Sabtu, 29 April 2017

ขบวนการอาเจะห์เสรี ตอนที่ 4

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
เริ่มแรกการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์
ในหลักการของดาวุด  บือเระห์  ประเทศอิสลามอินโดเนเซีย  เขตอาเจะห์  เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการปกครองอิสระที่กว้างขวาง  จังหวัดปกครองอิสระนี้มีผู้นำโดยตรงคือ  ดาวุด  บือเระห์  ในการนำของดาวุด  บือเระห์นั้น  มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่  3 คน  คือ  ฮาซัน  อาลี  รับผิดชอบเขตอาเจะห์ใหญ่,  ปีดี  และอาเจะห์กลาง  ฮาซัน  สาและห์รับผิดชอบเขตอาเจะห์เหนือ,  อาเจะห์ตะวันตก  และตาปานูลีตะวันตก  สำหรับการปกครองระดับ  2  (อำเภอ)  ดาวุด  บือเระห์  ได้แต่งตั้งนายอำเภอจำนวนหนึ่ง  นายอำเภออาเจะห์ใหญ่  คือ  สุไลมาน  ดาวุด  ตอนที่แรกเริ่มการต่อสู้ของประเทศอิสลามอินโดเนเซียจับกุมในปี  1954  ตำแหน่งของเขาจึงถูกแทนที่โดยอิสหัก  อามีน  ส่วนอาเจะห์ปีดีมีนายอำเภอชื่อ  ที.เอ.ฮาซัน  อาเจะห์เหนือมือนายอำเภอชื่อ  เธอ  อับดุลฮามิด  อาเจะห์ตะวันออกมีนายอำเภอชื่อ  สาและห์อัครี  และอาเจะห์ใต้มีนายอำเภทชื่อ  ซากาเรีย  ยูนุส  สำหรับการต่อสู้ทางทหาร  ดาวุด  บือเระห์  ได้จัดตั้ง  7  กองพันทหาร  และอีกหน่วยตำรวจภายใต้การนำของ  เอ  อาร์.  ฮาชิม  ภายหลังจากได้จัดตั้งหน่วยพลเรือนและทางทหารแล้ว  ดาวุด  บือเระห์  ก็ดำเนินการต่อสู้กับรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนเซีย  การต่อสู้นี้เกิดขึ้นเนื่องจากได้รับการกดดันจากกำลังทหารของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย  เมื่อหลีกเลี่ยงการสงครามอย่างเปิดเผย  และการถูกจับกุมจากกองทัพแห่งชาติอินโดเนเซีย  (TNI)  ทางกองกำลังประเทศอิสลามอินโดเนเซีย  เขตอาเจะห์  เลือกการเข้าป่า  จากตรงนี้พวกเข้าได้สร้างพลังของดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  สว่นรัฐบาลซูการ์โนนั้นใช้วิธีการหลากหลายวิธี  รวมทั้งการเจรจาการทูตเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่อาเจะห์นี้

ถึงจะฉะนั้นก็ตาม  บรรดานักต่อสู้ชาวอาเจะห์  ไม่สนใจสิ่งนั้นพวกเขายิ่งผิดหวังต่อซูการ์โน  นั่นคือเมื่อเดือนมีนาคม  1955  เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวบ้าน  ซึ่งกระทำโดยรัฐบาลซูการ์โน  ขณะนั้นมีประชาชนประมาณ  64  คน  ที่ไม่มีความผิดที่หมู่บ้าน  โจต  จิมปา,  อาเจะห์ใหญ่  ถูกบังคับให้เข้าเรียงแถวที่สนามแห่งหนึ่ง  แล้วพวกเขาถูกยิงจนเสียชีวิต  พวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนของดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  แต่ตามคำบอกเล่าของอดีตหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์และการศึกษาของกองทัพประชาชนอินโดเนเซีย  เขตฆาระห์ 1 อาเจะห์  คือ  นาย  เอช.เอ็ม.นูร์  เอล อิบราฮีมี  ได้ยืนยันว่าพวกเขาไม่ผิด  พวกเขาเป็นเพียงประชาชนทั่วไปที่ตามคนอื่นเท่านั้น (8)

การกระทำสิ่งนี้ยังทำให้ผู้นำอาเจะห์ที่สนับสนุนรัฐบาลซูการ์โนผิดหวังด้วย  มีผลทำให้ประชาชนชาวอาเจะห์ยิ่งสนับสนุนดาวุด  บือเระห์  มากขึ้นในการเลือกตั้งปี  1955  ที่เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์ที่สงบในอาเจะห์  ตรงกับวันที่  23  กันยายน  1955  บรรดาผู้นำท้องถิ่นได้ร่วมกันจัดสมัชชาประชาชนชาวอาเจะห์  กิจกรรมครั้งนี้ต่อมารู้จักในนามสมัชชามาตีกรง  ความจริงแล้วสมัชชาครั้งนี้เกิดจากการผลักดันของบรรดาผู้นำดารุลอิสลามเพื่อสร้างความมั่นคงของการปกครองของประเทศอิสลามอินโดเนเซีย  ที่อาเจะห์ที่พวกเขาได้ประกาศสนับสนุนเมื่อ  2 ปี  ที่ผ่านมา  เมื่อวันที่  21  กันยายน  1953  ในการประชุมสมัชชาครั้งนี้บรรดาผู้นำดารุลอิสลามได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลักการจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับรัฐอิสลามที่พวกเขาได้จุดประกายเมื่อสองปีที่แล้ว  บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมสมัชชาประชาชนอาเจะห์ได้พร้อมกันยกผู้นำรัฐเป็นประธานรัฐประชาชนอาเจะห์ซึ่งไม่เป็นที่สงสัยว่า  ผู้เข้าร่วมสมัชชาจะพร้อมกันยกเต็งกู  มูฮัมหมัด  ดาวุด  บือเระห์  เป็นผู้นำรัฐและประธานรัฐประชาชนอาเจะห์  หลักการเกี่ยวกับประเทศของพวกเขาเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง  ถ้าในตอนประกาศสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียภายใต้การนำของการ์โซวีร์โจ  เมื่อวันที่  21  กันยายน  1953  นั้น  บรรดาผู้นำดารุดอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียถือว่าอาเจะห์เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศอิสลามอินโดเนเซีย  ดังนั้นตั้งแต่การประชุมสมัชชา,  ประชาชนอาเจะห์  พวกเขากล่าวว่าอาเจะห์เป็นรัฐอาเจะห์ซึ่งอยู่ในสหพันธรัฐของประเทศอิสลามอินโดเนเซียที่มีผู้นำชื่อการ์โตโซวีร์โจ  ที่ชาวตะวันตก

ด้วยประการฉะนั้น  บรรดาผู้นำดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  เขตอาเจะห์  ได้เห็นถึงระบบการปกครองแบบทวิเป็นเวลา 2 ปี  สุดท้ายในการต่อสู้ของพวกเขานั้นไม่สัมพันธ์กันอีกต่อไป  พวกเขาจึงลงมติใช้ระบบการปกครองแบบปกติโดยการแยกการปกครองพลเรือนและอำนาจทหาร  พวกเขามั่นใจว่าการปกครองพลเรือนต้องดำเนินการโดยนักการเมืองพลเรือน  ส่วนอำนาจทางทหารนั้น  สมควรที่บรรดานักการทหารเป็นผู้รับผิดชอบ  จนทำให้การต่อสู้กับกองกำลังซูการ์โนมีผลและสำเร็จเพื่อทำให้การปกครองมีผลทางสมัชชาประชาชนอาเจะห์ได้จัดตั้งสภาผู้แทนราษฎร  โดย เต็งกู  ฮูซิน  อัล มูจาฮิด  ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฏรหรือสมัชชาซูรอ

หลังจากส่วนประกอบทั้งสามได้พร้อมใจกันแล้ว  บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมสมัชชาได้ลงมติจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐอาเจะห์  โดยทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาของรัฐ  นี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอาเจะห์ที่ได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐอาเจะห์  ที่ได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแบบสมัยใหม่  นี้นับเป็นก้าวหนึ่งของประชาชนชาวอาเจะห์ในการต่อสู้กับการปกครองของซูการ์โน  ผู้ว่าราชการอาเจะห์ขณะนั้นคือ  อับดุลวาฮับ  เหมือนไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยต่อการกดดันทางการเมืองจากบรรดานักต่อสู้กดารุลอิสลาม  ไม่เพียงอับดุลวาฮับเท่านั้น  นับตั้งแต่ดาวุด บือเราะห์ได้เข้าป่า  และประกาศสงคามต่อการปกครองชองซูการ์โน  บรรดาผู้นำการปกครองท้องถิ่นที่อาเจะห์ล้วนวางตัวเป็นกลาง  ผู้ว่าราชการจังหวัดอาเจะห์เพียงปลงตกต่อสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ที่เป็นอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจังหวัดอาเจะห์ถูกยุบลง

นับตั้งแต่จังหวัดอาเจะห์ถูกยุบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสุมาตราเหนือ  ผู้นำท้องถิ่นดินแดนแห่งเบียงมักกะห์นี้ถูกโอนให้กับดานูโบรโตในปี  1951  การนำของเขามีอายุไม่นานนัก เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น  ต่อมาถูกมอบอำนาจให้แก่  สุไลมาน  ดาวุด ,  อับดุลวาฮับ  และอับดุลราซิค  ทั้งหมดนี้ล้วนสามารถอยู่ได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น

การกดดันจากนักต่อสู้ดารุลอิสลามรุนแรงยิ่งนัก  โดยเฉพาะหลังจากการประชุมสมัชชาประชาชนอาเจะห์  ยิ่งสมัชชานั้นสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐอาเจะห์ประกอบด้วยบุคคล  9 คน  โดยการนำของนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อว่า  ฮาซัน อาลี  พร้อมควบตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย,  พันโทฮูซัน  ยูซูฟ  เป็นรัฐมนตรีกลาโหม,  เต็งกูไซนาล  อาบีดิน  เป็นรัฐมนตรียุติธรรม, เอ.จี.มูเทียรา  เป็นรัฐมนตรีประชาสัมพันธ์,  มูฮัมหมัดอามีน  เป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจและทรัพยากร,  มูฮัมหมัด  อาลีกาซิม  เป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการ,  เต็งกูฮารุน  บี.อี.  เป็นรัฐมนตรีกิจการสังคม  และเอ็ม.วาย.  ฮาริม  เป็นรัฐมนตรีการประสานงาน

สำหรับผู้นำการทหาร  รัฐอาเจะห์ได้แบ่งออกเป็น  7 หน่วยการทหาร  และการต่อสู้  กรมที่ 1 / ฆายะห์ปูเตะห์  ผู้นำคือ  อิบราฮิม  ซาและห์,  กรมที่ 2 / สมุทรา  ผู้นำคือ  เอช. อิบราฮิม,  กรมที่ 3 / ซาลาฮุดดินย  ผู้นำคือ  ลาอุตตาวาร์  ผู้นำคือ  อิลเลียส  ลือเบ,  กรมที่ 6 / โกตาการัง  ผู้นำคือ  อับดุลวาฮับ  อิบราฮิม  และกรมที่ 7 / ตาร์มีฮิน  ผู้นำคือ  ฮาซานุดดิน  ซีเรฆาร์  นอกจากผู้นำการทหารในหลายพื้นที่  มีการตั้งผู้นำพลเรือน  ในการประชุมสมัชชาครั้งนั้นมีการลงมติให้รัฐอาเจะห์มี  6  อำเภอ  โดยศูนย์กลางตั้งอยู่ที่อาเจะห์ปีดี,  อาเจะห์เหนือ,  อาเจะห์ตะวันออก,  อาเจะห์ตะวันตก,  อาเจะห์กลาง  และอาเจะห์ใหญ่  การจัดตั้งการปกครองพลเรือนและผู้บัญชาการการทหารนี้มีการจัดกิจกรรมการทำงานแยกกัน  สำหรับการทำงานของคณะรัฐมนตรี  บรรดารัฐมนตรีของรัฐอาเจะห์มีการชุมนุมเฉพาะในวันที่  27  กันยายน  1955  หรือ  4  วันหลังจากที่มีการจัดตั้ง  แต่กิจกรรมนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะบรรดานักต่อสู้ดารุลอิสลามถูกกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลส่วนกลางที่ได้ส่งกำลังทหารจำนวนหนึ่งจากกองทัพแห่งชาติอินโดเนเซียที่ร่วมกันในปฏิบัติการ  17  สิงหาคม 

ถึงแม้ว่าจะส่งกำลังทหารจากกองทัพแห่งชาติ  แต่นักการเมืองในกรุงจาการ์ตาดำเนินการในการเจรจาทางการทูต  รัฐบาลซูการ์โนแสดงออกการประนีประนอมด้วยการสัญญาให้สถานะเขตปกครองพิเศษแก่อาเจะห์ทั้งหมดนี้แสดงออกเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ  หนึ่งในการพยายามที่เป็นยุทธวิธีคือในวันที่  27  มกราคม  1957  ซูนาร์โย  รัฐมนตรีมหาดไทยได้แต่งตั้งผู้นำนักการศาสนาอาเจะห์ที่ชื่อ  อาลี  ฮัชมี  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ดินแดนระเบียงมักกะห์แห่งนั้น  การแต่งตั้งอาลี  ฮัชมี  เป็นภาพลักษณ์ของการประนีประนอมรัฐบาลซูการ์โน  ต่อการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์

ก้าวต่อมาติดตามด้วยกองทัพแห่งชาติอินโดเนเซีย  มีการแต่งตั้งพันโทซามาอูน  ฆาฮารู  เป็นผู้บัญชาการการทหารเขตอาเจะห์  ซามาอูน  ฆาฮารู  เป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังที่ไปจู่โจมฐานของบรรดาขุนนางอาเจะห์ที่ต่อต้านการประกาศเอกราชสาธารณรัฐอินโดเนเซียในเดือนกันยายน  1945  เหตุการณ์จู่โจมครั้งนั้นรู้จักกันในนามเหตุการณ์จุมบอก  ซึ่งเป็นการยุติประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของกลุ่มขุนนางที่อาเจะห์  การทำงานของอาลี  ฮัชมีและ  ฆาฮารู  มีผลทำให้ไดรับความร่วมมือจากนักต่อสู้ดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  พวกเขาได้ทำการพบปะหลายครั้งจนทำให้มีการยุติสงครามระหว่างรัฐบาลอินโดเนเซียกับบรรดานักต่อสู้ดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  สำหรับก้าวแรกที่ต้องทำเพื่อยุติการเป็นศัตรูต่อกัน  มีการลงนามเรียกว่าปฏิญญาลามเทในเดือนกรกฎาคม  957  เนื้อหาของปฏิญญานั้นหนึ่งในนั้นมีว่าจะเชิดชูเกียรติและความสำคัญของศาสนาอิสลามประชาชนและดินแดนอาเจะห์  นับแต่นั้นสถานการณ์การก่อกบฏในอาเจะห์ก็สามารถดับลง  เหตุการณ์อาเจะห์ก็สงบลง

เป็นที่น่าเสียดาย  สถานการณ์สงบนี้มีอยู่ได้ไม่นาน  ในวันที่ 15  กุมภาพันธ์  1958  เกิดกบฏขึ้นเรียกตัวเองว่า  การปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย  (PRRI)  และเปอร์เมสตา  (Permasta)  เกิดขึ้นในหลายพื้นที่  ที่เกาะสุมาตราศูนย์ของกบฏตั้งอยู่ที่สุมาตราเหนือ  และสุมาตราตะวันตก  ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างนักต่อสู้ดารุลอิสลามที่อาเจะห์กับกลุ่มการปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา  ทำให้สถานการณ์ของอาเจะห์กลับร้อนขึ้นอีกครั้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นเดือนมีนาคม  1958  ผู้นำผู้ปกครองที่ปฏิวัติของสาธารณรัฐอินโดเนเซียทำให้การทำงานร่วมกันกับบรรดาผู้นำรัฐอาเจะห์มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะในด้านการทหาร  รัฐบาลส่วนกลางก็กังวลที่ต้องประสบกับสิ่งนี้


ในขณะที่เกิดกบฏผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย  ดาวุด  บือเระห์ได้ตัดสินยุติความสัมพันธ์กับดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  ของการ์โตโซวีร์โจที่ชาวตะวันตก  ซึ่งขณะนั้นเกือบทั้งหมดถูกปราบโดยซูการ์โน  การแสดงออกของดาวุด  บือเระห์ที่เข้าร่วมกับผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรรัฐอินโดเนเซียได้มีคำถามจากบรรดาผู้นำดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามที่อาเจะห์  คำถามก็คือแนวทางการเมืองระหว่างดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียค่อนข้างจะมีความแตกต่างมาก  ยิ่งเป็นการถอยหลังเข้าคลอง  ดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียนั้นต่อสู้ด้วยพื้นฐานการต่อสู้เพื่ออิสลามส่วนผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียนั้นมีความเนเซคูลาร์ยิ่ง  นอกจากนั้นผู้นำของผู้ปกครองที่ปฏิวัติของสาธารณรัฐอินโดเนเซียคือ  พันเอก  มาลูดี  ซิมโบโลน  นั้นเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารภาค  1 / บูกิตบารีซัน  กรมทหารนี้ก่อนหน้านี้นั้นเป็นเครื่องมือของซูการ์โนและมีความแข็งกร้าวในกาปราบขบวนการดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  เขตอาเจะห์  การปราบปรามครั้งนั้นมีพันเอก  มาลูดี  ซิมโบโลน  เป็นผู้นำ  แล้วทำไมดาวุด  บือเระห์  ต้องการร่วมมือกับศัตรูสำคัญของนักต่อสู้ดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  ดาวุด  บือเระห์ได้กล่าวว่าเขาเห็นว่ามีความเหมือนกันในการต่อสู้ของผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย  นั้นคือต้องการต่อต้านการครอบงำของรัฐบาลส่วนกลางภายใต้การนำของซูการ์โน  วัตถุประสงค์ระยะสั้นของเขาต้องการให้ซูการ์โนถูกโค่นโดยเร็ว


อ้างอิง
8.  สัมภาษณ์  H. M. Nur  El  Ibrahimy ในนิตยสาร Tempo  ฉบับ  26  ธันวาคม    1999



Tiada ulasan: