โดย
นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
อิทธิพลของวรรณกรรมอาหรับในสังคมมลายู
         นอกจากมีการเผยแพร่วรรณกรรมฮินดู
และวรรณกรรมชวาแล้ว 
วรรณกรรมอาหรับก็มีการเผยแพร่สู่ภูมิภาคมลายู  เป็นเวลานานแล้ว  ในบันทึกของจีนใต้กล่าวว่าในปี  977 
มีทูตที่นับถือศาสนาอิสลามชื่อ บูอาลี (อาบูอาลี) 
ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนโดยเขาเดินทางมาจากรัฐโปนี (Poni) (บรูไน) 
ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคมลายู
         แรกเริ่มนั้นวรรณกรรมฮินดูที่ได้รับการยอมรับในสังคมมลายูได้ถูกแทรกด้วยความเชื่อของอิสลาม 
ด้วยวิธีดังกล่าวทำให้สังคมมลายูง่ายต่อการยอมรับความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม  หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องเกี่ยวกับศาสดา (Nabi) , บรรดาซอฮาบัต (Sahabat)  และนักรบอิสลามคนอื่นๆ  
ทั้งหมดนั้นเป็นการเล่าเรื่องด้วยวาจาครั้งตอนเผยแพร่ศาสนาอิสลาม  จะถูกแพร่ยังภูมิภาคมลายูก่อนหน้านั้น  แม้แต่คำว่า “Hikayat”  ที่ใช้ในเรื่องราวของวรรณกรรมฮินดูและวรรณกรรมชวาก็ยืมมาจากคำในภาษาอาหรับ
                                 หินปักหลุมศพ (Batu Nisan) ของกสุลต่านมาลีกุลซอลและห์
หินปักหลุมศพ (Batu Nisan) ของสุลต่านมาลีกุลซอลและห์
                            หินปักหลุมศพ (Batu Nisan) ของ Fatimah  bt  Maimun
         อิทธิพลของภาษาอาหรับนั้นสามารถเห็นได้จากหินปักหลุมศพ
(Batu
Nisan) ของกสุลต่านมาลีกุลซอลและห์ (Sultan Malik-ul-Saleh) ซึ่งหินปักหลุมศพนั้นกล่าวว่ามาจาก Kembayat
(กัมพูชา) 
น่าจะมาจากจามปามากกว่า 
อักขระที่ใช้ที่หินปักหลุมศพนั้นได้กล่าวถึงเวลาที่สุลต่านมาลีกุลซอลและห์  ซึ่งเป็นสุลต่านแห่งรัฐปาไซ (Pasai)
บนเกาะสุมาตรา องค์แรกที่นับถือศาสนาอิสลาม  และที่ Leran , Gresik เกาะชวา
ได้มีการพบหินปักหลุมศพของผู้หญิงมุสลิมคนหนึ่งชื่อ Fatimah  bt 
Maimun  บันทึกว่า ปี
1082  ส่วนที่ตรังกานู (มาเลเซีย) 
มีการพบศิลาจารึกด้วยอักขระที่สืบทอดบทบาทต่อจากอักขระเรนจง (Rancong)  การสร้างอักขระยาวีนั้นแน่นอนต้องก่อนศตวรรษที่  13 
เพราะมีการใช้อักขระยาวีใน Hikayat 
Raja Pasai ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดของคนมลายูในการมีความคิดที่สูงและเค็มไปด้วยศิลปะ
 








 
 
Tiada ulasan:
Catat Ulasan