Sabtu, 26 Februari 2011

การเข้ารับศาสนาอิสลามของเจ้าเมืองแห่งปัตตานี

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน

หนังสือตามประวัติศาสตร์ที่ชื่อหนังสือตำนานปัตตานี ได้กล่าวถึงการเข้ารับศาสนาของกษัตริย์ปัตตานีที่ชื่อว่า พญาตูนักพา ซึ่งข้อสรุปเนื้อหาดังต่อไปนี้

เมื่อพญาตูนักพาได้สร้างเมืองปาตานี ได้เวลานานพอควร ปรากฏว่า พญาตูนักพา เป็นโรคผิวเนื้อแตกทั่วทั้งร่าง บรรดาหมอต่างๆไม่สามารถรักษาให้หายจากโรคได้ พระองค์จึงสั่งให้ขุนนางไปประกาศหาหมอมารักษาพระองค์ โดยประกาศว่าถ้าผู้ไดสามารถรักษาให้พระองค์หายจากโรคดังกล่าวได้ จะให้เป็นเขยของพระองค์ ผู้ตีฆ้องได้เดินประกาศไปทั่วปาตานี เมื่อคนตีฆ้องผ่านชุมชนหมู่บ้านปาไซ ขณะนั้นมีชาวบ้านปาไซ ชื่อว่าเชคซาอิด เมื่อเขาได้ยินคำประกาศนั้น เขาจึงยืนอยู่ปากทางหมู่บ้าน และได้ถามคนตีฆ้องว่า “ ท่านตีฆ้องทำไม ” ผู้ตีฆ้องตอบว่า “ ท่านไม่ทราบหรือว่ากษัตริย์ของรัฐนี้ เป็นโรคผิวเนื้อแตกทั่วทั้งร่างบรรดาหมอได้รักษาแต่ไม่หายจากโรคดังกล่าว ไม่เพียงไม่หายเท่านั้น แต่ยังยิ่งเจ็บอีกด้วย

ด้วยกระนั้นกษัตริย์จึงป่าวประกาศ ผู้ใดสามารถรักษาพระองค์ได้จะยกให้เป็นบุตรเขย ” เชคซาอิดจึงตอบไปว่า “ กลับไปบอกกษัตริย์เถิด การจะให้เป็นบุตรเขยนั้นข้าไม่ต้องการ แต่ถ้ากษัตริย์จะเข้ารับอิสลาม ข้าจะเป็นผู้รักษากษัตริย์จากโรคนั้น” เมื่อผู้ตีฆ้องได้รับฟังเช่นนั้น จึงกลับไปบอกขุนนางตามที่เชคซาอิดได้กล่าวไว้ ต่อมากษัตริย์จึงเรียกเชคซาอิดไปเข้าเฝ้า กษัตริย์จึงถาม เชคซาอิดว่า “ จริงหรือที่ท่านจะรักษาโรคของข้า ” เชคซาอิดจึงตอบว่า “ ถ้ากษัตริย์จะเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ข้าพระองค์จะรักษาโรคของพระองค์ ” เมื่อกษัตริย์รับสัญญาของเชคซาอิดแล้ว เชคซาอิดก็ได้ทำการรักษาเป็นเวลา 7 วัน จนกษัตริย์ออกว่าราชการได้ หลังจากนั้นเชคซาอิดจึงเดินทางกลับหมู่บ้านปาไซ ไม่กี่วันจากนั้นกษัตริย์ก็หายจากโรคผิวเนื้อแตก ดังนั้นกษัตริย์จึงบิดพลิ้วสัญญาที่ทำไว้ กับ เชคซาอิด

ภาพเก่าสุสานเชคซาอิด อัลบาซีซา

หลังจากนั้นเป็นเวลา 2 ปีกษัตริย์ปัตตานีก็เป็นโรคผิวเนื้อแตกอีกครั้ง ในครั้งนี้กษัตริย์ได้เรียกเชคซาอิด มาทำการรักษาพระองค์อีกครั้ง เมื่อเชคซาอิด ได้เขาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ได้ตรัสว่า “ ท่านจงรักษาโรคของข้าเถิด ถ้าโรคหายในครั้งนี้ ข้าจะไม่บิดพลิ้วสัญญาที่ให้กับท่านอีก ” เมื่อกษัตริย์ได้ให้คำสัญญาแล้ว เชคซาอิดจึงทำการรักษาเป็นเวลา 5 วันหลังจากนั้นเชคซาอิดจึงขออนุญาตเดินทางกลับหมู่บ้านปาไซ ถัดจากนั้นประมาณ 15 วัน โรคของกษัตริย์ก็หาย และ ปรากฏว่ากษัตริย์ได้บิดพลิ้วสัญญาที่ทำไว้ กับ เชคซาอิดอีกครั้ง

ประมาณ 1 ปีหลังจากนั้นกษัตริย์ปัตตานีก็เป็นโรคผิวเนื้อแตกอีกครั้ง และเจ็บยิ่งกว่าครั้งก่อนอีกเชคซาอิด ได้เขาเฝ้ากษัตริย์ อีกครั้ง เชคซาอิดได้บอกกับข้าบริวารที่มาเฝ้าว่า “ ไปบอกกษัตริย์เถิดว่าข้าจะไม่ไปรักษาพระองค์อีก ด้วยพระองค์ไม่ทำตามสัญญา ” ข้าบริวารผู้นั้นจงกลับไปแจ้งต่อกษัตริย์ กษัตริย์จึงตรัสว่า “ จงไปบอกคนปาไซผู้นั้นว่าถ้าโรคของข้าหายในครั้งนี้ข้าจะไม่บิดพลิ้วคำสัญญา กับ เขา ด้วยพระพุทธรูปที่ข้ากราบไว้นี้ ถ้าข้า บิดพริ้วคำสัญญาจงอย่าให้โรคนี้ หายตลอดไป ” ข้าบริวารจึงได้บอกแก่เชควาอิดตามที่กษัตริย์บอกไปให้คำสัญญา ดังนั้นเชคซาอิดจึงกล่าวว่า “ ขอให้พระพุทธรูปของกษัตริย์จงเป็นพยาน ถ้ามีการบิดพลิ้วข้าจะไม่รักษากษัตริย์องค์นั้น ” เมื่อเชคซาอิดได้เข้าเฝ้ากษัตริย์แล้ว กษัตริย์แห่งปัตตานีจึงตรัสว่า “ จงรักษาโรคของข้าเถิดเมื่อหายแล้ว ข้าจะไม่บิดพลิ้วคำสัญญากับท่านอีก ” เชคซาอิดจึงตอบว่า “ ข้าพระองค์จะรักษาโรคของพระองค์ เมื่อหายแล้วท่านยังไม่นับถือศาสนาอิสลาม แล้วปรากฏว่าพระองค์เกิดเป็นโรคนี้อีก จะนำข้าพระองค์ไปฆ่า ข้าพระองค์ก็จะยอม” เมื่อกษัตริย์รับคำสัญญาแล้ว เชคซาอิดจึงทำการรักษาเป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นเชคซาอิดจึงขออนุญาตเดินทางกลับหมู่ปาไซ ต่อมาเป็นเวลา 20 วัน กษัตริย์แห่งปัตตานี จึงหายจากโรคผิวเนื้อแตก

นักศึกษาลงภาคสนามที่บริเวณสุสานเชคซาอิด อัลบาซีซา

สภาพปัจจุบันของสุสานเชคซาอิด อัลบาซีซา

สภาพปัจจุบันของสุสานเชคซาอิด อัลบาซีซา

นักศึกษาลงภาคสนามที่บริเวณสุสานเชคซาอิด อัลบาซีซา

ถัดมาอีก 1 เดือน กษัตริย์จึงปรึกษากับบรรดาเหล่าขุนนาง ถึงการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อบรรดาขุนนางเห็นชอบด้วย ในวันรุ่งขึ้น กษัตริย์ให้เรียกเชคซาอิดให้เข้าเฝ้า และเชคซาอิด ได้สอนคำปฏิญาณตน การประกาศตัวว่าเป็นมุสลิม แก่ กษัตริย์ปัตตานี ต่อมาได้สอนคำปฏิญาณตนแก่บรรดาขุนนางทั้งหลาย ของกษัตริย์ปัตตานี และเชควาอิดได้ตั้งชื่อ “ สุลต่านอิสมาแอลซาห์ซีลุลลอฮ ฟีล อาลาม” แก่ กษัตริย์ปัตตานี ผู้มีนามเดิมว่า พญาตูนักพา ”และ เชคซาอิดได้ตั้งชื่อแก่บุตรของสุลต่านว่าอิสมาแอล ชาร์ โดยบุตรคนโตชื่อว่า “ มูซาฟาร์ซาห์” บุตรสาว ได้รับการตั้งชื่อว่า ซีตีอาอีซะห์ ส่วนบุตรชายคนเล็กได้รับการตั้งชื่อว่า “ สุลต่านมันซูร์ ชาห์ ” หลังจากนั้นเชคซาอิดจึงได้เดินทางกลับยังหมู่บ้านปาไซ