บทความเรื่อง ขบวนการอาเจะห์เสรี นี้จะเขียนเป็นตอนๆ โดยการแปลและเรียบเรียง จากหนังสือชื่อ Gerakan Aceh Merdeka ที่เขียนขึ้นโดย เนตา เอ็ส ปาเน
เริ่มแรกการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์
ถ้าย้อนกลับมองอดีต การเกิดกบฏที่ต่อเนื่องถึงกระบวนการแบ่งแยกดินแดนอาเจะห์เพื่อเอกราชนั้น ไม่อาจปฏิเสธถึงการมีกลุ่มที่ต่อต้านในหมู่ผู้นำอาเจะห์ การที่ดินแดนนั้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งในสาธารณรัฐอินโดเนเซีย และสนับสนุนการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซียหรือไม่ นั่นคือไม่กี่วันหลังจากประกาศเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซียของซูการ์โน-ฮัตตา กลุ่มที่ต่อต้านก็เกิดขึ้นที่อาเจะห์ 5 วันหลังจากการประกาศเอกราช นั่นคือวันที่ 22 สิงหาคม 1945 มีบรรดาผู้นำและนักต่อสู้ชาวอาเจะห์รวมตัวกันที่บ้านตือกูอับดุลลอฮฺ ยือนิบ ที่เมืองบันดาอาเจะห์ ตือกู ยัก อารีฟ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Volksraad (สภาที่จัดตั้งโดยฮอลันดาที่กรุงจาการ์ตา) ผู้มีตำแหน่งเป็น Resident ของอาเจะห์ก็เข้าร่วมในการประชุมคร้งนั้นด้วย เขาแจ้งข่าวว่าซูการ์โน-ฮัตตาได้ประกาศเอกราชประเทศสาธารณรัฐอินโดเนเซียแล้ว โดยมีดินแดนตั้งแต่ซาบัง (Sabang)ในอาเจะห์จนถึงเมอราวเก Merauke)ในอิเรียนจายา
ในโอกาสนั้นตือกูยักอารีฟได้ให้แนวคิดแก่ประชาชนชาวอาเจะห์ บรรดาผู้นำและนักต่อสู้ที่อาเจะห์ให้สนับสนุนซูการ์โน-ฮัตตา ขณะนั้นตือกูยักอารีฟถือเป็นนักการเมืองหนุ่มที่มีอิทธิพลในฐานะเป็นResidentของอาเจะห์แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียง 46 ปี แต่การนำของเขาในฐานะResidentได้รับการเคารพจากประชาชน เมื่อได้ยินคำกล่าวดังกล่าว ตือกูอับดุลลอฮฺ ยือนิบได้พูดว่า “ข้าพเจ้าสนับสนุนอะไรก็แล้วแต่ ที่ตือกู ยัก อารีฟได้ตัดสินใจ แต่ต้องสังเกตด้วยว่าญี่ปุ่นยังคงมีอำนาจเต็มที่ในอาเจะห์ นอกจากนั้นฮอลันดาและพันธมิตรของเขาได้มีอำนาจเหนือซาบัง” ทั้งหมดที่เข้าประชุมเห็นด้วยกับตือกูอับดุลลอฮฺ ซูการ์โน-ฮัตตา จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุน แต่เพื่อให้ดินแดนอาเจะห์หรือนักต่อสู้ชาวอาเจะห์ด้วยตนเอง
ตรงกับวันที่ 22 สิงหาคม 1945 มีการลงมติโดยวันรุ่งขึ้นบรรดาผู้นำชาวอาเจะห์ต้องประชุมกันที่ชูโชกัน สำนักงานResidentของอาเจะห์) เพื่อกำหนดแนวทางในการเดินต่อไป ขณะเดียวกันมีการออกหนังสือเชิญการประชุมที่ชูโชกันครั้งนั้นมีบรรดาผู้นำชาวอาเจะห์เป็นจำนวน 56 คนเข้าร่วม แต่เต็งกูมูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์ไม่ได้เข้าร่วม ประมาณเวลา 09.00 น. ตือกูยักอารีฟได้เปิดการประชุม บนโต๊ะของเขามีคัมภีร์อัล-กูรอ่าน และธงแดง-ขาว หลังจากได้เปิดการประชุมตือกูยักอารีฟได้ยืนขึ้นแล้วได้เอาคัมภีร์อัล-กูรอ่าน หลังจากนั้นได้กล่าวคำปฏิญาณตนและ “ด้วยนามของพระผู้เป็นเจ้า ข้าจะจงรักภักดีเพื่อพิทักษ์เอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซียจนหยดเลือดสุดท้านของข้า” คำสัญญาจงรักภักดีนี้ได้กล่าวขึ้นอีกครั้งโดยตือกู ฟังลีมา โปแลม มูฮัมหมัด อาลี ตามคำบอกเล่าส่วนหนึ่งที่อาเจะห์กล่าวว่า มูฮัมหมัด อาลีเป็นบุคคลแรกที่ได้ข่าวการประกาศเอกราชสาธารณรัฐอินโดเนเซียของซูการ์โน-ฮัตตา หลังจากมูฮัมหมัด อาลีผู้มีอายุ 54 ปีกล่าวคำสัญญาเสร็จ ผู้นำคนอื่นๆที่เข้าร่วมประชุมที่ชูโชกันก็เวียนกันกล่าวคำสัญญา
ประมาณเวลา 10.00 น. ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดก็ออกจากห้อง ธงแดง-ขาวก็ถูกโบกสะบัดโดยอดีตหัวหน้าตำรวจที่อาเจะห์ ซึ่งมีชื่อว่า นายฮูเซ็น นาอิม และช่วยโดยนายมูฮัมหมัด อามีน บูเกะห์ นี่คือครั้งแรกที่ธงแดง-ขาวถูกโบกที่ดินแดนแห่งระเบียงมักกะห์นี้ หลังจากนั้นมีการปฏิญาณคำสัญญาสนับสนุนสาธารณรัฐอินโดเนเซีย พร้อมโบกธงแดง-ขาวเกิดขึ้นทั้วดินแดนอาเจะห์ นับตั้งแต่นั้นบรรดาผู้นำของอาเจะห์ได้พร้อมใจกันยกตือกูยักอารีฟเป็นผู้นำของเขา หลังจากนั้นไม่นานตือกูยักอารีฟได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการคนแรกของอาเจะห์ แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนชนชาวอาเจะห์ทุกคนมีความเหมือนที่แสดงออกโดยบรรดาผูนำชาวอาเจะห์ที่เข้าประชุมที่สำนักงานของResident ส่วนน้อยของชาวอาเจะห์เห็นว่าเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซียทำให้พวกเขาขาดทุน ความคิดนี้ส่วนใหญ่มาจากบรรดาขุนนาง (hulubalang)ที่กระหายอำนาจ พวกเขาหวังว่าด้วยการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่2 ประเทศญี่ปุ่นจะถอยออกจากอาเจะห์ ด้วยประการดังกล่าวพวกเขาจะเป็นผู้ปกครองในดินแดนอาเจะห์ไม่ใช่ซูการ์โน-ฮัตตาในนามของประชาชนชาวอินโดเนเซียที่ได้ประกาศเอกราชแล้ว บรรดาขุนนางเหล่านี้มั่นใจว่าอำนาจนั้นสามรถมีได้โดยความช่วยเหลือจากฮอลันดา นั้นหมายความว่าตลอดการยึดครองของญี่ปุ่น พวกเขามีความใกล้ชิดกับบรรดาหน่วยราชการการลับของฮอลันดา หนึ่งในตระกูลขุนนางที่ต่อต้านการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย คือ ตือกู มูฮัมหมัด ดาวุด จุมบอก ซึ่งเกิดที่หมู่บ้านจุมบอก ตือกู มูฮัมหมัด ดาวุด จุมบอกเป็นผู้ชายที่แข็งกร้าว มีความเด็ดขาด ห้ามคนหนุ่มอาเจะห์โบกธงแดง-ขาว ในวันที่ 15 กันยายน 1945 เขาส่งตัวแทนไปพบเจ้าหน้าที่ที่ถูกญี่ปุ่นกักตัวที่รันเตาปราฟาท,สุมาตราเหนือ เพื่อให้เข้ามายังอาเจะห์ อย่างไรก็ตามการต่อสู้ของตือกู มูฮัมหมัด ดาวุด จุมบอกในการต่อต้านเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่อาเจะห์ล้มเหลวกลางทาง เพราะนักต่อสู้เอกราชสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่อาเจะห์อยู้ภายใต้การนำของซามาอุน กาฮารูได้ปฏิบัติการจู่โจมไปยังฐานที่มั่นของตือกู มูฮัมหมัด ดาวุด จุมบอก ในประวัติศาสตร์อาเจะห์ได้เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเหตุการณ์จุมบอก(1)
ส่วมหนึ่งของผู้นำอาเจะห์เห็นว่าความจริงแล้วสงครามจุมบอกเป็นสงครามระหว่างนักปราชญ์ศาสนากับบรรดาขุนนาง กลุ่มคนทั้งสองกลุ่มในสังคมอาเจะห์นี้มีความขัดแย้งกันตั้งแต่สมัยยุคอาณานิคมฮอลันดา เหล่าขุนนางนี้มักถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายการต่อสู้ของนักปราชญ์ศาสนาและนักต่อสู้ชาวอาเจะห์ในการต่อต้านเจ้าอาณานิคมฮอลันดา ภูมิหลังนี้ทำให้สงครามจุมบอกกลายเป็นสงครามใหญ่ ซึ่งส่วนหนึ่งของผู้นำอาเจะห์เรียกว่าสงครามระหว่างพี่น้องที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อาเจะห์ (2)
สงครามดังกล่าวสามารถยุติลงในปลายปี 1946 ในการปราบอิทธิพลและกดดันต่อบรรดาขุนนางหรือผู้สนับสนุนตือกู มูฮัมหมัด ดาวุด จุมบอกนั้น ผู้นำนักต่อสู้ชาวอาเจะห์ที่ชื่อว่ามูฮัมหมัด นูร์ เอล-อิบราฮิมได้นำกองกำลังจำนวน 1,000 คนจากอาเจะห์เหนือและปีดีไปยังพื้นที่บีรึน,อาเจะห์เหนือ วัตถุประสงค์คือเพื่อจู่โจมฐานที่มั่นใหญ่ของกลุ่มจุมบอก พื้นที่บีรึนได้กลายเป็นฐานที่มั่นใหญ่ของบรรดาผู้นำหรือกลุ่มจุมบอก ในการปะทะกันที่ฐานที่มั่นใหญ่นั้น กลุ่มจุมบอกมีการต่อต้านการจู่โจมของนักต่อสู้ชาวอาเจะห์ที่สนับสนุนการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย
ในการประทะด้วยกำลังอาวุธเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มกาฮารูกับกลุ่มขุนนางดาวุด จุมบอก ในปี 1946 กลุ่มศักดินานั้นในที่สุดก็แตกสลาย มีการคาดว่าผู้เสียชีวิตจากสงครามจุมบอกมีประมาณ 1,500 คน (3) ส่วนใหญ่ของผู้เสียชีวิตเป็นสมาชิกของกลุ่มจุมบอก รวมทั้งตือกู มูฮัมหมัด ดาวุด จุมบอกด้วย นี้คือประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นสำหรับเหล่าบรรดาขุนนางที่อาเจะห์
เหตุการณ์จุมบอกเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ที่ยาวนานศักดินาขุนนางในดินแดนที่อยู่ปลายสุดของเกาะสุมาตรา อย่างไรก็ตามเหตุการณ์จุมบอกสามารถกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์แรกเริ่มสำหรับการต่อสู้ที่ยาวนานของประชาชนชาวอะเจะห์ที่มีต่อสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ถ้าจะให้ชัดก็คือมีความเหมือนระหว่างขุนนางจุมบอกกับขบวนการอาเจะห์เสรี อย่างน้อยก็สามารถเห็นถึงภูมิศาสตร์ของการต่อสู้ของพวกเขา ฐานที่มั่นของขุนนางจุมบอกคือพื้นที่บริเวณบีรึน เฉกเช่นเดียวกับขบวนการอาเจะห์เสรี เริ่มฐานที่มั่นตั้งอยู่ในเขตปีดี ภายหลังจากนายฮาซัน ตีโรออกไปยังต่างประเทศ ฐานที่มั่นของขบวนการอาเจะห์เสรีย้ายไปยังพื้นที่บีรึน แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่หนักแน่นว่าบรรดาลูกหลานตระกูลดาวุด จุมบอก หรือบรรดาขุนนางคนอื่นเข้าร่วมในการต่อสู้ของขบวนการอาเจะห์เสรี (ต่อ)
อ้างอิง
1. M. Nur
El Ibrahimy.1982. Tgk. M.
Daud Beureueh Peranannya
dalam pergolakan di
Aceh. Jakarta : Gunung Agung
2. สัมภาษณ์ H. M. Nur
El Ibrahimy, Tempo 26 ธันวาคม 1999
3. นิตยสาร
Tajuk, 23 ธันวาคม 1998