Ekonomi/Bisnis
- Halaman Pertama
- About us
- Activities
- Enterprenuership
- Scholarship
- Agriculture
- Tourism
- Education/Development
- NSC Malay Studies Library
- Community Development
- Advisers of NSC
- NSC Kelantan Library
- Staff of NSC
- NSC Malayo-Polynesia library
- Rumah Nusantara II
- Nusantara Studies Institute
- Think Tank
- Rumah Nusantara
- Nusantara Innovation
Ahad, 30 Mac 2025
Jumaat, 28 Mac 2025
เมื่ออัลกุรอ่านจากประเทศในอัฟริกา เดินทางมาสู่บ้านนูซันตารา
ในเดือนถือศีลอดที่กำลังเริ่มต้น
ผู้เขียนต้องเดินทางไปเป็นเพื่อนลูกชายที่กำลังจะสอบในสาขาวิชาการตลาด
ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และในช่วงที่สอบเสร็จก่อนกลับบ้านหนึ่ง
ได้แวะไปยังชุมชนมุสลิมที่ปากลัด พระประแดง สมุทรปราการ
โดยติดต่อประสานกับคุณสมเดช หรือคุณอับดุลกาเดร์ มัสแหละ และทางคุณอับดุลกาเดร์
มัสแหละ ได้เขียนลงเฟสบุ๊ค ซึ่งมีข้อความดังต่อนี้
ช่วงกำลังสับสนอลหมาน...กับอัลกุรอ่านเขียนด้วยมือ...
ช่วงที่ต้องย้ายที่อยู่แบบด่วนจี๋ไปอยู่ที่คลองสวน
บอกตรงๆว่าเป็นเหตุการณ์ที่แทบตั้งตัวไม่ได้ เจอบททดสอบทั้งความเป็นอยู่
ทั้งเรื่อง "เฆบ" เรียกว่าเซแทบเอาไม่อยู่...ช่วงนั้นผมได้รับคำแนะนำชี้แนะ
จากผู้รู้ให้อามัล โดยอ่านโองการอัลกุรอ่าน ซูเราะฮ์ที่ยาวไม่น้อย
ต้องทำหลังละหมาดใดละหมาดหนึ่ง 41
วัน ผมจึงเลือกหลังละหมาดอีชาอฺ หากขาดวันใด จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่...โห้
งานหนักเลย ที่แรกก็ไม่คิดจะทำได้ แต่ด้วยชีวิตที่เจอมรสุมทุกอย่างแบบพร้อมๆกัน
จึงตั้งเจตนาว่าต้องทำ...โดยเรื่มต้นวันที่ 1 ชะอฺบาน
ตั้งใจให้จบในสิบวันแรกของรอมะฎอน...แต่เมื่อจะเข้ารอมะฎอน ได้รับโทรศัพท์จาก
อ.ฆอซาลี ว่าอยากจะมอบอัลกุรอ่าน ที่เขียนด้วยมือเล่มหนึ่งให้ผม ...
ผมจำได้ว่า
อัลกุรอ่านเล่มดังกล่าวมาถึงผมแบบเกินความคาดหมาย มาถึงภายในคืนเดี่ยว
ถึงวันพฤหัสเย็น วันที่ 3 รอมะฎอน
และจำได้ว่าช่วงตื่นกินข้าวซาโฮร์ ผมได้พบเจอเรื่องตื่นเต้น
ต้องไปหาอ่านเอาเองนะครับ (อามัลอัลกุรอ่าน)...
ตอนที่ได้รับอัลกุรอ่าน ผมก็ยังสับสนกับคำพูดของ อ.ฆอซาลี ที่บอกว่าอยู่กับจูจะมีประโยชน์กว่า ผมนึกไม่ออกว่าจะมีประโยชน์อะไร จนมาถึงระยะหลังๆเริ่มจะเห็นภาพ ยิ่งช่วงที่ อาจารย์นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน ขึ้นมากรุงเทพฯ (ช่วงรอมะฎอนด้วย) ผมถือว่า อัลกุอ่านเล่มนี้ กำลังจะถูกไข คำว่าประโยชน์ออกแล้ว และผมได้ให้อัลกุรอ่านเล่มนี้ ให้ท่านนำไปศึกษาข้อมูลต่อไป แล้วค่อยเอามาคืน... อาจารย์นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน เล่าว่า จะถ่ายบางหน้าส่งไปทาง British Library London และ Manassa อินโดเนเซีย ซึ่งก็จะได้รายละเอียดมากขึ้น ที่นึกเรื่องแบบนี้ได้ ก็เพราะเดือนรอมะฎอนเป็นเดือนแห่งอัลกุรอ่าน และมันกำลังจะจากเราไปแล้ว...
และต่อมาทางผู้เชี่ยวชาญอัลกุรอ่านจากพิพิธภัณฑ์ Bayt Al Quran dan Museum Istiqlal จากประเทศอินโดเนเซีย
ได้แจ้งว่าอัลกุรอ่านเล่มนี้มาจากอัฟริกา และบอกว่า น่าจะศตวรรษที่ 19 และส่งภาพบางหน้าไปให้ทาง British Library กรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ
คำตอบที่ได้รับจาก ดร. แอนนาเบล แกลล๊อป แห่ง British Library คือ
เป็นอัลกุรอ่านจากประเทศในอัฟริกา
ไม่แน่ใจว่าจะเป็นจากประเทศไนจีเรียหรือประเทศกานา แต่อยู่ในประเทศบริเวณนั้น
ในบริเวณนั้นจะมีธรรมเนียมการเขียนอัลกุรอ่านที่จะไม่เย็บเล่ม
แต่จะเก็บไว้ในกระเป๋าหนัง อายุของอัลกุรอ่าน น่าจะอยู่ช่วงศตวรรษที่ 18-19 สำหรับทาง ดร. อาลี อักบาร์ ซึ่งเป็นสมาชิกของ Manassa หรือสมาคมศึกษาเอกสารโบราณของอินโดเนเซีย แจ้งมาว่า น่าจะศตวรรษที่ 19 และคงมีการศึกษาต่อไป และดร. แอนนาเบล แกลล๊อป
ได้ลิงค์บทความที่เขียนถึงอัลกุรอ่านที่สันนิฐานว่า มาจาภาคเหนือของไนจีเรีย
https://www.metmuseum.org/art/collection/search/823282
ประมวลภาพตอนที่เดินทางไปเยี่ยมศูนย์มุสลิม-มลายูชุมชนปากลัด
อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
Ahad, 23 Mac 2025
Rabu, 19 Mac 2025
มาเยือนถิ่นเก่าเก่ารามคำแหง
โดยนิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ช่วงนี้เป็นช่วงสอบของนักศึกษารามคำแหง
เลยถูกครอบครัวให้มาเป็นเพื่อนลูกชายที่เพิ่งสมัครเรียนเทอม 2 ของสาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แม้จะเคยมาตอนเด็กๆ แต่พอโตมาเรียกได้มาไม่เคยมาเลย
จึงต้องมาเป็นเพื่อน
หลังจากที่เรียนมาในสาขาเดียวกันที่มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ มนร.
ทางครอบครังเห็นว่า ต้องสร้างเด็กให้แกร่งขึ้นมากกว่าที่จะเรียนอยู่ในพื้นที่
จึงตกลงให้มาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ให้กลับมาอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านนราธิวาส
ช่วยดูแลผู้เขียนด้วยผู้เขียนมีปัญหาสุขภาพ จากเป็นโรคเส้นสมองตีบ เมื่อการสอบเทอม
2 นี้เป็นครั้งแรกที่ลูกชายต้องมาสอบ
ทางครอบครัวจึงให้ผู้เขียนมาเป็นเพื่อน การมาสัมผัสรามคำแหงของผู้เขียนครั้งนี้ ทำให้นึกถึงอดีตของผู้เขียนในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง
มหาวิทยาลับรามคำแหงไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ และในประเทศไทย
แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ให้ประสบการณ์ชีวิต โดยเฉพาะประสบการณ์จากกิจกรรมนักศึกษา
ประสบการณ์การสร้างเครือข่าย
ซึ่งเครือข่ายเหล่านั้นนับตั้งแต่ในสมัยมหาวิทยาลัยยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบัน และสองสามปีสุดท้ายก่อนจบ ผู้เขียนก็ได้พักที่บ้านของคุณพิศูจน์
หะยีดิน นักการทูตจากกระทรวงต่างประเทศที่ชำนาญด้านตะวันออกกลาง ด้วยจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งไคโร
ประเทศอิยิปต์ ท่านเป็นลูกศิษย์ของนายโคฟี อานัน เลขาธิการสหประชาชาติ คุณพิศูจน์ หะยีดิน เคยเป็นกงสุลใหญ่ของไทย
ประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เคยเป็นกงสุลใหญ่ของไทย ประจำเมืองเจดดะห์
ซาอุดีอาราเบีย เคยเป็นอุปทูตไทยประจำประเทศโอมาน
และตำแหน่งสุดท้ายเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีต่างประเทศในสมัย ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์
เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ ด้วยได้อาศัยคุณพิศูจน์ หะยีดิน ทำให้ได้รับอิทธิพลโดยไม่รู้ตัว
ได้เรื่องรู้เรื่องการต่างประทศทั้งจากหนังสือ จากพูดคุย และได้พบปะเพื่อนนักศึกษาจากต่างประเทศ
ทำให้ในการทำกิจกรรมนักศึกษา จะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบด้านต่างประเทศไปด้วย
มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นเป้าหมายเดียวของพวกเราที่มาจากสามจังหวัดชายแดนใต้
ในฐานะที่จะเป็นบ้านของพวกเราทั้งที่สอบเอนทรานส์เข้ามหาวิทยาลัยรัฐไม่ติดและไม่ได้สอบเอนทรานส์
สำหรับผู้เขียนอยู่ในประเภทหลังคือไม่ได้สอบเอนทรานส์ ด้วยคิดว่าถึงจะสอบเอนทรานส์ ก็คงสอบเอนทรานส์ เข้ามหาวิทยาลัยใดๆไม่ได้ ทั้งที่คุณพ่อมักพูดเสมอถึงท่านปรีดี พรหมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
หรือในปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ได้
แต่มักเข้าร่วมงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสมอ จากงานเสวนา ร่วมทั้งงานของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
และสมาพันธ์นักศึกษาเอเชีย หรือ Asian Student Association (ASA) และในเวลาต่อมา
ลูกสาวก็สามารถเข้าศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนจบออกมาเป็นนักโปรแกรมเมอร์ของบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ถึงตัวเองจะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีคนในครอบครัวเข้าเรียนแล้ว
ครั้งแรกที่รู้จักชื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ในสมัยผู้เขียนเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปดูมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ซึ่งมีเพื่อนรุ่นพี่ นายซอลและห์ ชาวอำเภอเดียวกันกับผู้เขียนเรียนอยู่
ในสมัยที่ถนนหน้ามหาวิทยาลัยยังเป็นดินแดง อยู่ระหว่างสร้างถนนลาดยาง และเมื่อผู้เขียนเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผู้เขียนได้รู้จักสองนักกิจกรรมนักศึกษาที่มาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ
คุณมันโซร์ สาและ
ซึ่งเป็นคนอำเภอเดียวกันกับผู้เขียน และอีกคนคือ คุณณรงค์ ดูดิง เป็นชาวจังหวัดยะลา
เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดยะลา พรรคประชาธิปัตย์
ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เขียนค่อนข้างจะสนใจกิจกรรม จนเรียกว่าเป็นนักกิจกรรม บ้ากิจกรรมจนเสพติดขึ้นสมอง ทุกวันจะต้องมาที่ตึกกิจกรรมนักศึกษา ตึกที่นักศึกษาเรียกว่าตึกแสง เพื่อรำลึกถึงนายแสง รุ่งนิรันดรกุล นักศึกษารามคำแหงที่เป็น 1 ใน 9 นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ถูกลบชื่อ นักเขียนหนังสือการเมือง ภายหลังถูกฆ่าเสียชีวิต ชื่อนี้ไม่ใช้ชื่อที่เป็นทางการของตึกกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัย พอเปลี่ยนยุคสมัย คำว่า ตึกแสงก็คงจะไม่มี เสียดายไม่ได้ถามนักศึกษา ผู้เขียนต้องตกใจ ประหลาดใจเมื่อเดินไปตามชมรมต่างๆบนชั้นสาม ชั้นสี่ แทบจะร้าง ไม่มีนักศึกษามาทำกิจกรรม กะจะให้ลูกชายสมัครเป็นสมาชิกชมรมการตลาด สอบถามนักศึกษาได้ความว่า ตั้งแต่หลังโควิด 19 นักศึกษามาทำกิจกรรมน้อยลง เดินแวะเข้าชมรมนักศึกษามุสลิมรามคำแหง ก็นั่งคุยกับน้องๆ น่าจะเรียกรุ่นลูกๆมากกว่า ก็ได้ความว่า โครงการของชมรมมุสลิมมีลดลง ถามว่า มีโครงการพิมพ์หนังสือศาสนาไหม เพราะในสมัยก่อนจะมีการพิมพ์หนังสือศาสนาเพื่อแจกจ่าย นอกจากเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ศาสนาแล้ว ยังสร้างชื่อให้ชมรมมุสลิมอีกด้วย บอกน้องนักศึกษาว่า ผู้เขียนเคยรับตำแหน่งเป็นกรรมการกลางชมรมมุสลิม ซึ่งตำแหน่งนี้มี 3 คน ทำหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมฝ่ายวิชาการ กรรมการกลางชมรมมุสลิมรุ่นเดียวกันกับผู้เขียน มีนายนกเอี้ยง หรือ นายมูฮัมหมัด ส่าเหล็ม นักเขียนบทกวีชื่อดัง นายฮารุน ยีหมัด นักวิชาการมุสลิมชื่อดัง มีกรรมการที่พอจำเ เช่น นายสมาน งามโขนง นักจัดรายการวิทยุมุสลิมชื่อดัง ข้อดีของชมรมนักศึกษามุสลิม จะเป็นที่หลอมรวมของนักศึกษามุสลิมจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งมาจากจังหวัดต่างๆ ข้อดีของการร่วมกิจกรรมกับชมรมนักศึกษามุสลิม ทำให้มีเพื่อนมุสลิมจากสถานที่ต่างๆ ไม่จำกัดอยู่เพียงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผู้เขียนมีถิ่นฐานกำเนิด ซึ่งสิ่งนี้มีส่วนทำให้ลดดีกรีความเป็นภูมิภาคนิยม
เมื่อผู้เขียนลงมาจากชมรมนักศึกษามุสลิม ชั้นสามตึกกิจกรรมนักศึกษา มายังชั้นสอง เจอป้ายทำเนียบรายชื่อประธานสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง อ่านชื่อก็รู้จักหลายคน เช่น นายแวมาหะมะ จินาแว ชาวอำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส อดีตสมาชิกสภาจังหวัดนราธิวาส เขตอำเภอยี่งอ ผู้เขียนเคยเป็นสมาชิกสภานักศึกษา พรรคนักศึกษา 7 คณะ ปัจจุบันพรรคนักศึกษานี้น่าจะสลายไปแล้ว ซึ่งเป็นพรรคนักศึกษาที่ชนะเลือกตั้งมาหลายสมัย นอกจากเป็นสมาชิกสภานักศึกษาแล้ว ยังมาทำรับตำแหน่งเป็นฝ่ายวิชาการของสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง การที่ต้องมารับตำแหน่งฝ่ายวิชาการ ทำให้ผู้เขียนต้องตัดหนังสือพิมพ์ หรือที่เรียกว่า clipping เกือบจะทุกวัน ตัดข่าวต่างๆ บทความสำคัญ ทำมาเป็นเวลานาน จนทำให้การตัดหนังสือติดจนเป็นนิสัยถึงปัจจุบัน เจอข่าว เจอบทความดีๆ เป็นต้องตัดเป็น clipping ด้วยสมาชิกสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง(สมร.) กับองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง (อศ.มร.) มาจากพรรคเดียวกัน ทำให้มีเพื่อนที่สนิทจนถึงปัจจุบันหลายคน หลายคนก็ห่างเหินไม่พบกันเคย แต่ก็ติดตามข่าวคราวเสมอ เช่น สายองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง (อศ.มร.) มีนายเทพไท เสนพงศ์ นักการเมืองอดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช เจ้าของสายล่อฟ้า นายสุพจ จริงจิต รองนายก อศ.มร. เคยเป็นนักข่าวเครือผู้จัดการของคุณสุทธิ ลิ้มทองกุล อีกคนคือนายบุญเลิศ กิตติธรกุล อดีตนายก อศ.มร. ปัจจุบันผู้บริหารโรงแรมหนึ่ง น่าจะของครอบครัวบนเกาะพีพี จังหวัดกระบี่ นายสมเสือ สุวรรณนิมิตร ผู้มาในโควต้าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับหน้าที่เป็นฝ่ายสวัดิการ เมื่อมหาวิทยาลัยมีการแจกจ่ายโต๊ะให้นักศึกษา นายสมเสือ สุวรรณนิมิตรรก็รับผิดชอบแจกโต๊ะ โต๊ะส่วนหนึ่งก็แจกให้นักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนสายสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง(สมร.) มีนายละม้าย แสนขวัญแก้ว อดีตประธานสภานักศึกษา เคยเป็นอดีตสมาชิกสภาจังหวัด หรือ สจ. เขตอำเภอหัวไทร นครศรีธรรมราช และอดีตรองนายก อบจ. นครศรีธรรมราช นายประจักษ์ มะวงศ์สา อดีตรองประธานสภา เป็นอดีตบรรณาธิการนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ ซึ่งผู้เขียนเคยเป็นคอลัมนิสต์อิสระให้ โดยเขียนข่าวต่างประเทศ นายสมชาย เมฆาอภิรักษ์ อดีตรองนายกเทศมนตรีนครสงขลา ที่จำอีกคนที่เป็นอดีตสมาชิกสถานักศึกษา นักพูดคนหนึ่ง คือ นายคราศรี ปัจจุบันเป็นทนายความแห่งจังหวัดสุรินทร์
สิ่งหนึ่งที่นายสมเสือ สุวรรณนิมิตร ฝ่ายสวัสดิการ อศ.มร.
ยังจำจนถึงปัจจุบัน คือ ในสมัยที่นายเบนิกโน อากีโน จูเนียร์ (ค.ศ. 1932—1983)
หรือ นินอย อากีโน อดีตวุฒิสมาชิก ผู้นำฝ่ายค้านของฟิลิปปินส์ ผู้เป็นสามีของนางคอราซอน
อากี อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ถูกลอบสังหารที่สนามบินในปี ค.ศ. 1983 ผู้เขียนได้ร่วมกันร่างโทรเลขประณามการสังหารดังกล่าว
โดยฉบับหนึ่งส่งถึงประธานาธิบดีฟอร์ดินัน มาร์คอส และอีกฉบับหนึ่งส่งถึงนายพล ฟาเบียน
แวร์ (Fabian Crisologo Ver) ผู้นำการทหารของฟิลิปปินส์ โดยผู้เขียนน่าจะกับนายสมเสือ สุวรรณนิมิตร ได้ไปส่งโทรเลขที่ไปรษณีย์รามคำแหง
ผู้เขียนได้เก็บรักษาใบส่งโทรเลขข้างต้น
พร้อมตัดเก็บข่าวที่ออกในข่าวรามคำแหงเป็นเวลาหลายสิบปีจนปัจจุบันไม่รู้หายไปไหน
เป็นการส่งโทรเลขประนามประธานาธิบดีฟอร์ดินัน มาร์คอสในนามขององค์การนักศึกษา (อศ.มร.) และสภานักศึกษา (สมร.) รู้ว่าส่งโทรเลขไปแล้ว
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์
การร่วมกิจกรรมกับองค์การนักศึกษา (อศ.มร.) และสภานักศึกษา (สมร.) ทำให้ได้รับประสบการณ์มากมาย และสามารถนำประสบการณ์และประยุคใช้ในอนาคต ซึ่งเมื่อผู้เขียนมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้เขียนก็นำประสบการณ์เหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ ในครั้งหนึ่งคณะกรรมการสภานักศึกษาได้มีการประชุม แนะว่าจะมีรุ่นพี่มาเป็นที่ปรึกษาสภานักศึกษา (สมร.) เป็นสองนักศึกษารามคำแหงที่เพิ่งออกจากป่า ภายหลังจากป่าแตก คนแรกคือ คุณสมคาด สืบตะกูล ส่วนคนที่สองคือ คุณพินิจ จารุสมบัติ สำหรับคุณพินิจ จารุสมบัติ เข้าทำงานช่วยคุณบุญชู โรจนเสถียร อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลายสมัย เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ได้รับการยกย่องให้เป็น "ซาร์เศรษฐกิจ" มีใครคนหนึ่ง หรือผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจ ถามตรงไปว่า พี่ครับ ทำไมพี่ทำงานกับนายทุน คำตอบที่ได้รับคือ ยังก้องอยู่ในหูผู้เขียนจนถึงปัจจุบัน คำตอบทำนอง นายบุญชู โรจนเสถียร เป็นนายทุนที่จะช่วยคนจน ภายหลังคุณพินิจ จารุสมบัติ เคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สุจินดา คราประยูร) อดีตหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ปัจจุบันเป็นแกนนำกลุ่มวังพญานาค พรรคชาติพัฒนา ส่วนคุณสมคาด สืบตระกูล ภายหลังเคยเป็นอดีตเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ยุคนายพิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และเขายังเคยเป็นส.ว. อีกด้วย
สำหรับกิจกรรมนักศึกษาในช่วงท้ายๆ
เมื่อนักกิจกรรมนักศึกษาจากทั้งองค์การนักศึกษา (อศ.มร.) และสภานักศึกษา (สมร.)
จะใกล้หมดวาระ พวกเราก็เอาโต๊ะที่ได้รับแจกจากนายสมเสือ
สุวรรณนิมิตร มาตั้งเป็นโต๊ะซุ้มตัวเอง ในที่ประชุมก็มติใช้ชื่อว่า
องค์การนักศึกษาเสรี มหาวิทยาลัยรามคำแหง และผู้เขียนเสนอใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Ramkhamhaeng
University Free Student Union และที่โต๊ะเสนอสลักชื่อว่า Old
Activist เพื่อแสดงว่า พวกเราเป็นนักกิจกรรมเก่าที่มาจากองค์การนักศึกษา
(อศ.มร.) และสภานักศึกษา (สมร.) เมื่อเวลาแต่ละคนแยกย้ายกันจบ ก็คิดว่า
โต๊ะที่สลักคำว่า Old Activist ถ้ายังอยู่ที่เดิม
ต่อไปไม่รู้ว่าใครต่อใครจะเป็นเจ้าของ จึงนำมาไว้ที่โต๊ะซุ้มของกลุ่ม PNY เพราะต่อไปก็จะเป็นของกลุ่ม PNY ตลอดไป
โต๊ะนี้อยู่กับกลุ่ม PNY เป็นสิบๆปี เพิ่งจะเมื่อไม่นานมานี้
ที่มหาวิทยาลัยได้มีการปรับปรุง จัดทำโต๊ะถาวรแบบไม่สามารถยกไปไหนได้ ส่วนโต๊ะที่สลักคำว่า
Old Activist ก็ได้โละทิ้ง เสียดายถ้ารู้ว่าถูกทิ้งไว้มุมไหน
หรือเอาไปขายแล้ว ไม่งั้นจะยอมเสียค่าขนส่งขนกลับมายังจังหวัดนราธิวาส เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ในสมัยทำกิจกรรมกับองค์การนักศึกษา (อศ.มร.) และสภานักศึกษา (สมร.) ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับองค์การนักศึกษา 17 สถาบัน ต่อมาเปลี่ยนเป็นสหพันธ์นักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือ Students Union of Thailand และได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 4 ของ Asian Students Association ซึ่งเป็นองค์กรร่วมขององค์กรนักศึกษาจากประเทศต่างๆในเอเชีย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ ฮ่องกง และในการพูดคุยวงในของกลุ่มนักศึกษาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบวงใหญ่ไม่ทราบ เสนอให้มีการวมตัวให้แน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยตัวแทนจากมหาวิทยาลัยมาลายา นายอิสมาแอล ซับรี ยะกุ๊บ เสนอให้มีการจัดตั้งองค์การนักศึกษามลายูจากประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในภายหลังนายอิสมาแอล ซับรี ยะกุ๊บ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศมาเลเซีย ส่วนมหาวิทยาลัยมาลายาที่เขาศึกษา ในภายหลังผู้เขียนก็กลายเป็นศิษย์เก่าคนหนึ่ง และใช้เครือข่ายศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมาลายาในการทำกิจกรรมช่วงที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
หลังจากเดินสัมผัสตึกกิจกรรมแล้ว ก็ลงไปสัมผัสกลุ่มนักศึกษาชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่เรียกว่า กลุ่ม PNY ได้พบคุยกับรุ่นน้อง รุ่นลูก มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งครั้งก่อนถามผู้เขียนว่า ในสมัยที่เรียนเคยรับผิดชอบตำแหน่งอะไรบ้างในกลุ่ม PNY เออ... ผู้เขียน หัวเราะในใจ แล้วตอบว่า ไม่เคย ไม่มีจริงๆด้วย เพราะครั้งที่นายมะ จินาแว เป็นประธานกลุ่ม PNY ในการพูดคุยวงในครั้งนั้นเมื่อนายมะ จินาแว ชนะเลือกตั้ง มีการเสนอชื่อคนที่จะมาเป็นกรรมการกลุ่ม PNY จำได้ว่า ผู้เขียนจะเป็นคนที่เสนอใครต่อใครหลายคนมาเป็นกรรมการกลุ่ม PNY มากกว่าที่จะเสนอตัวเอง และปฎิเสธเมื่อถูกเพื่อนเสนอชื่อให้เข้าร่วมเป็นกรรมการกลุ่ม PNY จนมีเรื่องตลกเมื่อใครคนหนึ่งในกลุ่ม PNY บอกว่า ผู้เขียนอกหักที่ไม่ได้รับเลือกเป็นกรรมการกลุ่ม PNY การเลือกประธานกลุ่ม PNY ยุคนั้น ถือว่าดุเดือดมาก เมื่อกลุ่ม PNY แตกออกเป็น 2 ขั้วใหญ่ ส่งผู้สมัครลงชิงเป็นประธานกลุ่ม PNY คือ กลุ่มหนึ่งส่งในนามพรรคมาตุภูมิ หรือ Parti Pusaka ส่วนผู้เขียนกับนายมะ จินาแว ก็ตั้งทีมขึ้นมาใช้ชื่อว่า แนวร่วมนักศึกษาชายแดนภาคใต้ ในขณะที่จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างการเลือกตั้งมากขึ้น นายเสรี นักศึกษาจากตำบลบูกิ๊ต ขณะนั้นยังอยู่ในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก็ติดป้ายกระดาษที่โต๊ะกลุ่ม PNY ว่ากลุ่มของเขาก็พร้อมลงเลือกตั้งเป็นประธานกลุ่ม PNY ในนามกลุ่มกิบลัต ผู้เขียนเห็นช่องทางที่ดี จึงเสนอทั้งแนวร่วมนักศึกษาชายแดนภาคใต้และกลุ่มกิบลัต มารวมกันเป็นแนวร่วมกิบลัต นับแต่นั้นทางกลุ่มมาตุภูมิกับกลุ่มแนวร่วมกิบลัตก็หาเสียงกันอย่างดุเดือด ในขณะใกล้หมดเวลาปิดการลงคะแนน ทางนายสมเสือ สุวรรณนิมิตรวิ่งมาบอกว่า เขาลงคะแนนผิด โดยลงคะแนนให้อีกกลุ่ม จึงบอกให้นายสมเสือ สุวรรณนิมิตรไปหานักศึกษาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มา ถ้าลงคะแนนผิด 1 คะแนน ก็ให้ไปหานักศึกษามาลงคะแนน 2 คน เพื่อเสียง 1 คะแนนจะไปลบที่ลงคะแนนผิด และอีก 1 คะแนนจะได้มาเพิ่มให้แก่คะแนนแก่กลุ่มแนวร่วมกิบลัต ซึ่งก็ได้ผลเมื่อนายมะ จินาแว ชนะเลือกตั้งเป็นประธานกลุ่ม PNY ด้วยคะแนน 141 คะแนน ต่อ 140 คะแนน และภายหลังนายมะ จินาแว เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดนราธิวาส เขตอำเภอยี่งอ กิจกรรมนักศึกษาของกลุ่ม PNY ก็จะเป็นแนวเน้นการเมือง มีลักษณะภูมิภาคนิยม ส่วนในปัจจุบัน ไม่ทราบเพราะไม่ได้พูดคุย แต่เชื่อว่า สิ่งที่ผู้เขียนและเพื่อนทำในสมัย 40 ปี มันช่างไกลมาก ไม่อาจเทียบกับความคิดของนักศึกษาจากจังวัดชายแดนภาคใต้ในยุคปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือเมื่อช่วงสำเร็จการศึกษาสักปีสองปี ผู้เขียน นายอุเซ็ง มาหะมะ (ฮุสเซ็น บ้านทอน) และนายกอเซ็ม บูเกะบากง ได้ร่วมเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ด้วยได้รู้จักเลขานุการของนายดาโต๊ะสรีมูฮัมหมัดนายิบ ตุนอับดุลราซัค ขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีเยาวชนและการกีฬาของประเทศมาเลเซีย ภายหลังเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จากการพูดคุยที่กระทรวงเยาวชนและการกีฬามาเลเซีย พวกเราจะขอนำเยาวชนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปฝึกงานระยะสั้นในโรงงานของประเทศมาเลเซีย โดยความช่วยเหลือของกระทรวงเยาวชนและการกีฬามาเลเซีย เช่นโรงงานผลิตซ๊อสมะเขือเทศ และอื่นๆ หลังจากเยาวชนเหล่านั้นกลับมายังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วส่งเสริมชาวบ้านให้ปลูกพืขการเกษตรป้อนโรงงานที่เคยไปฝึกงาน ความคิดดีมาก และดีมากสำหรับคนจบการศึกษาใหม่ๆ แต่มันเด็กเกินไปที่จะทำโครงการดังกล่าว จึงเป็นท่าดีที่เลว ไม่เหมาะสำหรับเด็กน้อย ไร้เดียงสาอย่างพวกเรา แม้จะไม่สำเร็จ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดก้าวไกลของเด็กเพิ่งจบการศึกษา เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ซึ่งในปัจจุบันไม่ทราบ เพราะไม่เคยคุยเรื่องการทำงานใดๆในอนาคตของพวกเขา สิ่งที่เขียนมาเป็นเกล็ดเล็กๆ ประสบการณ์ท่ได้รับจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
Ahad, 16 Mac 2025
Sifat Kritis Dalam Tradisi Pemikiran Islam - Dr. Azhar Ibrahim Alawee NUS
Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan
Kali ini di
dalam bulan Randhan, saya ketengahkan artikel berfokus kepada islami dengan Tajuk
Sifat Kritis Dalam Tradisi Pemikiran Islam. Sebuah tulisan Dr. Azhar Ibrahim Alawee
dari National University of Singapore. Isi tulisannya ada seperti berikut:-
Tradisi humanistik (bersifat kemanusiaan) mempunyai kehadiran yang kuat
dalam tradisi pemikiran Islam klasik, baik dalam ranah teologi, falsafah,
etika, hukum dan sastera (adab).
Sebagai suatu
gaya pemikiran, humanisme kritis memberi penekanan kepada kesedaran manusia
akan kehidupannya, bertanggungjawab dan berperanan dalam kehidupannya, dengan
mengenal pasti akan kekuatan dan kelemahan masing-masing.
Dimensi sosial
Islam menjadi bahagian terpenting dalam idealisme humanistik, yakni manusia itu
sayugia dipupuk sempurna melalui pendidikan, dengan akur akan kedudukan akal
yang tinggi, dengan memikul tanggungjawab etika, selain mengangkat kebebasan
dan ketinggian kerohanian.
Menyelusuri
sejarah pemikiran Islam, kita akan menemui pelbagai perspektif tentang
pendidikan. Suatu aspek pemikiran yang akan kita ketemui ialah gaya pemikiran
yang humanistik dalam aliran pemikiran Islam yang mana idea dan perspektif
mereka tentang pendidikan dapat kita jejaki juga. Humanisme kritis pernah
berdenyut dalam tradisi Islam dan itulah yang wajar kita gali dan bangunkan
kembali.
Tarif Khalidi mentakrif humanisme sebagai “suatu sistem untuk mengkaji alam dan masyarakat yang… keluar dari pengkhususan yang sempit dan mendekati pendekatan yang diskusif dan berbilang dimensi, sanggup menyelidik segala fenomena alam dan sosial dalam semangat yang toleran dan skeptis".
Tarif Khalidi
seorang ahli sejarah Palestin yang kini memegang Kerusi Shaykh Zayid dalam
Pengajian Islam dan Arab di Universiti Amerika Beirut di Lubnan
Alija
Izetvigobic, seorang pemimpin Muslim dari Bosnia mentakrifkan humanisme sebagai
“asas afirmasi manusia dan kebebasannya, yakni nilainya sebagai manusia.”
Pastinya dalam
masyarakat Islam, humanisme atau sifat berperikemanusiaan difahami sebagai
humanisme agama dengan afirmasi Tauhid menjadi terasnya.
Humanisme
kritis dalam tradisi Islam menyuguhkan agama sebagai pusat dalam pencerahan
manusia dan masyarakat. Dalam rangka falsafah kritis, kewujudan manusia itu
adalah pencapaian sa’adah (kebahagiaan) yang memiliki nuansa pembebasan,
melawan kesengsaraan manusia dan melawan apa jua bentuk fikiran yang membungkam
kebebasan manusia berfikir dan nuraninya. Keadaan ini boleh tercapai melalui
pendidikan adab dan pelatihannya, serta pendedahan kepada hikmah dan falsafah. Malah
era yang disebut sebagai zaman Islam klasik di mana beberapa sarjana telah
menyebutnya sebagai periode reinasans (tempoh kelahiran semula) Islam, dan di
situlah tradisi humanisme Islam dalam manifestasinya yang terbaik terungkap.
Bagi Al-Jahiz,
tokoh humanis Islam zaman klasik yang terbilang beranggapan bahawa segalanya
itu yang diturunkan kepada kita sebagai warisan (turath) adalah bagi kita yang
terkemudian hari untuk memeriksa, menghargai dan memilihnya. Para humanis dalam
Islam klasik melihat ilmu pengetahuan, sains dan hikmah yang mereka warisi dari
umat yang terdahulu seperti Yunani, Parsi, dan India, sebagai satu
tanggungjawab Muslim untuk membangunkan lagi dan menghargainya.
Hari ini,
idealisme humanistik berdenyut dan terlafaz dalam kalangan Muslim reformis yang
mengajukan rekonstruksi (pembangunan semula) masyarakat Islam lewat ijtihad
dalam pemikiran keagamaan dan rombakan idea pendidikan.
Jelas sekali,
tradisi humanistik bukan sahaja menyuguhkan cita-cita muluk untuk manusia
sejagat tetapi juga ia harus ada kemahuan untuk mengadun semangat kreatif
dengan pemikiran kritis demi menyempurnakan tugas transformatif sebagai
khalifah di bumi ini.
Setem Syria
dengan wajah Al-Jahiz, dikeluarkan pada 1968.
Pengiktirafan Akal Manusia
Menarik
diperhatikan tradisi rasionalistik (fikiran yang berasaskan logik) dalam Islam
itu boleh dianggap sebagai gerbang utama untuk pemikiran humanistik terbangun
dalam peradaban Islam. Dalam tradisi falsafah Islam, keunggulan akal ditekankan
sambil menepis kegerunan ortodoks tentang bahaya dan kekurangan akal pada
manusia.
Diperingatkan
oleh Hayyan at-Tauhidi bahawa: “Segala tumpuan ilmu ataupun kesalihan tidak
akan cukup untuk membentuk watak yang baik dan soleh, melainkan dengan iradat
akal". Ibn Hazm dalam bukunya al-Muhalla berpendapat:
“Seorang
mujtahid itu yang berijtihad tetapi terbabas lebih baik dari seorang yang
mengikuti secara taqlid walaupun taqlid itu benar.”
Menuntut ilmu
dan menguasainya hanya akan bermakna sekiranya ia ada matlamat untuk memberi
bakti atau sumbangan kepada orang lain. Menuntut ilmu hanya semata-mata kerana
ingin menuntutnya telah dikritik seperti yang disebut al-Ghazali,
“Sekiranya
seorang itu membaca seratus ribu perihal ilmu dan mempelajarinya dengan tekun
tetapi tidak ia mengamalkannya, maka ilmu itu tidak berguna kepadanya kerana
kebesaran ilmu itu terletak apabila ia diamalkannya.”
Dalam zaman
Islam klasik, menuntut dan menimbangkan secara falsafah bertujuan untuk
“membangunkan roh, menguatkan akal, memperbaiki akhlak, menyemai amal dan
menjauhi kejahatan.”
Sepertimana
yang dinyatakan oleh Hayyan at-Tauhidi. Bagi ahli falsafah, ilmu mereka
dianggap sebagai “puncak matlamat dalam pendidikan humanistik dan asas kepada
segala ilmu yang boleh menyampaikan kepada kesempurnaan manusia serta mencapai
kebahagiaan dan jalan selamat".
Pemikiran Humanistik dalam Era Moden
Hari ini,
idealisme humanistik terungkap dalam kalangan reformis Muslim yang mengajukan
rekonstruksi masyarakat Islam dengan mengambil jalan kembali kepada ilmu
filsafat (falsafah), ilmu sains kemasyarakatan, ilmu pendidikan dan pedagogi,
selain pembaharuan dalam pemikiran keagamaan Muslim.
Inilah yang
dikatakan pemikiran Muslim zaman ini perlu disegarkan kembali dari tradisi
humanismenya, yang dalam peredaran zaman telah terbeku dan dilupakan. Ini dapat
kita lihat dalam pengajuan, pembaharuan yang dibawa oleh Jamaluddin al-Afghani
yang terkenal dengan pengajuannya supaya dihidupkan kembali semangat
berfalsafah, sedangkan anak didiknya mengikut jejak yang sama, yakni Sheikh
Muhammad Abduh, Syeikhul al-Azhar yang terkenal dengan idea pembaharuannya.
Jamaluddin
al-Afghani merupakan antara pemikir paling awal dalam era moden ini yang
memperhatikan perlunya golongan ilmuwan dalam kalangan masyarakat Islam yang
bersikap kritis dalam permasalahan pemikiran dan perbuatan mereka. Al-Afghani
menyifatkan kemunduran masyarakat Islam disebabkan oleh pembekuan pemikiran
dalam kalangan alim ulama, yang sepatutnya menjadi penjaga dan penentu
kehidupan intelektual masyarakat Islam.
Antara
pembekuan yang jelas adalah penolakan terhadap falsafah. Juga kepimpinan
intelektual dalam masyarakat Islam sudah membeku dan tertutup. Ulama
tradisionalis (pendukung fahaman, ajaran, dan lain-lain berdasarkan tradisi)
hanya mempedulikan ilmu agama, mereka telah mengabaikan cabang ilmu yang lain,
malah memandang sepi terhadap apa jua ilmu dunia yang bagi mereka tidak akan
menyampaikan ke jalan akhirat.
Tanggapan
seperti itu harus diperbetulkan dan itulah antara agenda pembaharu Islam, di
saat-saat umat Islam terbelenggu dalam kemunduran dan penjajahan.
Membangunkan
pemikiran Islam memerlukan sumbu ilmu yang membuana dan membumi. Tegas
Al-Afghani, semangat falsafah itu membenarkan kita “untuk membicarakan hal
ehwal umum tentang dunia dan keperluan manusia".
Semangat
berfalsafah merupakan satu upaya yang menyebabkan manusia menjurus kepada
penelitian, dan secara kritis, membelek-belek idea yang terlazim, menganalisis
secara mendalam kerumitan-kerumitan dalam masyarakat dan fenomena alam, dan
mencadangkan jalan keluar atau alternatif kepada permasalahan yang dihadapi
oleh manusia dan masyarakat.
Satu ruang
intelektual dan falsafah yang praktikal akan membolehkan pertukaran dan
perdebatan, langsung mengurangkan proses-proses simplifikasi dan desakan
pelbagai versi totalitarianisme dan kecenderungan harfiah.
Membangunkan
Humanisme Kritis dalam Pendidikan Islam
Humanisme
kritis adalah pemikiran kritis yang harus wujud dalam cakerawala pemikiran
kita. Ranah agama juga harus dihidupkan dengan humanisme kritis ini, selain ia
harus juga menyangkuti ranah-ranah pendidikan, kebudayaan, politik, dan
kemasyarakatan.
Maka para
humanis zaman ini seperti Mohamed Arkoun telah mengenal pasti pentingnya projek
memikir ulang tradisi Islam atas sebab dua keperluan: pertama masyarakat Muslim
harus memikirkan masalah mereka sendiri yang telah menjadi sesuatu yang tidak
terfikir disebabkan oleh lamanya pemikiran yang bersifat ortodoks.
Kedua,
perlunya pemikiran kontemporari untuk membuka ranah-ranah dan penemuan baharu
dalam dunia ilmu lewat pendekatan lintas budaya dan displin ilmu, sewaktu
berhadapan dengan masalah kehidupan sejagat.
Hari ini, para
reformis Muslim melihat dimensi humanistik sebagai batu asas yang penting dalam
kehidupan keagamaan, teristimewa pendidikan agamanya.
Merekonstruksikan
kembali idea dan visi pendidikan agama adalah sama pentingnya dengan mengajukan
perubahan pedagogi kurikulum.
Soedjatmoko,
seorang pemikir Indonesia yang terkenal, dengan tuntas menunjukkan betapa
pendidikan agama itu penting dalam pembangunan negara-bangsa seperti di
Indonesia kerana menurutnya:
(1) ia
berusaha ke arah pemupukan beberapa ciri seperti keberanian untuk hidup
mandiri, mengambil inisiatif, sensitif terhadap hak-hak orang lain dan
keperluan kolektif dalam masyarakat dan umat manusia, sanggup untuk bekerjasama
demi kebaikan umum dalam proses perubahan sosial, tanpa takut kepada perubahan
yang sedang berlaku;
(2) berusaha
ke arah memupuk motivasi yang kental pada anak didiknya untuk mempelajari dan
memahami realiti sosial yang terdapat dalam masyarakat;
(3) berusaha
ke arah merangsang para pelajar untuk mempraktikkan apa yang mereka yakini;
(4) berusaha
ke arah integrasi dan sinkronisasi (penyelarasan) dengan pendidikan yang bukan
daripada jurusan keagamaan.
Pendek kata,
apabila membicarakan pemikiran Islam bukan sahaja harus mengambil kira tradisi
keintelektualan Islam yang berbagai, tetapi melihat aliran humanistik yang
harus terbangun dalam sistem pendidikan Islam kontemporari.
Selagi kita
tidak dapat mengaitkan soal pemikiran Islam dengan keperluan dan cabaran
kemanusiaan dan kezamanan, kita sebenarnya telah memutuskan pemikiran dan
pendidikan Islam dari nadi kerelevanannya.
Untuk kita
membangunkan sebuah gagasan falsafah pendidikan Islam, kita harus mengambil
kira kondisi semasa dan setempat, selain menimbangkan struktur sosioekonomi
masyarakat masing-masing.
Memetik
tanggapan Nurcholish Madjid, seorang pemikir Islam asal Indonesia, yang tekun
mengajukan gagasan kemanusiaan Islam, wajar kita menimbangkan bersama:
“Kerja
kemanusiaan atau amal soleh itu merupakan proses perkembangan yang permanen.
Perjuangan kemanusiaan berusaha agar perubahan dan perkembangan dalam
masyarakat selalu mengarah kepada yang lebih baik, lebih benar. Oleh sebab itu,
manusia harus mengetahui arah yang benar daripada perkembangan peradaban di
segala bidang."
"Dengan
perkataan lain, manusia harus mendalami dan selalu mempergunakan ilmu
pengetahuan. Kerja manusia dan kerja kemanusiaan tanpa ilmu tidak akan mencapai
tujuannya, sebaliknya ilmu tanpa rasa kemanusiaan tidak akan membawa
kebahagiaan bahkan mungkin menghancurkan peradaban.”
Di sinilah
humanisme kritis boleh menyumbang. Membicarakan aspek-aspek humanisme kritis
yang terlafaz dalam tradisi pemikiran Islam dari zaman sebelumnya, harus dapat
memacu kita untuk membangunkan pemikiran Islam yang moden, progresif dan
humanistik.
Itulah antara tugas umat Islam untuk benar- benar berdiri atas keyakinan bahawa Islam sebagai rahmatan lil alamin. Dan kitalah yang bersaksi dan bertindak ke arah itu, demi kesejahteraan umat manusia dalam alam ini. Inilah yang tertanggung ke atas kita hari ini.
Khamis, 27 Februari 2025
10 มีนาคม 2025 ครบ 116 ปี สนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม 1909
โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อ 10 มีนาคม 2025 ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีการจัดงานเสวนา สัมมนากัน เรื่องสนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม 1909 หรือ Anglo-Siamese 1909 ในสนธิสัญญานั้นสยามให้อำนาจแก่อังกฤษเหนือ 4 รัฐมลายู ได้แก่รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู รัฐเคดะห์ และรัฐเปอร์ลิส และอังกฤษให้อำนาจสยามเหนือปาตานี (สามจังหวัดชายแดนภาคใต้)
ซึ่งเมื่อดูแผนที่อังกฤษปี 1862 (British Malaya Map 1862, By Lt Col. H.S. Thuillier, Surveyor General of India.) ก็เขียนว่า รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู เป็นรัฐ “Tributary to Siam but protected by treaty with the British Government” ส่วนรัฐเคดะห์ และปาตานี เป็น “Tributary to Siam” และอะไรทำให้รัฐเคดะห์ รัฐเปอร์ลิส เป็นส่วนหนึ่งรัฐที่อยู่ในอำนาจอังกฤษ ในขณะที่ปาตานีกลายเป็นมีสยามมีอำนาจเหนือ และสนธิสัญญานี้ นอกจากอักฤษกับสยามแบ่งอำนาจต่อกัน ยังมีการแลกเปลี่ยนดินแดนกัน โดยแบ่งเขตใหม่ มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเขตแดนรัฐกลันตันกับเมืองระแงะ รัฐเคดะห์ (รวมกับตำบลปริก เป็นอำเภอสะเดา) รัฐเปอร์ลิสกับจังหวัดสตูล ในครั้งนี้จะขอกล่าวถึงเขตแดนรัฐกลันตันกับเมืองระแงะ โดยใช้แม่น้ำสุไหงโกลก เป็นเขตแดน ดังนั้นดินแดนส่วนที่เป็นยือลี ดาบง ดินแดนของเมืองระแงะมอบให้รัฐกลันตัน ส่วนดินแดนรัฐกลันตันที่เรียกว่า Small corner of Norteast Kelantan มอบให้สยาม
จัดตั้งเป็นอำเภอตากใบ (ประกาศจัดตั้งอำเภอตากใบ อำเภอสะเดา ดู ประกาศกระทรวงมหาดไทย ประกาศตั้งอำเภอสะเดา และอำเภอตากใบ เล่ม 26 หน้า 1107 ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 2 สิงหาคม ร.ศ. 128) ดินแดนในส่วนของรัฐกลันตัน ที่ต้องมอบให้สยาม เคยถาม ศ.ดร. นิอันวาร์ นิมาห์มุด นักประวัติศาสตร์นามอุโฆษชาวมาเลเซีย ว่ามีชาวรัฐกลันตัน ประมาณเท่าไรที่ตกค้างกลายเป็นชาวปาตานี ท่านตอบว่า ประมาณ 3,000 คน จากจำนวนนั้น เป็นเวลา 116 ปีต่อมา น่าจะลูกหลานเป็นหมื่นๆคน จากการไม่ยอมกลับไปอยู่ฝั่งรัฐกลันตัน เพราะยังรักไร่สวนของตนเอง ไม่อยากให้เราพูดถึง สนใจถึงสนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม 1909 หรือ Anglo-Siamese 1909 แต่เราไม่ยอมศึกษาเนื้อหา ศึกษาความเป็นมาของสนธิสัญญา มีงานวิจัย วิทยานิพนธ์หลายเล่มทั้งไทย มาเลเซีย ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นคือ วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Thamsook Numnonda เรื่อง Anglo-Siamese Negotiations 1909, University of London, 1966
Rabu, 26 Februari 2025
ลูกหลานชาวมลายูปาตานีในจังหวัดสุลาเวซีใต้ อินโดเนเซีย
โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
เขตแดนหมู่บ้านปาตานี ร้านบักหมี่โจโตปาตานี
เรื่องราวการตั้งถิ่นฐานของชาวมลายูปาตานีในจังหวัดสุลาเวซีใต้
อินโดเนเซีย เป็นสิ่งที่ผู้เขียนสนใจมานานมาก ด้วยจากเรื่องราวที่ได้อ่านบทความของ
“อ. บางนรา” ในนิตยสาร “อัลญีฮาด” เกี่ยวกับที่ดาโต๊ะมหาราชาเลลา (Datuk
Maharajalela) พร้อมชาวมลายูปาตานี ได้เดินทางไปยังเกาะสุลาเวซี
พร้อมใช้ธงในอดีตที่เรียกว่า ธง Buluh Perindu และปกหลังของนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย
คุณอาเรนาวาตี ศิลปินแห่งชาติของมาเลเซีย
ก็กล่าวถึงเรื่องราวการอพยพของชาวมลายูปาตานีไปยังเกาะสุลาเวซี เมื่อผู้เขียน
ภรรยา ลูกชายตัวเล็ก และอาจารย์ซาวาวี ปะดาอามีน แห่งสาขาวิชามลายูศึกษา มอ.
ปัตตานี ได้มีโอกาสไปสัมมนาที่เกาะสุลาเวซี จึงขอให้ ศาสตราจารย์ ดร. มุคลิส
ฮัดราวี เพื่อนจากคณะวัฒนธรรมศึกษา แห่งจากมหาวิทยาลัยฮาซานุดดิน สุลาเวซี
ช่วยพาไปหมู่บ้านปาตานี ที่อ่านมาจากปกหลังของงานเขียนนวนิยายของคุณอาเรนาวาตี
และจากการบอกเล่าของคุณซัฟรุลลอฮ ซันเร ชาวสุลาเวซีใต้เพื่อนอีกคนของผู้เขียน
แถมเพื่อนผู้นี้ยังว่า บอกธง ธง Buluh Perindu อยู่ที่บ้านใคร
ผู้เขียนจึงจดชื่อบุคคลที่อ้างนั้น ลงในสมุด และถามสภาพภายในหมู่บ้าน เพื่อนผู้เขียนบอกว่า
ก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปของชาวประมง เพราะอยู่ไม่ห่างจากริมหาดทะเลมากนัก
มีการทำเสื่อจากต้นกระจู๊ดขาย
ทำให้ภาพที่ได้รับการบอกเล่ามาเกี่ยวกับหมู่บ้านปาตานี
ช่างมีสภาพที่แตกต่างกันบ้าง กับที่ได้พบจริง
ปกหลังของนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย คุณอาเรนาวาตี
ปกของนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย
คุณอาเรนาวาตี
ปกหลังของนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย
คุณอาเรนาวาตี
“ดาโต๊ะมหาราชาเลลาได้รับที่ดินเป็นที่ตั้งถิ่นฐานทางใต้ของเมืองท่าซอมบาโอปู
และสถานที่นั้นตั้งเช่นกันว่า “ปาตานี”
ในที่สุดชาวมมลายูทั้งหลายก็เลือกดาโต๊ะมหาราชาเลลาเป็นหัวหน้า กษัตริย์รัฐโฆวา
ก็ไม่ขัดข้อง ตั้งแต่นั้นมา มีการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมตะวันออกมากมายในสังคมและรัฐโฆวา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเครื่องประดับเสื้อผ้า ซึ่งยังคงพบเห็นได้ในปัจจุบัน
เช่น เสื้อผ้าของลูกหลานเชื้อเจ้า
ชุดเจ้าสาว สร้อยข้อมือหัวมังกร กริชที่มีฝักและปลายทอง สร้อย กระดุม
งานแกะสลักทุกชนิด และอื่นๆ ด้วยสายใยของศาสนาอิสลาม ชาวมลายูจึงเป็นที่รักของเจ้าเมือง”
“Datuk Maharajalela diberi tempat tinggal disebelah selatan Somba Opu, dan tempat itu dinamakan juga “Patani”. Akhirnya Datuk Maharajalela itu, oleh orang orang Melayu dipilih sebagai kepala mereka Raja Gowapun tiada berkeberatan. Sejak itu banyak perubahan timur dibawanya ke dalam masyarakat dan Kerajaan Gowa, terutama mengenai perhiasan pakaian, yang kini masih didapati bekas-bekasnya, seperti pakaian anak raja, pada pengantin, ponto (gelang) bernaga, tatarap (keris bersarung dan berhulu emas) rantai buluh kancing merak, segala macam ukiran ukiran dan lain lain. Dengan semua itu dan dengan pertalian agama Islam maka orang orang Melayu sangat di sayang oleh raja.”
บ่อน้ำชาวมลายูปาตานีรุ่นแรกๆ
หลังจากที่พวกเราพบผู้นำชุมชนที่หมู่บ้านปาตานี
ได้สอบถามเกี่ยวกับธง Buluh Perindu แต่ได้รับคำตอบว่าที่หมู่บ้านปาตานีไม่มีเก็บ
ก่อนหน้านี้ เพื่อนชาวเมืองมากัสซาร์ บอกว่า ธงถูกนำไปเก็บที่กรุงจาการ์ตา
ซึ่งไม่รู้ว่า เท็จจริงแค่ไหน อย่างไรก็ตาม
ผู้นำชุมชนได้พาไปดูบ่อน้ำเก่าแก่ที่กล่าวว่า เป็นบ่อน้ำแรกๆของชมชนชาวมลายูปาตานี รวมทั้งของเก่า และได้พาไปที่ปากอ่าว
ที่ชาวบ้านบอกว่า
เป็นสถานที่ที่ชาวมลายูปาตานีได้อพยพจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นบกที่รัฐโฆวา
เกาะสุลาเวซี อินโดเนเซีย
ทฤษฎีความเป็นมาของชาวมลายูมีหลากหลายทฤษฎี บางก็ว่า ชาวมลายูมีต้นกำเนิดมาจากยูนาน ประทศจีน (ทฤษฎีนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปแล้ว) บางทฤษฎีก็กล่าวว่า ชาวมลายูมีต้นกำเนิดมาจากไต้หวัน (ทฤษฎีนี้ก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับในปัจจุบันเช่นกัน) มีทฤษฎีใหม่ๆ เกิดขึ้น บางทฤษฎีก็ว่า ชาวมลายูมีต้นกำเนิดมาจากชาวอาหรับและตะวันออกกลาง (ทฤษฎีนี้กำลังเผยแพร่ และคนบางส่วนก็เชื่อในทฤษฎีนี้) มีอีกทฤษฎีหนึ่งว่ากล่าวว่า ชาวมลายูไม่ได้มาจากไหน แต่ชาวมลายูมีต้นกำเนิดมาจากภูมิภาคนี้แหละ ทฤษฎีนี้ เรียกว่า ทฤษฎีซุนดาแลนด์ ชาวมลายูมีต้นกำเนิดมาจากหมู่เกาะซุนดาแลนด์ ส่วนใครจะเชื่อทฤษฎีไหน หรือไม่เชื่อทฤษฎีใดๆ ก็เป็นเรื่องแต่ละคน มีอาจารย์มหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย (Universiti Indonesia) คนหนึ่งกล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่าเรามาจากไหน แต่เราควรมาศึกษาว่า เราไปอยู่ที่ไหนบ้าง ไปยังประเทศศรีลังกา ไปยังประเทศมาดากัสการ์ ไปยังประเทศซูรินาเม (ละตินอเมริกา) ไปยังประเทศออสเตรเลีย ไปยังตะวันออกกลาง เรามาสร้างเครือข่าย เพื่อเป็นสะพานในการพัฒนาทางเศรษฐศาสตร์ การศึกษา ฯลฯ ในครั้งนี้เราวกถึงการอพยพของชาวมลายูปาตานีไปยังดินแดนอื่นๆ เช่นเกาะสุลาเวซี
ปากอ่าวที่ชาวมลายูปาตานีขึ้นบกมาจากปาตานี ประเทศไทย
กล่าวกันว่าการอพยพของชาวมลายูไปยังสุลาเวซีใต้
ปะกอบด้วย 2 คลื่นระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 17 ด้วยการค้า การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
และการหาดินแดนที่สงค้นหาสถานที่สงบสุขมากขึ้น
จากต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของ RI ม้วน (ม้วน) 77/15 บันทึกว่าบสุขกว่า คลื่นคือการเดินทางของ Datuk Leang (มาจากปาตานี) และ Datuk Makotta (มาจากมีนังกาเบา)
โดยเดินทางมาที่สุลาเวซีใต้ในปี 1512
และจากการสมรสของชาวมลายูปาตานีกับชาวมีนังกาเบานี้ เกิด Datuk Rajabถือกำเนิดรุ่นที่ 2 จาก Datuk Leang และต่อมาเกิดคลื่นลูกที่ 2 คือ การเดินทางของมหาราชาเลลา และคณะผู้ติดตามของเขาและธง Buluh
Perindu คนกลุ่มขึ้นบกที่สุลาเวสีใต้ในปี 1632 สันนิฐานว่า
ด้วยมีคนมลายูปาตานีรุ่นแรกได้มาอาศัยอยู่ในสุลาเวซีมาก่อนแล้ว
สุสานของดาโต๊ะเลียงชาวมลายูปาตานีรุ่นแรกที่มาตั้งถิ่นฐานในสุลาเวซีใต้
สังเกตขนาดของต้นพิกลที่ใหญ่หลายคนโอบ
สุสานดาโต๊ะเลียง
สุสานที่ชาวบ้านเรียกว่า สุสานปาตานี
ในหมู่บ้านปาตานี ทางผู้นำชุมชนและชาวบ้านพาไปที่บริเวณสุสานเก่า สุสานแห่งนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า สุสานปาตานี มีสุสานหนึ่งชื่อว่าสุสาน Datuk Leang เป็นผู้นำชุมชนมลายูในหมู่บ้านปาตานี เมื่อถามว่า สุสานนี้เป็นของผู้ใด ทางชาวบ้านตอบว่าเป็นสุสาน Datuk Leang แต่มีบางบทความวิชาการระบุว่า เป็นสุสาน Datuk Rajab เมื่อสอบถามทาง ศาสตราจารย์ ดร. มุคลิส ก็ได้รับการยืนยันว่า เป็นสุสาน Datuk Leang
อ้างอิง
Bahtiar, Orang Melayu di Sulawesi Selatan, Jurnal
Walasuji, Volume 9, No. 2, Desember 2018.
Muhlis Hadrawi,
Integrasi Melayu Melayu di Sulawesi Selatan. Kajian
Berdasarkan Lontara, UKM, Malaysia.
Muhlis hadrawi , Sea Voyages and Occupancies of
Malayan Peoples at the West Coast of South Sulawesim, International Journal of
Malay-Nusantara Studies, Vol. 1, No. 1,
May 2018.
Muhammad Saleh Tajuddin ddk., Political and
Historical Relations of Patani Kingdom in Thailand And Patani Village in
Indonesia. Jurnal Politik Profetik, Vol. 10. Tahun 2022.
Rismawidiawati,
Integrasi Orang Melayu di Takalar (XVI-XVII), Walasuji Volume 8, No. 1, Jun
2017.
Syamsuri Ali, Patani and the 15th Century Malay
Ulama Network: A Historical Study of the Kitab Tarikh Fathani by Sheikh Faqih
Ali al-Fathani, International Journal of Science and Society, Volume 5, Issue
2, 2023