โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
เริ่มแรกการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์
ภายหลังจากมีการร่วมพลังทางการทหารของทั้งสอง ผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียและดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียก็ได้ร่วมกันปฏิบัติการทางทหารในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะตลอดชายแดนอาเจะห์ สุมาตราตะวันออก(ปัจจุบันคือสุมาตราเหนือ) ปฏิบัติการที่ต้องการปราบคนของซูการ์โนนี้เรียกว่า ปฏิบัติการซาบัง – เมอราวเก ขบวนการผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา และดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในเดือนธันวาคม 1958 บรรดาผู้นำของพวกเขามีการพบกันที่เจนิวา ในการพบกันครั้งนี้ทางรัฐอาเจะห์ได้ส่งตัวแทนนั้นคือ ฮาซัน อาลี ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี ในโอกาสการพบกันครั้งนี้มีผู้นำหนุ่มคนหนึ่งเข้าร่วมเขาคือ ฮาซัน ตีโร เขาเดินทางมาจากเจนิวาจากสหรัฐซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาศึกษาอยู่เพื่อเข้าร่วมการประชุมสำคัญดังกล่าว ฮาซัน ตีโร เดินทางมาไม่ใช่ในฐานะผู้แทนรัฐอาเจะห์ แต่ในฐานะคนหนุ่มที่สนใจการต่อสู้ของดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย จากการพบกันครั้งนั้นปรากฏว่าฮาซัน ตีโร ได้แนวคิดว่าต่อไปในอินโดเนเซียจะมีรัฐต่างๆ เพียง 9 รัฐ คือ สาธารณรัฐสุมาตรา,กาลีมันตัน, สุลาเวซี,มาลูก, ปาปัว, บาหลี, ตีมอร์, ซุนดา และชวา รวมอยู่ในสหพันธ์รัฐอินโดเนเซีย ต่อมาแนวคิดนี้เขามีโอกาสเสนอต่อที่เสวนาของสหประชาชาติ และไม่ได้รับการสนองรับมากนัก สำหรับการพบกันระหว่างผู้นำของผู้ปกครองสาธารณรัฐอินโดเนเซียดับดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย ที่เจนิวานั้นมีโอกาสได้เจรจาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งประเทศที่มีลักษณะเป็นสหพันธรัฐ ซึ่งขณะนั้นพวกเขาได้ตั้งชื่อว่า สหสาธารณรัฐอินโดเนเซีย(Republik Persatuan Indonesia) พันธกิจจากการจัดตั้งนี้ความจริงแล้วเพื่อให้ผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา และขบวนการดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียได้รับการสนับสนุนจากหลากหลายพื้นที่ในอินโดเนเซีย
แนวคิดนี้ได้รับการขานรับเป็นอยางดีในหมู่ผู้นำดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย พร้อมกับที่เกิดสถานการณ์วุ่นวายในอาเจะห์ และพื้นที่อื่นๆ นั้น ความขัดแย้งในหมู่นักการเมืองที่กรุงจาการ์ตาก็เกิดขึ้น บรรดานักการเมืองที่กรุงจาการ์ตาได้แสดงออกถึงการต่อต้านการนำของประธานาธิบดีซูการ์โน ทั้งหมดล้วนเป็นพลังในการโค่นล้มซูการ์โน เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ส่วนหนึ่งของผู้นำอาเจะห์ทั้งที่อยู่ในกรุงจาการ์ตา หรือว่าอยู่ในอาเจะห์เริ่มอึดอัดใจ ฝ่ายผู้สนับสนุนดาวุด บือเระห์ เริ่มรู้สึกล้า พวกเขารู้สึกว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่มีจุดจบ เป็นผลทำให้แต่ละคนเริ่มลงจากภูเขา พวกเขาที่อ่อนล้าและลงจากภูเขาเหล่านี้ได้จัดตั้งสภาปฏิวัติ พวกเขาอยู่ภายใต้การนำของฮาซัน ซาและห์ และยืนยันว่าได้แยกตัวออกจากลุ่มดาวุด บือเระห์ ไม่เป็นเรื่องแปลกที่สิ่งนี้ทำให้ดาวุด บือเระห์โกรธมาก เขากล่าวว่า “ไม่ผิด(ฮาลาล) สำหรับประชาชนชาวอาเจะห์ในการฆ่าฮาซัน ซาและห์” การแสดงออกของดาวุด บือเระห์นี้ต้องเข้าใจ เพราะพันธ์เอกฮาซัน ซาและห์ คือผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอิสลามอาเจะห์
ตรงกันข้าม ฮาซัน ซาและห์ มีมุมมองอื่น เขารู้สึกเศร้าที่เห็นประชาชนชาวอาเจะห์อ่อนล้าใช้ชีวิตท่ามกลางความขัดแย้ง สำหรับฮาซัน ซาและห์ แล้วจำเป็นต้องฟื้นฟูสภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมของประชาชนชาวอาเจะห์ที่พังพินาศจนทำให้เขากบอาลี ฮัชมี ผู้ว่าราชการจังหวัดอาเจะห์ต้องทำการเจรจาหลายต่อหลายครั้งกับรัฐบาลจาการ์ตา มีผลทำให้ฮาร์ดี รองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินโดเนเซียออกหนังสือ เลขที่ 1/Missi/1959 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 1959 เรื่อง การจัดตั้งจังหวัดเขตปกครองพิเศษอาเจะห์ ที่มีอำนาจอิสระในด้านการศึกษา ศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณี (9)
เป็นที่น่าเสียดาย รางวัลจากรัฐบาลส่วนกลางนี้ได้รับการตอบรับที่เย็นชาจากประชาชนส่วนใหญ่ชาวอาเจะห์ สิ่งนี้เพราะว่าขบวนการดาวุด บือเระห์แพร่ขยายและมีพลังยิ่ง ส่วนขบวนการต่อสู้กับซูการ์โนในพื้นที่ต่างๆ มีการร่วมมือยิ่งขึ้น เช่น ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1960 ทุกขบวนการที่ต่อต้านซูการ์โนได้ร่วมกันจัดตั้งเป็นกลุ่มพันธมิตร มีการประกาศจัดตั้งสหสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ผู้เป็นประธานาธิบดีคือชัฟรุดดิน ปราวีรานครา และรองประธานาธิบดีคือ เต็งกูมูฮัมหมัดดาวุด บือเระห์ ในการต่อสู้ครั้งนี้ ตามด้วยสองอดีตนายกรัฐมนตรีคือ มูฮัมหมัด นาเซร์ และ บาฮารุดดิน ฮาราฮับ ทั้งสองคนร่วมกับ ชัฟรุดดิน ปราวีรานคราได้ออกจากกรุงจาการ์ตา และได้เข้าป่าในพื้นที่จังหวัดสุมาตรา พวกเขาได้ร่วมมือกับส่วนหนึ่งของผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นในหลายพื้นที่ที่ไม่พอใจ ถึงอย่างไรก็ตามการต่อสู้ครั้งนั้นไม่อาจโค่นล้มประธานาธิบดีซูการ์โนได้ ส่วนซูการ์โนเองก็ได้ตอบโต้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่เหล่านั้นด้วยการส่งกำลังทหารกองทัพแห่งชาติอินโดเนเซียโดยผ่านปฏิบัติการ 17 สิงหาคม และปฏิบัติการเอกราช
การกดดันด้วยหลากหลายวิธีของซูการ์โนทำให้นักต่อสู้ และผู้นำของผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา และดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียเริ่มอ่อนล้า การจัดตั้งสหสาธารณรัฐอินโดเนเซียไม่อาจกระตุ้นให้พวกเขามีพลังในการต่อต้านซูการ์โนตรงกันข้ามเกิดความรู้สึกปฏิเสธ นึกถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของแต่ละฝ่ายซึ่งมีความแตกต่างและถอยหลังเข้าคลอง เป็นที่แน่ชัดว่าภายหลังจากการจัดตั้งสหสาธารณรัฐอินโดเนเซียแล้วการเจรจากันหรือว่าการพบประกันระหว่างผู้นำของผู้ปกครองที่ปฏิบัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา กับดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียไม่เคยมีขึ้นเลยไม่เหมือนก่อนหน้านั้น บรรดาผู้นำที่ต่อต้านซูการ์โนเหล่านั้นมีความจริงจังและร่วมมือกันอย่างดี
การจัดตั้งสหสาธารณรัฐอินโดเนเซียเองก็กลายเป็นตัวทำลายบรรยากาศของขบวนการแยกดินแดนเหล่านั้น ที่เป็นเรื่องตลกคือในการพบกันแบบไม่เป็นทางการของแต่ละฝ่าย ผู้นำมักปฏิเสธการทำงานร่วมกันแบบเปิดเผยของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เกิดขึ้นพื้นที่ต่างๆ จะจัดกลุ่มฝ่ายของตนเองต่างหาก เช่น สภาบันเตง, สภาฆายะห์, สภาครุฑ และอื่นๆ สิ่งนี้ทำให้ซูตัน ชาห์รีร์ ศัตรูของซูการ์โนเห็นอกเห็นใจ เขาวิเคราะห์ว่าถ้าเกิดการต่อสู้ของพื้นที่ต่างๆ ต่อซูการ์โนมีแต่เพียงจะทำให้พื้นที่ต่างๆ เหล่านั้นถูกปล่อยละเลย จนกระทั่วเมื่อสุมิโตร โยโจฮาดีกุสุมา ได้ประกาศเข้าร่วมในผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ซูตัน ชาห์รีร์ จึงสั่งให้เขาสร้างความสามัคคีขึ้นอีกครั้งในผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่เริ่มจะแตกแยกกัน (10)
สุมิโตรเห็นด้วยและตรงเดินทางไปยังเมือปาเล็มบัง, เมืองปาดัง และเมืองเบงกาลิส ปรากฏว่าขบวนการสุมิโตรนี้พบกับบรรดาผู้สนับสนุนซูการ์โน สุมิโตรจึงหนีไปยังสิงคโปร์ต่อมาไปยังเมืองไซง่อน และฟิลิปปินส์ จากที่นี้เขาได้เข้าไปยังมานาโค เพื่อพบปะกับบรรดาผู้นำเปอร์เมสตา ผลจากการล๊อบบี้และการพบปะของสุมิโตรกับบรรดาผู้นำแบ่งแยกดินแดน ดังกล่าว ในที่สุดได้มีความเห็นร่วมกันในการจัดตั้งแนวร่วมแห่งชาติ วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้มแข็งต่อสหสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่ได้จัดตั้งขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ตาม ความเห็นร่มกันครั้งนี้ไม่มีผล เพราะบรรดาผู้นำแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ปฏิเสธการเข้าร่วมของเกาะชวาในสหสาธารณรัฐอินโดเนเซีย สิ่งนี้ทำให้บรรดาผู้นำที่มาจากชวาผิดหวัง พวกเขาถึงถอยออกมา ตัวอย่างเช่น สุมิโตรได้ยืนยันลาออกจากผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ด้วยเพราะกลัวที่จะกลับไปยังเกาะชวา สุมิโตรจึงลี้ภัยไปยังต่างประเทศ เป็นเวลาถึง 10 ปี ที่เขาจำเป็นต้องย้ายจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง
ความไม่เป็นหนึ่งอันเดียวกันนี้ทำให้กำลังของซูการ์โนง่ายในการปราบการก่อกบฏดังกล่าว ยิ่งต่อมาเกิดการกระทำที่ออกนอกแนว เช่น ในปี 1959 ฐานของผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียในสุมาตรเหนือแยกออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งข้นข้างรุนแรง ต้องการให้ผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียต่อสู้ต่อไปโดยไม่มีดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียร่วมอยู่ด้วย
สำหรับกลุ่มที่สองเห็นด้วยกับการที่ดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียเข้าร่วมกัน ส่วนกลุ่มที่สามเป็นกลุ่มที่ปลงตกกับการต่อสู้เพราะเห็นว่าการต่อสู้ดังกล่าวไม่มีความหมายอีกแล้วและถูกกองกำลังซูการ์โนในปราบจนกระจัดกระจายไป
ทั้งสามกลุ่มนี้ในที่สุดก็ทำให้ผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียจบลง มีอายุค่อนข้างสั้นไม่ถึง 10 เดือน คำถามมีอยู่ว่าในเดือนเมษายน 1961 ผู้นำปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่สุมาตราเหนือที่ชื่อมาลูดิน ซิมโบโลน ได้แยกตัวออกจากผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ซิมโบโลนพร้อมผู้บัญชาการทหารคนอื่นได้จัดตั้งผู้ปกครองการทหารฉุกเฉิน การจัดตั้งของซิมโบโลนนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันโทอาหมัด ฮูเซ็น หัวหน้าสภาบันเต็ง ที่สุมาตรากลาง นายทหารหนุ่มคนนี้เป็นที่เกรงขาม เพราะในปี 1958 เขาได้ให้สัญญาณเตือนต่อรัฐบาลซูการ์โนจนต่อมาเกิดขบวนการผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียด้วยการเกิดเหตุการณ์ที่นายทหารบกหนุ่มคนนี้ ทำให้ความเข้มแข็งของผู้ปกครองที่ปฏิวัติแตกแยกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากพวกเขาได้ประกาศให้บรรดานักต่อสู้ผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา และดารุลอิสลาม / กองทัพอิสลามอินโดเนเซียยุติการต่อสู้ของพวกเขา และมอบตัวต่อรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนเซีย เพราะประธานาธิบดีซูการ์โน ออกกฎหมายฉบับ PP No. 13/1961 โดยสัญญาจะอภัยโทษพวกเขา ถ้ามอบตัวโดยไม่มีเงื่อนไขและกลับตัวสู่อ้อมกอดของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
ส่วนหนึ่งของผู้นำดารุลอิสลามที่อาเจะห์ไม่สนใจคำประกาศนั้น พวกเขายังคงต่อสู้ต่อไปและทำให้สหสาธารณรัฐอินโดเนเซียยังอยู่ต่อ แต่ในวันที่ 25 สิงหาคม 1961 ชัฟรุดดิน ปราวีรานครา ประธานาธิบดีของสหสาธารณรัฐอินโดเนเซียได้ประกาศมอบตัวที่ปาดัง ซีเดมปวน,สุมาตราเหนือ ดังนั้นขวัญกำลังใจของนักต่อสู้ดารุลอิสลามจึงแตกกระจายยิ่งกว่านั้น ชัฟรุดดินได้เรียกร้องให้บรรดาผู้สนับสนุนเขามอบตัวโดยเร็ว ชัฟรุดดินยังเรียกร้องให้ดาวุด บือเระห์รายงานตัวต่อรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนเซียโดยด่วน อย่างไรก็ตามหนังสือเรียกร้องนั้นลงวันที่ 16 สิงหาคม 1961 ไม่ได้รับความสนใจจากดาวุด บือเระห์ รวมทั้งหนังสือลงวันที่ 31 สิงหาคม และเดือนตุลาคม 1961 ก็ไม่ได้รับความสนใจเช่นกัน สิ่งที่เป็นเช่นนี้ด้วยผู้นำอาเจะห์คนนี้ค่อนข้างผิดหวังกับพฤติกรรมของมูฮัมหมัด นาเซร์ ขณะที่จะมอบตัวไม่มีการบอกข่าวคราวแก่ดาวุด บือเระห์ ในฐานะเป็นรองประธานาธิบดีสหสาธารณรัฐอินโดเนเซียเลย
เพราะฉะนั้น ดาวุด บือเระห์ จึงปล่อยให้เพื่อนๆ ของเขามอบตัวต่อซูการ์โนตรงกันข้ามเขายังคงต่อสู้โดยผ่านดารุลอิสลามที่ได้จัดตั้งขึ้นมา ภายหลังจากมูฮัมหมัด นาเซร์ และชัฟรุดดิน ปราวีรานคราได้มอบตัวกลับสู่อ้อมกอดของสาธารณรัฐอินโดเนเซียแล้ว ดาวุดบือเระห์ พร้อมเพื่อนๆ ได้ใช้ยุทธศาสตร์การต่อสู้ของเขาให้กลายเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนท้องถิ่นนิยม ถึงแม้ว่าไม่มีผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซีย / เปอร์เมสตา ให้การสนับสนุนแต่ ดาวุด บือเระห์ยังคงมั่นใจว่า สามารถต่อสู้ด้วยการปฏิวัติที่อาเจะห์โดยใช้ฐานกำลังของดารุลอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดารุลอิสลามภายใต้การนำของการ์โตโซวีร์โจที่ชวาตะวันตกยังคงต่อสู้อยู่ด้วยสงคามจรยุทธต่อรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนเซีย สิ่งเหล่านี้ได้สร้างขวัญกำลังใจแก่ดาวุด บือเระห์ให้คงอยู่ เพียงแต่การติดต่อสื่อสารและการประสานงานของกลุ่มดาวุด บือเระห์ดับดารุลอิสลามในชวาตะวันตกขาดจากกัน
การตัดขาดการติดต่อสื่อสารนี้เกิดขึ้นตั้งแต่มูฮัมหมัด นาเซร์ได้มอบตัว การตัดขาดการติดต่อสื่อสารนี้เกิดจากการกดดันด้วยหลากหลายวิธีของกองทัพแห่งชาติอินโดเนเซีย เพื่อปราบปรามการก่อกบฏดังกล่าว กองทัพแห่งชาติอินโดเนเซียสามารถสร้างรั้วกีดกั้น ด้วยการทำให้การต่อสู้ของสมาชิกดารุลอิสลามมีขอบเขตอยู่ในพื้นที่ของตนเองมีการพัฒนาของการประสานงานและสาธารณูปโภคต่อการต่อสู้ของดารุลอิสลามในระดับชาติโดยการวางแผนของรัฐบาลซูการ์โน ด้วยเหตุนี้ทำให้กำลังของขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ต้องแตกแยกและกระจัดกระจาย เช่น ดารุลอิสลามที่อาเจะห์ไม่สามารถติดต่อประสานงานและสื่อสารกับกำลังของดารุลอิสลามที่ชวาตะวันตก หรือว่าในสุลาเวซีใต้
ความอ่อนแอของขบวนการแบ่งแยกดินแดนผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียนี้เกิดจาการแย่งชิงผลประโยชน์จากกองกำลังส่วนหนึ่งที่มีภูมิหลังแตกต่างระหว่างกันและกัน มีอยู่ 3 กองกำลังที่แย่งชิงกันบ่อยครั้ง เช่น กำลังของกลุ่มสังคมนิยม,ดารุลอิสลาม และกลุ่มนายทหารหนุ่ม กำลังที่เข้มแข็งของกลุ่มนายทหารหนุ่มทำให้ผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียมีแนวโน้มจะเรียกตนเองว่าเป็นขบวนการทางการทหาร จนทำให้พวกเขามีความอ่อนแอยิ่งในทางการเมือง ส่วนการที่มีประโยชน์ท้องถิ่นนิยมได้แทรกเข้าไปในขบวนการแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว จนเกิดและขยายความรู้สึกเข้าไปในขบวนการแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว จนเกิดและขยายความรู้สึกหยิ่งยะโส ต่อมากลายเป็นตัวทำลายความเข้มแข็งของผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียในการต่อต้านการกดดันของรัฐบาลซูการ์โนหลักฐานที่ชัดเจน คือ กำลังของผู้ปกครองที่ปฏิวัติสาธารณรัฐอินโดเนเซียเกิดแตกแยกและมีความยากลำบากในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
อ้างอิง
9. Teuku Haji Ibrahim Alfian (1999) : The Acheh Question
10. สัมภาษณ์ Sumitro Djojohadikusumo ในนิตยสาร Tempo ฉบับ 5 1999 เมษายน