โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
รัฐมะละกา
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 2 13
พรรคปาส
- -
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง 4 15
รวมที่นั่ง 6 28
รัฐโยโฮร์
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 8 19
พรรคปาส
- 1
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง 18 36
รวมที่นั่ง 26 56
รัฐที่ฝ่ายพรรคอิสลามมาเลเซียชนะสามารถจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่น
รัฐกลันตัน
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 5 8
พรรคปาส 9 37
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง - -
รวมที่นั่ง 14 45
รัฐตรังกานู
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 2 10
พรรคปาส 6 22
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง - -
รวมที่นั่ง 8 32
รัฐที่ฝ่ายทั้งฝ่ายพรรคแนวร่วมแห่งชาติและพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง
มีที่นั่งสูสีกัน ล่าสุดดาโต๊ะสรีมุคริซ
บุตรชายตุนมหาเธร์ มูฮัมหมัด ก็เข้ารับตำแหน่งมุขมนตรีเป็นสมัยที่สอง
หลังจากการเป็นมุขมนตรีในสมัยแรก ต้องลาออกจากการถูกบีบโดยฝ่าย
ดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ ตุนอับดุลราซัค
รัฐเคดะห์
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 2 3
พรรคปาส 3 15
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง 10 18
รวมที่นั่ง 15 36
รัฐเปรัค
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 11 27
พรรคปาส
- 3
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง 13 29 -
รวมที่นั่ง 24 59
สำหรับรัฐเปรัค เป็นที่ชัดเจนว่า
พรรคที่เป็นผู้กำหนดทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่น คือ 3
เสียงของพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย
และทางพรรคอิสลามแห่งมาเลเซียได้ร่วมกับพรรคแนวร่วมแห่งชาติ เป็น 27 เสียงบวกกับ 3
เสียง เป็น 30 เสียง จากเสียงทั้งหมด 59 เสียง เกินครึ่งเพียง 1 เสียง
ถือเป็นรัฐบาลท้องถิ่นที่ค่อนข้างเสี่ยง
รัฐที่ฝ่ายทั้งฝ่ายพรรคแนวร่วมแห่งชาติและพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง
พรรคพันธมิตรของพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง
(พรรคมรดกซาบะห์) มีที่นั่งสูสีกัน
รัฐซาบะห์
ชื่อพรรคการเมือง ระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระดับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
พรรคแนวร่วมแห่งชาติ 10 29
พรรคปาส
-
-
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง 3 2
พรรคมรดกซาบะห์ 8 21
พรรคกิจประชาธิปไตย 3 6
พรรคสตาร์ 1 2
รวมที่นั่ง 25 60
การที่รัฐซาบะห์มีพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง
พรรคมรดกซาบะห์ พรรคกิจประชาธิปไตย
รวมกันมี 29 เสียง และฝ่ายพรรคแนวร่วมแห่งชาติ มี 29 เสียง
มีเสียงที่สูสีกัน และปรากฏว่าพรรคสตาร์ ซึ่งเป็นพรรคท้องถิ่นของรัฐซาบะห์ มี 2
เสียงได้เข้าร่วมสนับสนุนพรรคแนวร่วมแห่งชาติ รวมกันเป็น 31 เสียง
ถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ โดยการเข้าเฝ้าประมุขของรัฐซาบะห์
ได้จัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่น
แต่เพียงวันเดียว เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อต่อมาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
จากพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ที่มาจากพรรคอัมโน ประกอบด้วย ดาโต๊ะฮัจญีอับดุลมูอิส
ปีจู ดาโต๊ะฮัจญะห์ฮามีซา ซามัต ดาโต๊ะออสมาน ยามาล และพรรค UPKO พรรคของชาวกาดาซานดูซุน และชาวมูรุต
จำนวน 6 คนได้เปลี่ยนขั้วมาสนับสนุนพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง พรรคมรดกซาบะห์
พรรคกิจประชาธิปไตย ทำให้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2018
ตุนมหาเธร์ มูฮัมหมัด
ก็ได้ทำพิธีสาบานตนต่อพระราชาธิบดี เพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
เป็นสมัยที่สอง นับเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศมาเลเซีย
ที่มีนายกรัฐมนตรีคนเดียวแต่ดำรงตำแหน่งสองสมัย เหมือนเช่น สุลต่านอับดุลฮาลิม
สุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ รัฐบ้านเกิดของตุนมหาเธร์
มูฮัมหมัด ที่พระองค์ก็เป็นพระราชาธิบดีสองสมัยเช่นกัน
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้พรรคแนวร่วมแห่งชาติ
ซึ่งเป็นพรรคที่มีส่วนในการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศมาเลเซีย และพรรคเองมีเครือข่าย
กลไกกระจายในทุกระดับสังคมของมาเลเซีย
สิ่งแรกน่าจะเป็นการที่รัฐบาลประกาศเก็บภาษีแบบ GST โดย GST คือ การเก็บภาษี “Goods and
Services Tax” (ภาษีการขายและการบริการ)
เป็นระบบภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558
โดยจัดเก็บจากทุกครั้งที่มีการชำระเงินเพื่อซื้อขายสินค้าหรือบริการ ในอัตราร้อยละ
6 ของมูลค่าสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ทำให้สินค้าราคายิ่งสูงขึ้น
ซึ่งน่าจะมาจากการบริหารการจัดการของรัฐบาลมากกว่า โดยภาพรวมของการเริ่มจัดเก็บ GST
เห็นได้ว่า
การเพิ่มจำนวนของร้านค้าเป็นไปอย่างราบรื่น
แม้ร้านค้ารายย่อยบางแห่งยังประสบปัญหาในการปรับปรุงระบบการคำนวณภาษี
ขณะที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่บางส่วนยังประสบปัญหาในการปรับเปลี่ยนป้ายราคา
นอกจากนี้ สินค้าหลายชนิดที่มีการจัดเก็บ GST เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด ปลากระป๋อง
กระดาษชำระ ผ้าอนามัย มีการปรับราคาสูงขึ้นตามอัตรา GST บางส่วนยังฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าในวงกว้าง
เคยเกิดกรณีแม้แต่ข้าวแกงก็มีการฉวยโอกาส
ดังนั้นพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง จึงใช้การจัดเก็บภาษี GST เป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลมาเลเซีย
ว่าเป็นความล้มเหลวของการบริหารและการผลักภาระด้านงบประมาณให้แก่ประชาชน
ซึ่งเป็นการซ้ำเติมคะแนนนิยมที่กำลังลดลงของนายกรัฐมนตรีดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนาจิบ
ตุนอับดุลราซัค ทำให้ค่าครองชีพของชาวมาเลเซียสูงขึ้น และเมื่อตุนมหาเธร์
มูฮัมหมัด เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง หนึ่งในสิ่งที่ตุนมหาเธร์ มูฮัมหมัด ประกาศว่า 100 วันของการเป็นนายกรัฐมนตรี
คือการยกเลิกการเก็บภาษีแบบ GST
สิ่งต่อมาที่ทำให้ดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
ตุนอับดุลราซัค มีคะแนนเสียงที่ลดลง คือภรรยา มีการกล่าวเสมอว่า ตุนอับดุลลอฮ อาหมัด บาดาวี
มีคะแนนเสียงลดลง ก็มาจากบุตรเขยของตนเอง
ที่ชื่อว่า ไครี ยามาลุดดิน
หัวหน้าปีกเยาวชนของพรรคอัมโน
และเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและการกีฬาในรัฐบาลของดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนาจิบ
ตุนอับดุลราซัค
เขาและเพื่อนพ้องเป็นมันสมองของตุนอับดุลลอฮ อาหมัด บาดาวี โดยเข้าไปวางแผน
เข้าไปแทรกแซงการบริหารของตุนอับดุลลอฮ อาหมัด บาดาวี จนเสียงสนับสนุนลดลง
ในที่สุดก็จำเป็นถูกบีบให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี
สำหรับภรรยาของดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
ตุนอับดุลราซัคก็เช่นกัน
ทำให้สังคมทั่วไปได้รับรู้ว่าภรรยาของดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ ตุนอับดุลราซัค คือดาตินโรสมะห์ มันซูร์ เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศมาเลเซีย ยังเป็นที่สงสัยว่า
การเสียชีวิตของนางแบบชาวมองโกเลีย ที่ชื่อว่า ชารีบูกิน อัลตันตูยา
จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดาตินโรสมะห์
มันซูร์ สำหรับดาตินโรสมะห์ มันซูร์
จะมีชื่อเสียงในเรื่องของการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
บางสื่อบอกว่าดาตินโรสมะห์ มันซูร์ จะซื้อของแต่ละครั้งนับล้านๆบาท
สำนักข่าวรอยเตอร์เขียนว่า Malaysia’s first lady linked to $30 million worth of jewelry
bought with 1MDB
funds ทำนองว่า
ดาตินโรสมะห์ มันซูร์ ใช้เงินจากบริษัท 1MDB
ที่มีปัญหาในการซื้อเครื่องเพชรราว
เกือบ 30 ล้านดอลลาร์
ครอบครัวดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ ตุนอับดุลราซัคกับดาตินโรสมะห์ มันซูร์
ถือเป็นครอบครัวที่ลึกลับ แม้ว่าจะเป็นที่รู้ว่าดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
เป็นบุตรชายของตุนอับดุลราซัค
อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เบื้องหลังของทั้งสองคน
ก็สร้างความเสื่อมศรัทธาแก่ชาวมาเลเซียจำนวนหนึ่ง ดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ ตุนอับดุลราซัค
เป็นสามีคนที่สองของดาตินโรสมะห์
มันซูร์
ส่วนสามีคนแรกก็ยังเป็นที่ปริศนากันว่าคือใคร ใครคือนายอับดุลอาซีซ นองจิก
บางส่วนว่ายังมีสามีคนที่สองเป็นผู้อ่านข่าวอาวุโสท่านหนึ่งของทีวีมาเลเซีย
แต่ที่สังคมมาเลเซียรับรู้คือดาตินโรสมะห์
มันซูร์ มีบุตรกับสามีคนแรก 2 คน
คือ นางอัซรีนี โซรายา อับดุลอาซีซ และนายรีซาล ชาห์รีซ อับดุลอาซีซ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนี้ของบริษัท 1MDB
สำหรับ
ดาตินโรสมะห์ มันซูร์
มีบุตรกับดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ 2 คน
คือ นายนอร์อัสมาน และนางนูรยานา นาร์จาวา ซึ่งแต่งงานกับชาวกาซัคสถาน
สำหรับดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
ก็มีประวัติด้านครอบที่ค่อนข้างจะไม่เป็นที่รับรู้ของสังคมมาเลเซีย
การแต่งงานที่เป็นทางการครั้งแรกของดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ คือการแต่งงานกับเต็งกูปุตรีไซนะห์ เต็งกูอิสกันดาร์
ชารีฟุดดิน เชื้อพระวงศ์รัฐกลันตัน โดยมีบุตร 3 คน คือ มูฮัมหมัดนีซาร์ ปุตรีนอร์ลีซา และมูฮัมหมัดนาซีฟุดดิน และดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
มีชื่อในเรื่องของการเป็นนักเพลย์บอย
ในสมัยยังเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ก็มีคนแรกที่กลายว่าอยู่ด้วยกัน ชื่อว่า
ติม
ในยุคของดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
เป็นนายกรัฐมนตรี
ถือว่าการคอรัปชั่นสร้างคะแนนเสียงลดลงแก่รัฐบาลเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าการสร้างหนี้ราว 42 หมื่นล้านริงกิตในบริษัท 1MDB ซึ่งมีรัฐบาลเป็นเจ้าของ
การไหลของเงินบริษัท 1MDB ราว 2.6 พันล้านริงกิตสู่กระเป๋านักการเมืองเบอร์
1 ของประเทศมาเลเซียและผู้เกี่ยวข้อง
รวมทั้งมีการปลดผู้ตรวจสอบการไหลเวียนของเงินดังกล่าว
การแทรกแซงการทำงานของสำนักงานปราบปรามการคอรัปชั่น การแทรกแซงธนาคารแห่งชาติ
ซึ่งผลของการสอบสวนไม่อาจสร้างความเชื่อถือของประชาชน นายไครี
ยามาลุดดิน บุตรเชยตุนอับดุลลอฮ
อาหมัด บาดาวี
ก็เป็นนายหน้าที่ทำให้บริษัทเตอมาซิคโฮลดิง จากสิงคโปร์สามารถซื้อหุ้น 1.5
พันล้านริงกิตจากบริษัทเทเลคอมมาเลเซีย
นายราฟีซี รัมลี รองประธานพรรคความยุติธรรมของประชาชน
กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้
กลุ่มพรรคการเมืองที่รวมตัวภายใต้ชื่อแนวร่วมแห่งความหวังพรรคได้รับชัยชนะ มาจากหลายปัจจัย
โดยนอกจากได้แรงหนุนจากกลุ่มชาวจีนที่ส่วนใหญ่สนับสนุนฝ่ายค้าน โดยผ่านพรรคกิจประชาธิปไตยแล้ว
ยังเกิดสึนามิชาวมลายู โดยชาวมลายูในเมือง รวมทั้งชาวมลายูกึ่งเมือง
ส่วนชาวมลายูในชนบทนั้นจะยึดมั่นกับพรรคแนวร่วมแห่งชาติ
หรือไม่ก็พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย
ผลของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่
14 นี้ การสำรวจโพลล์ของสำนัก Invoke ค่อนข้างใกล้เคียงมากที่สุด
ไม่เพียงจะหักปากกาเซียนวิเคราะห์การเมืองเท่านั้น
แต่ยังสร้างความผิดคาดให้เกิดขึ้นอีกด้วย เมื่อพรรคอามานะห์แห่งชาติ
ที่แยกตัวออกจากพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย
ไม่สามารถจะเป็นที่ยอมรับของชาวมลายูชายฝั่งตะวันออกของแหลมมลายู แม้ว่านายนิโอมาร์
บุตรชายคนโตของดาโต๊ะนิอับดุลอาซีซ อดีตผู้นำจิตวิญญาณ
และอดีตมุขมนตรีแห่งรัฐกลันตัน จะเข้าร่วมกับพรรคอามานะห์แห่งชาติก็ตาม
ซึ่งแสดงถึงความยึดมั่นของผู้สนับสนุนพรรคอิสลามแห่งชาติที่มีต่อพรรคมากกว่าตัวบุคคล นักวิชาการชาวมาเลเซียกล่าวว่า
ชัยชนะของกลุ่มพรรคแนวร่วมแห่งความหวังในครั้งนี้
ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตุนมหาเธร์ มูฮัมหมัด แม้ช่วงที่ดาโต๊ะสรีอันวาร์ อิบราฮิม ต่อสู้กับรัฐบาล
ก็ยังไม่สามารถล้มรัฐบาลได้
นายราฟีซี รัมลี
รองประธานพรรคความยุติธรรมของประชาชน กล่าวว่า ทางพรรคฝ่ายค้านจำเป็นต้องยกบุคคลที่มีบารมีพอที่จะต่อสู้กับรัฐบาลได้ ในพรรคฝ่ายค้านไม่มีผู้ใดที่จะมีบารมีพอ
ดังนั้นต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ทางพรรครวมฝ่ายค้านจึงมีมติเลือกตุนมหาเธร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อพรรคฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้ง
การชูตุนมหาเธร์ ให้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีก็มีผลทำให้ชาวมาเลเซียเลือกพรรคฝ่ายค้านเป็นรัฐบาล
เพื่อสร้างประเทศมาเลเซีย ที่ตกต่ำที่สุด ให้กลับมาเป็นเสืออีกครั้ง
ภายหลังพรรคฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งครั้งที่
14 ทางตุนมหาเธร์ ก็ได้ประกาศว่า ใน 100 วันของการเป็นรัฐบาล
พรรคแนวร่วมแห่งความหวัง จะดำเนินการ 5 ประการในการต่อต้านการคอรัปชั่น สิ่งแรก
คือ จับ Malaysia Official 1
ตามชื่อที่ปรากฏในคดี 1DB ซึ่งก็คือ ดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
ฐานคอรัปชั่น สิ่งที่สอง คือจัดตั้งคณะกรรมการที่เรียกว่า Royal Commision
Inquiry เพื่อสอบสวนการใช้เงินผิดในบริษัท
1MDB และ
Felda (Federal Land Development Autority) สิ่งที่สามคือ จัดตั้งคณะกรรมการอิสระ
เพื่อนำทรัพย์สินของประชาชนที่ได้มาจากการคอรัปชั่น สิ่งที่สี่ คือ
การนำหน่วยงานปราบปรามการคอรัปชั่น ให้ขึ้นตรงต่อสภาผู้แทนราษฎร
เป็นการป้องกันการแทรกแซงจากนักการเมือง สิ่งที่ห้า คือการยกเลิกการเจรจาสัญญาต่างๆที่ทำโดยตรงกับรัฐบาล
ซึ่งป้องกันการที่รัฐบาลได้ทำสัญญาต่างๆกับบริษัทต่างชาติ
โดยเฉพาะที่ได้รับการโจมตีเมื่อรัฐบาลยุคดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ
ได้ทำสัญญากับบริษัทจีน จนเกิดการโจมตีว่ารัฐบาลเสียเปรียบ
และปล่อยให้บริษัทจีนครอบครองที่ดิน โดยรัฐบาลไม่สามารถจะมีอำนาจในที่ดินที่มอบให้บริษัทจีน
เชื่อว่าตุนมหาเธร์ มูฮัมหมัด
จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศมาเลเซียกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และนับจากนี้ ประเทศมาเลเซียเข้าสู่ยุคใหม่
เชื่อว่าประเทศมาเลเซียจะกลับมามีบทบาทในภูมิภาคอาเซียและโลกมุสลิมอีกครั้ง