืองกุจิงในฐานะราชาผิวขาวคนที่สอง และเขาจึงจำเป็นต้องมีราชินีรัฐซาราวัคที่เป็นชาวยุโรป
เขาได้วางแผนที่จะแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งเป็นม่ายที่ร่ำรวยชื่อว่า Elizabeth Sarah
Johnson หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Lily Wiles Johnson de Windt แต่ปรากฏว่า เซอร์ชาร์ลส์ บรูค
กลับได้แต่งงานกับบุตรสาวของ Lily Wiles Johnson de Windt ที่ชื่อว่า
Margaret Lili de Windt ที่มีอายุน้อยกว่าเขา 20 ปี เมื่อ 28
ตุลาคม 1869 และ ราชินี Margaret Lili de Windt ได้กำเนิดบุตรสาวให้แก่เขา
เขาผิดหวัง ในเวลาต่อมา เซอร์ชาร์ลส์ บรูค
จึงได้นำเด็กชายอีซากา มาเลี้ยงที่ตำนักของตนเอง สร้างความตกใจให้แก่ ราชินี Margaret
Lili de Windt
ราชินีแห่งรัฐซาราวัค หรือ Margaret Lili de Windt สำหรับเด็กชายอีซากา
เพื่อสร้างความมั่นใจให้เซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ว่าเป็นคริสเตียน ในเดือนมกราคม 1872 จึงทำการแบบติสต์ หรือ การเข้ารับศาสนาคริสต์
โดยใช้ชื่อว่า Esca
Brooke ที่โบสถ์คริสต์แองลีกัน ในอำเภอซีมังฆัง ทำการแบบติสต์
โดยบาทหลวง W. Crossland ต่อมานายเอสก้า บรูค ถูกส่งตัวไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ
และอยู่กับบาทหลวง William Yate Daykin และภรรยาที่ชื่อว่า Mary
Frances Harrison ซึ่งไม่มีบุตรด้วยกัน[8]
ต่อมาอพยพติดตามครอบครัวบาทหลวงดังกล่าวไปตั้งถิ่นฐานในประเทศแคนาดา
สำหรับนายเอสก้า บรูค
ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ
และในปี
1927 เมื่อครั้งเขามีอายุ 60 ปี
เขาได้ประกาศเรียกร้องสิทธิในการเป็นราชาของรัฐซาราวัค แต่ก็ล้มเหลว
และเมื่อเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
น้องชายต่างมารดา ได้มอบสิทธิรัฐซาราวัคให้กับอังกฤษ โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินหนึ่งล้านดอลลาร์
นายเอสก้า บรูค
ก็ได้เรียกร้องสิทธิในฐานะที่เป็นบุตรชายคนโตของราชาผิวขาวแห่งรัฐซาราวัค
แต่ก็ไม่สำเร็จอีกครั้ง นายเอสก้า บรูค เสียชีวิตที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา
เมื่อ17 กุมภาพันธ์ 1953[9]
เซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค 5.
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค (Sir Charles
Vyner Brooke) ราชาผิวขาวคนที่สาม
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค เกิดที่ประเทศอังกฤษ และในสมัยหนุ่มใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ เกิดเมื่อ 30 กันยายน 1874 และสิ้นชีวิตเมื่อ 9
พฤษภาคม 1963 เป็นราชาผิวขาวคนที่สามของรัฐซาราวัค เซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค ขึ้นบัลลังค์ 2 ครั้ง
โดยครั้งแรกเป็นราชาแห่งรัฐซาราวัคระหว่างปี 1917
จนถึงสมัยกองทัพญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองเกาะบอร์เนียวในปี 1941 และในสมัยที่สอง
เมื่อเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
กลับมายังรัฐซาราวัคเมื่อ 15 เมษายน 1946
จนถึงสมัยที่ได้มอบอำนาจในกับอังกฤษเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1946
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค เข้าทำงานเป็นผู้ติดตามบิดาของเขาระหว่างปี 1897-1898
ต่อมาเลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอซีมังฆัง (Simanggang) ระหว่างปี
1898–1901 และต่อมาเป็น Resident ของเขต Mukah และ Oya ระหว่างปี 1902–1903 และต่อมาเป็น Resident
เขตที่ 3 ระหว่างปี 1903–1904 น อกจากนั้นยังเป็นประธานสภาศาลแห่งรัฐ
(Law Courts) ระหว่างปี 1904–1911 ที่ประเทศอังกฤษได้รู้จักกับนางสาว นาง Sylvia
Brett บุตรสาวของ Lord Esher และได้แต่งงานกันเมื่อ
21 กุมภาพันธ์ 1911
ทั้งสองจึงเดินทางกลับไปยังรัฐซาราวัค.
การปกครองรัฐซาราวัค
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชาผิวขาวคนที่สามและคนสุดท้าย
หลังการเสียชีวิตของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค
ก็ได้รับการแต่งตั้งปกครองรัฐซาราวัค เมื่อ 24 พฤษภาคม 1917 การที่รัฐซาราวัค สามารถผลิตยางพาราและน้ำมันดิบ
ทำให้เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
สามารถนำเงินไปพัฒนารัฐซาราวัคได้มากขึ้น
นโยบายหนึ่งของเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค ที่ได้รับการชื่นชมจากคนพื้นเมือง
นั้นคือการห้ามนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแพร่ในหมู่ชาวมุสลิม ต่อมาเมื่อ 25
ธันวาคม 1941 รัฐซาราวัคถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครอง ทำให้เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค อพยพหนี้ภัยพร้อมครอบครัวไปยังเมืองซีดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
และอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสงครามโลกสงบ
จึงเดินทางกลับไปเป็นราชาผิวขาวของรัฐซาราวัคอีกครั้ง เมื่อ 15 เมษายน 1946
พิธีมอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐในอารักษาของอังกฤษ
มอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐในอารักษาของอังกฤษ
เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค ได้มอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐในอารักษาของอังกฤษ เมื่อ 1 กรกฎาคม 1946
ในขณะเดียวกันราชามูดาแอนโทนี ผู้จะเป็นผู้สืบอำนาจคนต่อไป
ก็ได้สละอำนาจที่จะมีต่อบัลลังค์ผู้ปกครองรัฐซาราวัค ตามสนธิสัญญาในฐานะราชทายาทปี
1951 และได้อพยพไปยังประเทศนิวซีแลนด์
สำหรับเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค ได้เสียชีวิตสี่เดือน
ก่อนที่รัฐซาราวัคจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย
เบอร์ตแรม
บรูค ตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค 6.
เบอร์ตแรม บรูค (Bertram Brooke @ Bertram of Sarawak) ตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค
(Tuan Muda of Sarawak)
ร้อยเอก
เบอร์ตแรม บรูค เป็นน้องชายของเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค ตำแหน่งตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค น่าจะเหมือนอุปราชไทยยุคอดีต
เป็นรองจากราชาแห่งรัฐซาราวัค เกิดเมื่อ 8
สิงหาคม 1876 เกิดที่เมืองกุจิง รัฐซาราวัค และเสียชีวิตที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ 15
กันยายน 1965 .
ร้อยเอก
เบอร์ตแรม บรูค
เป็นบุตรชายของเซอร์ชาร์ลส์ บรูค ราชาผิวขาวคนที่สอง ด้วยเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์
บรูค ไม่มีบุตรชาย ล้วนมีบุตรสาว ดังนั้นจึงแต่งตั้งน้องชายมาเป็นตวนมูดาแห่งรัฐซาราวัค
ร้อยเอก เบอร์ตแรม บรูค
ได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยตรีนีตี้
มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์
เบอร์ตแรม บรูค แต่งงานกับ นางสาว Gladys Milton
Palmer เมื่อ 28 มิถุนายน 1904 เธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของ Sir
Walter Palmer และเมื่อแต่งงานแล้ว นางสาว Gladys Milton
Palmer จะได้รับยศเป็น "Dayang Muda" ใช้คำนำหน้าว่า "Her
Highness" ทั้งคู่มีบุตรชาย
1 คน และบุตรสาว 3 คน สำหรับบุตรชายได้รับแต่งตั้งเป็นราชามูดา แห่งรัฐซาราวัค
แอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
7.
แอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค (Anthony Walter Dayrell Brooke) ราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค
เกิดเมื่อ
10 ธันวาคม 1912 และเสียชีวิตเมื่อ 2
มีนาคม 2011 ขณะมีอายุได้ 98 ปี เขาเป็นบุตรของเบอร์ตแรม บรูค
เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค โดยลุงของเขา
คือเซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค เมื่อ 25 สิงหาคม 1937
สำหรับชื่อเต็มในภาษามลายูของเขา คือ Yang Amat Mulia Tuan Rajah Muda Sarawak
เขาได้รับการศึกษาจาก
วิทยาลัยตรีนีตี้ มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์
เช่นเดียวกันกับบิดา ทำงานหลายแห่งในรัฐซาราวัค ทั้งเคยทำงานที่สำนักงานที่ดินของรัฐ
รวมทั้งเคยเป็นผู้พิพากษา นอกจากนั้นยังเคยเป็นผู้แทนพิเศษของรัฐซาราวัค
ประจำประเทศอังกฤษ
แอนโทนี
วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค ได้รับหน้าที่รับผิดชอบบริหารงานของรัฐซาราวัค ระหว่างปี
1939 - 1940 ต่อมาเขาถูกถอดออกจากตำแหน่งเมื่อ 17 มกราคม 1940
และเกิดกรณีพิพาทกับเซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค ผู้เป็นลุง
กรณีที่เขาไปแต่งงานกับ นางสาว Kathleen Mary Hudden ภายหลังทั้งคู่หย่ากันในปี
1965
และเขาถูกขับออกจากรัฐซาราวัคในเดือนกันยายน
1941 ต่อมาบิดาของเขา คือเบอร์ตแรม บรูค
ผู้เป็นราชามูดาแห่งรัฐซาราวัค กับเซอร์ชาร์ลส์
ไวเนอร์ บรูค ได้ปรึกษากัน และในปี
1944 ได้คืนตำแหน่งราชามูดาแก่เขา อย่างไรก็ตาม เขาถูกถอดถอนตำแหน่งอีกเมื่อ 12
ตุลาคม 1945
ในปี
1946 เซอร์ชาร์ลส์ ไวเนอร์ บรูค
ได้ยกรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐอาณานิคมของอังกฤษ (Britih Crown Colony) เพื่อแลกกับเงินบำนาญจำนวนมากสำหรับเขาและลูกสาวสามคน
ทางนายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
กับสมาชิกส่วนใหญ่ของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐของรัฐซาราวัค ไม่เห็นด้วย
ในเวลาห้าปีได้เกิดการต่อต้านของชาวรัฐซาราวัคต่อการขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
ได้ใช้บ้านพักของตนเองในสิงคโปร์เป็นศูนย์การเคลื่อนไหว
นาย Rosli Dhobie ขณะถูกจับ
โดยในปี
1948 ผู้ว่าการรัฐซาราวัคของอังกฤษ คนที่สอง คือ Sir Duncan Stewart ถูกชาวมลายูรัฐซาราวัค ที่ชื่อ Rosli Dhobie[10]
ฆ่าตาย หน่วยราชการลับของอังกฤษจึงเดินทางไปสอบสวนนายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์
บรูค เพื่อค้นหาความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมกรณีดังกล่าว
แต่ไม่พบสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงได้ ในปี 2012 เอกสารของหอจดหมายเหตุอังกฤษ
ที่ลอนดอน ก็เปิดเผยว่านายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับกรณีดังกล่าว
นายแอนโทนี
วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค หลังจากหย่ากับนาง Kathleen Mary Hudden ในปี
1965 ต่อมาอีกหลายปี ในปี 1982 ก็ได้แต่งงานอีกครั้งกับนาง Brigitte Keller
นายแอนโทนี วอลเตอร์ เดย์เรลล์ บรูค เสียชีวิตที่ประเทศนิวซีแลนด์
แต่นำกลับไปฝั่งที่สุสานครอบครัวในเมืองกุจิง รัฐซาราวัค
เหตุการณ์สำคัญๆในช่วงที่ตระกูลบรู๊คปกครองรัฐซาราวัค[11]
ปี
1855 เซอร์เจมส์ บรูค มีการจัดตั้งสภาสูงสุด หรือ Supreme Council โดยนำผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมในการบริหารรัฐซาราวัค
ปี
1856 จัดตั้งบริษัท Borneo
Co, Ltd.
ปี
1867
มีการประชุมสภาแห่งรัฐ เป็นครั้งแรก ที่เมืองบินตูลู ถือว่า สภาแห่งรัฐของรัฐซาราวัค
เป็นสภาที่เก่าแก่ที่สุดของมาเลเซีย
ปี
1869
รัฐซาราวัค ผลิตแสตมป์เป็นครั้งแรก
ปี
1872 รัฐซาราวัค เริ่มมีการแข่งขันเรือประจำปี
เพื่อสร้างความสามัคคีกัน จากที่ชนเผ่าดายักจะมีความขัดแย้งกัน
ปี
1872 ราชินี Margaret แต่งเพลงประจำรัฐ
ปี
1888
ทำสนธิสัญญากับอังกฤษ ให้รัฐซาราวัคเป็นรัฐในการคุ้มครองของอังกฤษ
ปี
1910
มีการขุดน้ำมันที่รัซาราวัค
ปี
1944
จัดตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นรัฐซาราวัค ขึ้นในกรุงลอนดอน
เงินตราและแสตมป์ของรัฐซาราวัค
ในยุคที่ตระกูลบรูคปกครองรัฐซาราวัค
ก่อนที่จะมอบรัฐซาราวัคให้อยู่ภายใต้รัฐอารักขาของอังกฤษนั้น
รัฐซาราวัคนั้นจะมีการออกเงินตราของตนเอง
และมีแสตมป์ที่ใช้ในการไปรษณีย์เป็นของตนเอง
[1]
สามารถอ่านเพิ่มเติม เกี่ยวกับรัฐมลายูในอดีตของรัฐซาราวัค จากหนังสือ Melayu Sarawak
: Sejarah Yang Hilang โดย
ดร. ดาตู Sanib Said จัดพิมพ์โดย Saramedia Global
Sdn Bhd, Kuching, Sarawak, Malaysia. ปี 2016
[2]
Spenser
St John,Rajah Brooke,London, 1897, P. 8
[3]
Buyong
Adil, Sejarah Sarawak, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1981.
และ Sanib Said, Malay Politics in Sarawak 1946-1966: The
Search for Unity and Political Ascendancy,
Singapore: Oxford University Press, 1985.
[4]
Spenser
St John, เรื่องเดียวกัน หน้า 36
[5]
Sanib
Said, Abang Johari Ziarah Makam Datu Patinggi Hj. Abang Abdul Ghafor di Melaka:
Kezaliman Brooke (Bhgn. 1) www.sanibsaid.com, August 20, 2017.
[6]
James
Ritchie,Rajah Charles Brooke’s secret life revealed,
www.newsarawaktribune.com.my, February 26, 2020.
[7]
จากการค้นข้อมูล เกี่ยวกับดายังมัสเตียะห์ บางข้อมูล บอกว่า เป็นหลาน บางข้อมูล
บอกว่า เป็นลูก แต่บางข้อมูลบอกว่า เป็นลูกบุญธรรม
[8]
Esca
Brooke Daykin https://www.findagrave.com/memorial/203999634/esca-brooke-daykin
[9]
https://www.royalark.net/Malaysia/sarawak4.htm
[10]
Rosli
Dhobi มีอาชีพเป็นครู นอกจากนั้น เขายังเป็นนักเขียน และนักกวี
เกิดเมื่อ 18 มีนาคม 1932 ที่เมืองซีบู รัฐซาราวัค มีบิดาเชื้อสายเจ้า
มาจากอินโดเนเซีย ส่วนมารดา ก็มาจากอินโดเนเซีย จากเมืองซัมบัส
จังหวัดกาลีมันตันตะวันตก
อินโดเนเซีย เขาเป็นสมาชิกขององค์กรลับ ที่ชื่อว่า Rukun 13
เป็นองค์กรต่อต้านอังกฤษที่ปกครองรัฐซาราวัค
เขาถูกจับและตัดสินประหารชีวิตในขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี ปัจจุบันสุสานของ
Rosli
Dhobi ถูกย้ายไปตั้งที่สุสานวีรบุรุษแห่งแห่งรัฐของรัฐซาราวัค
[11] https://www.brooketrust.org