โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ความรู้ที่เรียกว่า นิรุกติศาสตร์ หรือที่รู้จักในชื่อว่า Philology ในภาษามลายูไม่มีเลยใช้คำว่า Filologi จะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ สถาบัน และวิถีชีวิตของชนชาติที่ปรากฏในต้นฉบับโบราณนั้น โดยจะต้องเป็นเอกสารที่เขียนด้วยมือ และมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สำหรับนัก Filologi ของประเทศอินโดเนเซีย จะถือว่าแม้เอกสารที่พิมพ์ จะมีอายุมากกว่า 50 ปี ก็ไม่อาจถือว่าเป็นเอกสาร สำหรับนัก Filologi จะทำการวิจัย ศึกษา จุดประสงค์ของวิชานี้คือการทำความเข้าใจเนื้อหาของงานเขียนของผู้เขียนและรูปแบบของงานเขียนที่นำเสนอ นอกจากนี้ วิชานี้ยังเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และประวัติศาสตร์ วิชานี้ คำว่า Philologi หรือ Filologi มาจากภาษากรีกว่า philologia ซึ่งแปลว่า “ความรักในถ้อยคำ” เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายนี้ก็ได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ได้แก่ ความรักในการพูด ความรักในการเรียนรู้ ความรักในความรู้ ความรักในการเขียน ความรักในงานวรรณกรรม และแม้กระทั่งความรักในการเขียนที่มีคุณค่าสูงในการศึกษาเกี่ยวกับอิสลามในอาเจะห์
การพัฒนาศาสนาอิสลามในอาเจะห์ในช่วงต้นศตวรรษที่
17 ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่นักวิชาการเท่านั้น
แต่ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นก็มักถกเถียงกันถึงประเด็นทางศาสนา ไม่น่าแปลกใจเลยที่การถกเถียงอย่างดุเดือดเกิดขึ้นมากมาย
นักวิชาการบางคนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์นี้และพยายามหาทางบรรเทาสถานการณ์ภายในชุมชน
ศาสตราจารย์โอมาน
ฟัตฮูราห์มาน ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ได้กล่าวถึงอิสลามในอาเจะห์ว่า เชค คูอัล
หรือที่รู้จักกันในชื่อเชค อับดุลราอุฟ อิบน์ อาลี อัล-ยาวี อัล-ฟีนชูรี
นักวิชาการชาวอาเจะห์ ได้ระบายความในใจและแสวงหาทางออกจากมิตรไกลในนครมาดีนะฮ์ คือ
เชค อิบรอฮีม อัลกุรานี
เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านฮาดีษ
เชค อิบรอฮีม
อัลกุรานี ได้ตอบกลับด้วยต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือชื่อ ''Al-Jawâbât
Al-Gharâwiyyah ‘an Al-Masâil Al-Jâwiyyah Al-Jahriyyah'' เอกสารเล่มนี้ทำให้การถกเถียงอย่างดุเดือดเกี่ยวกับประเด็นทางศาสนาในอาเจะห์ค่อยๆ
สงบลง และต้นฉบับคำตอบของชีคอิบราฮิม
อัล-กุรานีนี้เป็นต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดที่ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน เคยพูดถึงเกี่ยวกับพัฒนาการของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายู
หรือ Malay Archipelago
ศาสตราจารย์
โอมาน ฟัตฮูราห์มาน กล่าวต่อ ก่อนที่การถกเถียงทางศาสนาในอาเจะห์จะทวีความรุนแรงขึ้นนั้น
ศาสนาอิสลามได้ปรากฏให้เห็นในหมู่เกาะมลายูนี้ราวศตวรรษที่ 13
ซึ่งอ้างอิงจากการค้นพบต้นฉบับที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 15
เรื่องราวที่นำเสนอในต้นฉบับเหล่านี้คือกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่อิสลามในราชอาณาจักรปาไซ
ที่รัฐปาไซ มีเชคอาหรับท่านหนึ่งชื่อ
อัล อารีฟ ได้เดินทางมายังซามุดรา ปาไซ จากนั้นท่านได้พบปะกับบุคคลชื่อ เมระห์ ซีลู
(Merah
Silu) และเชิญชวนให้รับอิสลาม หลังจากที่เมระห์ ซีลู เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
ท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุลต่านมาลิกู ซาเละห์ ดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
รากเหง้าของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูนี้
หลังจากศาสตราจารย์
โอมาน ฟัตฮูราห์มาน อ่านต้นฉบับจำนวนมากเกี่ยวกับศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูนี้
และเพิ่มเติมด้วยหลักฐานร่วมสมัย ศาสตราจารย์ โอมาน ฟัตฮูราห์มาน สรุปว่าจากการล่มสลายของกรุงแบกแดดในศตวรรษที่
12 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูแห่งนี้ การล่มสลายครั้งนี้ทำให้พวกซูฟีกระจายตัวไปทั่วทวีปต่างๆ
รวมถึงหมู่เกาะมลายูด้วย
หลักฐานที่ศาสตราจารย์
โอมาน ฟัตฮูราห์มาน นำเสนอ ทำให้เห็นว่านี้คือต้นฉบับเกี่ยวกับคำสอนอิสลามยุคแรกในหมู่เกาะมลายู
ซึ่งมีกลิ่นอายของซูฟีแฝงอยู่ โดยการแพร่หลายของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะมลายูเริ่มแรกนั้นเป็นแบบซูฟี
หรือมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น ฟิกฮ์ก็มีอยู่เช่นกัน
แต่แนวทางที่โดดเด่นที่สุดในเวลานั้นคือแนวทางทางจิตวิญญาณ
อ้างอิง
Filologi https://halimsambas.blogspot.com/
Filologi wikipedia.org
Pengantar Teori Filologi Siti Baroroh Baried DKK. Pusat
Pembinaan dan Pengembangan Bahasa Departemen Pendidikan dan Kebudayaan Jakarta
1985