Isnin, 29 April 2024

บทกวีจากบรูไนที่เรียกว่า Syair ชื่อว่า Sifat Sabar (ความอดทน) โดย Pehin Dato’ Abdul Ghani Abdul Raheem

โดยนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน


 ครั้งนี้ขอเสนอบทกวีที่เรียกว่า Syair แต่เป็นบทกวีซาอีร์ประเภทสั้น หรือ Syapen (Syair Pendek) ทีเขียนโดยเปฮิน ดาโต๊ะอับดุลรฆานี อับดุลราฮิม (Pehin Dato’ Abdul Ghani Abdul Raheem) ท่านเป็นนักกวี นักเขียนที่มีตำแหน่งเป็นข้าราชการเกษียณระดับสูงของประเทศบรูไน ที่เคยเป็นทั้งนายอำเภอหนึ่งของประเทศบรูไน จากอำเภอในประเทศบรูไนที่มีอยู่เพียงทั้งหมด 4 อำเภอเท่านั้น  ท่านเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับสุลต่านบรูไน ชนิดที่ท่านขับรถให้สุลต่านบรูไนตรวจตราประเทศบรูไนในงานที่ไม่เป็นทางการ และเป็นงานที่ไม่เปิดเผย หลายๆอย่างผู้เขียนได้รับรู้เกี่ยวกับสุลต่านบรูไน และประเทศบรูไน ก็มาจากท่าน โดยท่านสั่งว่า เป็นการพูดคุยกัน ห้ามเปิดเผยสู่สาธารณะ  ขอให้เป็นความลับระหว่างเรา นอกจากนั้นท่านเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศบรูไน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะไม่ได้มีการเลือกตั้ง แต่เป็นการได้รับการคัดเลือก และแต่งตั้งโดยสุลตานบรูไน โดยท่านเป็นตัวแทนในส่วนของกลุ่มคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ หรือ Appointed Members  (Titled Persons) ฝ่ายถามท่านว่า ตอนนี้หลังจากครบวาระจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศบรูไนแล้ว ท่านดำรงตำแหน่งอะไร ท่านตอบว่า การที่ท่านมียศว่า Pehin Dato’ ดังนั้นถือเป็นขุนนางระดับสูงของประเทศบรูไน แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ท่านคงต้องให้คำปรึกษาต่อทางราชการแก่ประเทศบรูไน


       Sifat Sabar


O1-Sabar itu Istana iman,

Dengannya jiwamu tenang dan aman,

Hidupmu terasa sentiasa nyaman,

Jadilah hamba Allah yang budiman.


02-Jangan lupa selalu bersyukur,

Atas ne'mat  Allah yang Ghafuur,

'Aqidahmu mantap tak pernah luntur,

Hidupmu pula bertambah ma'mur.


03-Sabar itu sifat mulia,

Sifat terindah umat manusia,

Dengannya hidupmu akan bahagia,

Menjadi pemilik khazanah dunia.


04-Sabar adalah semulia sifat,

Asasnya pasrah berserta taat,

Allah mahukanmu menjadi hebat,

Dengan Zikir Sabar dan Solat.


05- Sabar itu kunci keamanan,

Diam pula kunci kedamaian,

Rajin berusaha kunci kejayaan,

Sifat Ikhlas kunci kepercayaan.


06-Sifat sabar dalam ber'ibadat,

Perintah Allah patuh dan taat,

Dihiasi doa serta munajat,

Nescaya hidupmu dicucuri Rahmat.


07-Bersabarlah ketika menghadapi ujian,

Jangan sombong menerima pujian,

Jangan gusar menerima cacian,

Ada hikmahnya disebalik kejadian.


08-Sabar dalam Menuntut ilmu,

Teruslah istiqamah janganlah jemu,

Tanamkan kekuatan dalam dirimu,

Nescaya dunia dalam genggamanmu.


10-Jadilah orang  yang bijaksana,

Bersifat sabar walau dimana,

Panas-baran sifat yang hina,

Membuatmu sesal tidak berguna.


11-Sampai disini kuakhiri madah,

Hakikat SABAR tamatlah sudah,

Semoga Sahabatku rezeqinya murah,

Dari segenap arah melimpah ruah.


12-Tamat disini syair kukarang,

Buat sahabat dan teman tersayang,

Semoga biskita senantiasa cemerlang,

dalam kehidupan dikasih disayang.


Nukilan pena

iar 🌹🐝

Ibnu 'abdir-raheem,

Baitur-rahmi,

Jerudong,

Brunei Darussalam.


 

เซอร์เจมส์ บรูค ราชาผิวขาวคนแรกของรัฐซาราวัค ประเทศมาเลเซีย

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

เรามาทำความรู้จักกับเซอร์เจมส์  บรูค  ผู้ได้ชื่อว่าเป็นราชาผิวขาว (White Rajah) คนแรกของรัฐซาราวัค ประเทศมาเลเซีย เขามีชื่อเต็มว่า James Bertram Lionel Brooke เกิดเมื่อ 29 เมษายน 1803 เสียชีวิตเมื่อ 11 มิถุนายน1867 เขาเกิดในอินเดีย ขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ  เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางผู้หญิงในบ้านของครอบครัว เขาเป็นบุตรของนายโธมัส  บรูค ( Thomas Brooke) และนางแอนนา มาเรีย  บรูค (Anna Maria Brooke) บิดาของเขาเป็นผู้พิพากษาของแบงคอล อินเดีย


การเริ่มต้นในรัฐซาราวัค

ในปี 1835 บิดาของเขาเสียชีวิต และทิ้งมรดกให้เขาเป็นจำนวน £30,000  นายเจมส์  บรูค ได้นำเงินจำนวนนั้นไปซื้อเรือเดินทะเล ชื่อว่า Royalist ในปี 1838 เขาได้เดินเรือไปยังเกาะบอร์เนียว และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เขาได้เดินทางไปยังเมืองกูจิง และได้รับรู้ว่า ชนเผ่าดายักของรัฐซาราวัค ได้ก่อกบถต่อต้านสุลต่านแห่งรัฐบรูไน   เซอร์เจมส์  บรูค ได้ช่วยเหลือราชามูดาฮาชิม ผู้เป็นน้าของสุลต่านแห่งรัฐบรูไน และเป็นราชามูดา (อุปราช) ของสุลต่านแห่งรัฐบรูไน รวมทั้งเป็นผู้ปกครองดินแดนรัฐซาราวัค ในการปราบกบถ และเมื่อสามารถปราบกบถชนเผ่าดายักได้แล้ว


ราชามูดาฮาชิม ได้ตอบแทนเซอร์เจมส์ บรูค โดยมอบตำแหน่งเป็นราชาแห่งซาราวัคในปี 1841 ต่อมาตำแหน่งดังกล่าวได้รับการยอมรับจากสุลต่านแห่งรัฐบรูไน กลายเป็นราชาผิวขาวแห่งรัฐซาราวัค   มีข้อมูลบางด้านกล่าวว่า เซอร์เจมส์ บรูค ได้ให้การสนับสนุนการก่อกบถอย่างลับๆ มีการเห็นเซอร์เจมส์ บรูค พบกับกลุ่มก่อกบถ


ต้นเหตุการณ์ก่อกบถในรัฐซาราวัค

ในหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของรัฐซาราวัคได้บันทึกว่า  ในปี 1836 สุลต่านอุมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ที่ 2 แห่งรัฐบรูไน ได้ส่งขุนนางเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ที่ชื่อว่าปาเงรันมะห์โกตา (Pangeran Mahkota)  พร้อมกับผู้ติดตาม ไปยังรัฐซาราวัค  ตอนที่ปาเงรันมะห์โกตาปกครองรัฐซาราวัคนั้น เขาปกครองด้วยความอยุติธรรม กลุ่มขุนนางจากรัฐบรูไนเหล่านี้ได้มีการเอาข้าวสาร ปลา รังนก และสิ่งของจากชาวบ้านพื้นเมือง โดยไม่จ่ายตอบแทนค่าสิ่งของ นอกจากนั้นยังให้ชาวบ้านจ่ายภาษีด้วยอัตราที่สูง สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านเป็นอันมาก

                                   ภาพวาดปาเงรันมูดาฮาชิม

ในรัฐซาราวัค มีการเปิดเหมืองพลวง (Antimony) และเหมืองทอง หนึ่งในผู้ที่ริเริ่มเปิดเหมือง คือดาตูปาติงฆีอาลี (Datu Patinggi Ali) ซึ่งมีชาวจีน ชาวดายัก เป็นพวก  จึงได้ก่อกบถระหว่างปี 1836 – 1840 ทำให้สุลต่านบรูไน จำเป็นต้องส่งปาเงรันมูดาฮาชิม (Pengiran Muda Hashim) ไปยังรัฐซาราวัคเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ไม่สามารถแก้ไขการกดขี่ ความอยุติธรรมที่สร้างขึ้นโดยปาเงรันมะห์โกตา และในปี 1838 กำลังของดาตูปาติงฆีอาลี ยิ่งเข้มแข็งขึ้น เมื่อได้รับการสนับสนุนดินปืนและอาหารจากสุลต่านซัมบัส (จังหวัดกาลีมันตันตะวันตก อินโดเนเซีย) นอกจากนั้นทาง ดาตูปาติงฆีอาลี ยังขอความช่วยเหลือจากฮอลันดา แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการเข้าร่วมก้าวก่ายในกิจการรัฐซาราวัค


ด้วยสถานการณ์จำเป็น ทำให้ทางปาเงรันมูดาฮาชิม ต้องขอความช่วยเหลือจาก เซอร์เจมส์  บรูค ที่เดินทางมากับเรือพร้อม 2 ปืนใหญ่ โดยมีการสัญญาจะให้เซอร์เจมส์  บรูค ปกครองบริเวณซาราวัค (เมืองกุจิง) และเมืองเซอเนียวัน จากนั้นในปี 1840 กำลังของเซอร์เจมส์  บรูค  และกำลังของ ปาเงรันมูดาฮาชิม จึงโจมตีกำลังของดาตูปาติงฆีอาลี ที่เมืองลีดะห์ตานะห์ (Lidah Tanah) แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ต่อมาเมื่อ 20 ธันวาคม 1840 กำลังของเซอร์เจมส์  บรูค  และกำลังของปาเงรันมูดาฮาชิม ได้โจมตีกำลังของดาตูปาติงฆีอาลี อีกครั้งที่เมืองซีกูดิส (Sikudis) ในครั้งนี้ กำลังของเซอร์เจมส์  บรูค  และกำลังของปาเงรันมูดาฮาชิม ประสบความสำเร็จเมื่อ คนของดาตูปาติงฆีอาลี คือปาเงรันมัตอูซิน (Pangeran Matusin) และผู้ติดตาม เดินทางเข้าพบเซอร์เจมส์  บรูค พร้อมขอเจรจาสงบศึก  และเซอร์เจมส์  บรูค ได้เห็นถึงอิทธิพลของดาตูปาติงฆีอาลี จึงแต่งตั้งเป็นมุขรัฐมนตรีคนแรกของของรัฐซาราวัค


                                เซอร์เจมส์  บรูค ที่ประเทศอังกฤษ


การต่อต้านของชาวมลายู

การปกครองรัฐซาราวัคของเซอร์เจมส์  บรูค ไม่ได้ราบรื่นตลอดไป ด้วยได้รับการต่อต้านจากชาวมลายูและชนพื้นเมืองอื่นๆ มีการต่อต้านที่หนังสือประวัติศาสตร์รัฐซาราวัคเรียกว่า The Malay Plot   ในปี 1853 1857 และ 1860  ภายใต้การนำของ  Datu Patinggi Abang Abdul Ghafor ที่เมืองกุจิง และ Sharif Masahor ที่เมือง Sarikei


                              สุสานเซอร์เจมส์  บรูค ที่ประเทศอังกฤษ


บั้นปลายชีวิตของเซอร์เจมส์  บรูค

ในสุดท้ายเซอร์เจมส์  บรูค ได้ลาพักและเดินทางกลับไปยังอังกฤษในปี 1863 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากกลับไปยังอังกฤษ ทางเซอร์เจมส์  บรูค ได้เดินทางกลับมายังรัฐซาราวัคอีก 2 ครั้ง เพื่อปราบโจรสลัดและปราบกบถที่เกิดขึ้นในรัฐซาราวัค เขาเสียชีวิตที่ไร่ของเขาที่ Devonshhire ประเทศอังกฤษในปี 1868 หลังจากที่เกิดเส้นสมองตีบ 3 ครั้งในระยะเวลา 10 ปี สำหรับเซอร์เจมส์  บรูค กล่าวว่ามีบุตร  แต่เป็นบุตรนอกสมรส


อ้างอิง

Buyong Adil, Sejarah Sarawak, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pustaka, 1981.


Sanib Said, Malay Politics in Sarawak 1946-1966: The Search for Unity and Political Ascendancy, Singapore: Oxford University Press, 1985.


Spenser St John, Rajah Brooke ,London, 1897.


The Ranee of Sarawak, My Life in Sarawak, Methuen & Co., London. 1913.


Selasa, 23 April 2024

ผู้ครองรัฐที่เป็นชนผิวขาวครอบครัวตระกูล บรูค (Brooke Family) ของรัฐซาราวัค ประเทศมาเลเซีย

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

เซอร์เจมส์  บรูค 

ครั้งนี้เรามาทำความรู้จักกับรัฐซาราวัค มาเลเซีย ซึ่งถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด และแปลกที่สุด เพราะรัฐซาราวัค เคยมีผู้ครองรัฐเป็นชนผิวขาวมาก่อน ในอดีตประเทศมาเลเซีย จะมีเจ้าผู้ครองรัฐ หรือสุลต่าน เป็นผู้ปกครองรัฐต่างๆ มีราชวงศ์ต่างๆปกครอง ส่วนใหญ่จะปกครองจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นเจ้าครองรัฐมะละกาที่สลายไป หลังจากรัฐมะละกาพ่ายแพ้ให้กับโปร์ตุเกส ภายใต้การนำของ Alfonso de Albuquerque ในปี 1511 สำหรับรัฐซาราวัค บนเกาะบอร์เนียวนั้น ด้วยมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของรัฐในประเทศมาเลเซีย นอกจากจะมีเจ้าผู้ครองรัฐชาวมลายูของรัฐซาราวัค รวมทั้งรัฐพื้นเมืองอื่นๆ เช่นรัฐซันตูบง  รัฐของชาวอีบัน รัฐมาลาโน  รัฐซามาราฮัน รัฐซาดง  รัฐกาลากา รัฐซารีบัส รวมทั้งรัฐที่ชื่อว่ารัฐซาราวัค นักวิชาการส่วนหนึ่งถือว่า สุลต่านตือเงาะห์ เป็นสุลต่านองค์แรกและองค์สุดท้ายของรัฐซาราวัค ซึ่งมีความสัมพันธ์กับรัฐบรูไนด้วย  นอกจากนั้นรัฐซาราวัค ยังมีความแปลกว่ารัฐอื่นๆ ด้วยในอดีตรัฐซาราวัคนั้น จะมีราชวงศ์คนผิวขาวปกครองรัฐซาราวัค รู้จักในนามของราชาผิวขาว หรือ Raja Putih หรือ White Rajahs โดยราชวงศ์ผิวขาวที่ปกครองรัฐซาราวัคนี้ มาจากครอบครัวชาวอังกฤษที่ชื่อว่า ครอบครัวบรูค (Brooke family)  การที่ราชวงศ์บรูคปกครองรัฐซาราวัคนั้น เรียกว่า ราชา หรือ Raja กล่าวว่าเพราะจะสร้างความแตกต่างจากราชวงศ์ชาวมลายูในเกาะบอร์เนียวที่ใช้คำว่า สุลต่าน


เดิมดินแดนรัฐซาราวัค เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบรูไน จนกระทั่งเซอร์เจมส์  บรูค ราชาผิวขาวคนแรกได้รับที่ดินจากรัฐบรูไน ในเวลาต่อมาการปกครองของเซอร์เจมส์ บรูค ก็ขยายตัวออกไปกว้างขึ้น   และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชาผิวขาวคนสุดท้ายของรัฐซาราวัคก็ได้มอบรัฐซาราวัคให้อยู่ในสถานะรัฐอาณานิคมของอังกฤษ (British Crown Colony)


วิวัฒนาการของดินแดนรัฐซาราวัค


รัฐซาราวัค ไม่เพียงมีการวิวัฒนาการด้านพื้นที่เท่านนั้น แต่รัฐซาราวัคยังมีการวิวัฒนาการของเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย ดังต่อไปนี้


1836 มีการต่อต้านการปกครองจากตัวแทนของสุลต่านบรูไนในรัฐซาราวัค


1840 ปาเงรันมูดาฮาชิมขอความช่วยเหลือจากเซอร์เจมส์  บรูค ในการปราบปรามผู้ต่อต้านการปกครองของตัวแทนจากรัฐบรูไน


1841 ปาเงรันมูดาฮาชิมแต่งตั้งเซอร์เจมส์  บรูค ให้เป็นผู้ว่าการและราชาซาราวัค


1842 สุลต่านบรูไนรับรองสัญญาที่ปาเงรันมูดาฮาชิมทำกับเซอร์เจมส์  บรูค


1846 สุลต่านบรูไนรับรองเซอร์เจมส์  บรูค เป็นราชารัฐซาราวัค และเป็นรัฐอิสระจากรัฐบรูไน


The Ranee of Sarawak (ราชานีแห่งรัฐซาราวัค) หรือ นาง Margaret Lili de Windt  ภรรยาของเซอร์ชาร์ลส์  แอนโทนี บรูค  ราชาผิวขาวคนที่สองได้บันทึกไว้ในหนังสือ My Life in Sarawak  ว่า


ปาเงรันมูดาฮาชิม(ราชามูดาฮาชิม) ตัวแทนของสุลต่านแห่งรัฐบรูไนได้เซ็นสัญญาลาออกจากยศและอำนาจ(ในรัฐซาราวัค) โดยมอบให้แก่ชาวอังกฤษ (เซอร์เจมส์  บรูค) และในปี 1884 เซอร์เจมส์  บรูค มีความปรารถนาในหลักฐานการดำรงตำแหน่งของตนเอง จึงได้เดินทางไปยังรัฐบรูไน นอกจากนั้นยังบันทึกว่า ปาเงรันมูดา ไม่เคยคาดคิดว่า เซอร์เจมส์  บรูค จะกลายเป็นราชาอิสระแห่งรัฐซาราวัค เขาคิดเพียงว่าตอนทำสัญญากับเซอร์เจมส์  บรูค จะเป็นเพียงราชา หรือผู้ว่าการที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบรูไน


เงินตราของรัฐซาราวัค

ในยุคที่ตระกูลบรูคปกครองรัฐซาราวัค ก่อนที่จะมอบรัฐซาราวัคให้เป็นรัฐอาณานิคมของอังกฤษนั้น รัฐซาราวัคนั้นจะมีการออกเงินตราของตนเอง และมีแสตมป์ที่ใช้ในการไปรษณีย์เป็นของตนเอง

เงินตราในยุคเซอร์เจมส์  บรูค ปีฮิจเราะห์ศักราช 1257 (1841)  ราคา 1 เกอปิง

 

                        เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์เจมส์  บรูค  ปี 1863

                     เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  บรูค  ปี 1870


เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  บรูค  ปี 1895

                    เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  บรูค  ปี 1911

เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1920

                  เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1934

                  เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1937

                   เงินตรารัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1950

ธนบัตรรัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1919

                    ธนบัตรรัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1929

                  ธนบัตรรัฐซาราวัคในยุคเซอร์ชาร์ลส์  ไวเนอร์ บรูค ปี 1940

Ahad, 21 April 2024

บทกวีชื่อ Raden Ajeng Kartini ของ ดร. อัซฮาร์ อิบราฮิม อัลวี

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ทุกๆ วันที่ 21 เมษายน อินโดเนเซียจะเฉลิมฉลองวันการ์ตีนี ถือเป็นวันสำคัญในการชื่นชมการทำงานของวีรสตรีของชาติอินโดเนเซีย วีรสตรีท่านนี้ชื่อเต็มว่า Raden Ajeng Kartini เขาได้รับความชื่นชมจากหลายๆ ส่วน สำหรับการมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยสตรีชาวอินโดเนเซียนับตั้งแต่ยุคอาณานิคม นอกเหนือจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมทางเพศในอินโดเนเซีย

นี่คือบทกวีเรื่องการ์ตีนี ผู้เป็นวีรสตรีของชาติอินโดเนเซีย ที่เป็นผลงานของส่งโดย ดร. อัซฮาร์ อิบราฮิม อาจารย์มลายูศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เนื่องในวันการ์ตีนี


Tanggal 21 April sesekian tercatat

Hari Kartini harus dibuat

Dari Indonesia ke seluruh sejagat

Mengenang perempuan tersanjung sifat


Itulah Raden Kartini dalam sejarah

Emansipasi perempuan diseru langkah

Pulangkan perempuan martabat dan maruah

Amalan jumud harus disanggah


Inilah riwayat memberi semangat

Sang puteri bangsawan berdarah ningrat

Yang teguh hidup berdepan kudrat

Berani hidup empunya filsafat


Dalam sejarah tercatat mulia

Dianugerah pengiktirafan pahlawan negara

Dari warkahnya tercatat semua

Fikiran, pendapat usulan dinyata


Kartini menulis bawaan nurani

Nadanya terang, tanpa berapi

Tetapi yang paling sangat bererti

Ialah sikapnya yang sangat peduli


Berani melafaz berani berpendirian

Inti fikirannya mendukung kemanusiaan

Hidup ini berpasak pertanggungjawaban

Segala yang merosak mesti dipersoalkan


Berani itu tidak semena ketakutan

Berani itu faham makna kebebasan

Berani itu sanggup untuk melafazkan

Berani itu tak ragu dalam tindakan


“Hormatilah segala yang hidup,”

Itu fikiran paling tersanggup

Kartini bicara tanpa gugup

Pintu peduli jangan pernah tertutup


Dalam merungkai sifat yang ampuh

Delapan sifat boleh dibubuh

Menjadi teladan menjadi suluh

Keberanian beliau wajar dicontoh


Kartini kagumi peradaban Barat

Tanpa menjadi songsang dan sesat

Bijak melihat kolonial bersiyasat

Cengkaman penjajah bangsanya dikerat


Ke sana ke sini menyuarakan hak

Pada perempuan kita harus berpihak

Namun kepedulian Kartini sebenarnya banyak

Dari kemiskinan, pendidikan sampai bacaan anak


Pada kefuedalan Jawa berani disinggung

Budaya mencengkam ia pertanggung

Tapi menjadi Jawa ia tak pernah canggung

Mampu membeda yang menekan dan yang mendukung


Pada penganut lain diberi hormat

Namun mesti ia samalah semangat

Jangan culas menepis berlainan umat

Jangan hanya fikir diri sendiri dapat selamat


Kepercayaan kolot berani disoal

Namun bukan disalahkan agama secara pukal

Ia kerana penganut yang bebal

Kepentingan sendiri menjadikan ia ungkal


Mencari ilmu pendidikan cerdas

Namun itu tidak akan membekas

Kalau keluhuran budi tercantas

Menjadikan manusia sombong dan culas


Kebangsawanan keturunan tegas ditolak

Melain diwariskan amanah mutlak

Yang tampil membela mana yang berhak

Itulah keperwiraan menolak yang lambak


Eropah Belanda memanglah beradab

Namun rakyat Jawa dibiarkan tersembab

Kartini mengajak dicarikan sebab

Mandiri berfikir diusungkan mujarab


Inilah lapan butiran wajar disebut

Tentang Kartini yang berseri dan lembut

Keberanian nuraninya wajar disambut

Kita perpanjangkan mana yang patut


Hari Kartini menjadi renungan

Syair kenangan tanda penghargaan

Pemikiran bangsa jadi harapan

Kekata Kartini mengakhir tukilan:


“Kemauan kami sangat kuat. Kenginan untuk mendapat penerangan, lahir dari keyakinan sendiri yang berurat berakar dalam hati. Hal itu kami peroleh karena rasa tanggungjawab, karena hiba hati dan turut merasai duka cita orang lain, dan oleh karena sudah kami pikirkan.”


Itulah Kartini yang berani. Dengan tabik kami kagumi.


เนื่องในโอกาสวันการ์ตีนี

21 เมษายน 2024 

ดร. อัซฮาร์  อิบราฮิม อัลวี

ภาควิชามลายูศึกษา

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์


อ้างอิง : BERITA Mediacorp/aq


 

Khamis, 18 April 2024

Indigenous Perspectives From The Malay Archipelago: Malay Descriptions Of The West Before 1876. By Prof. Dr. Ahmad Murad Merican

Oleh Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan

Tulisan Prof. Dr. Ahmad Murad Merican ini diambil dari Laman web www.malayheritage.gov.sg iaitu Laman web Malay Heritage Center Istana Kampong Gelam. Dan telah minta izin dari Prof. Dr. Ahmad Murad Merican.

Prof. Dr. Ahmad Murad Merican 

The “Ferringhi’ (sometimes “Ferringi”, “Ferringghi”) is perhaps the most known (archaic) moniker of the Western Other in Malay consciousness. The other is “Orang Putih.” We know that Batu Ferringhi is in Pulau Pinang. If we translate the name of that well-known beach area, it would mean “foreigner’s rock”. Not many take the name seriously. I had imagined how the Malays in Kedah, like the Malays in Melaka earlier or at the same time, had likened the foreigner a Ferringhi (meaning foreiqgner or outsider). It depicts an early encounter between East and West. Early Portuguese fleets, carrying hundreds of Portuguese who had little prior interaction with non-Christians, were perceived as the “Franks” by the larger non-European Asian population, especially in the immediate geopolitical and cultural proximity of Turkey, the Arab World and Persia. The Muslims who first encountered the Portuguese brought the idea of the “Franks” as the people who had attacked the holy places during the Crusades.


The Farsi “Farang” or “Farangi”, from the Farsi meaning European, was derived from the “Franks” It refers to the identity of the Franks (hence Frankish), once the major (West) Germanic tribe ruling Western Europe." It is from the old French word franc, meaning “Frank,” meaning Europeans. Some attributed Farang to the Arabic “afranj”. Hence, we hear of the “Faranj”, “Franji”, “Paranki”, “Parangiar”, and, of course, “Ferringhi”. The Farang also has a place in contemporary Thai intellectual and popular thought. (The late Thai anthropologist) Pattana Kitiarsa in a paper titled “Farang as Siamese Occidentalism” (2005) re-read and re-interpreted Thai historical and cultural constructions of the Farang.


Taking it as a reflexive subject to recapture its impact on the making and remaking of the Thai-self, he sees the idea of the Farang as “the wicked Other for the Thai. From time to time, the West has been represented as the giant, tricky wolf, while Siam the little helpless and innocent lamb”. A “Self-indulgent nationalism” robbing the production of thoughtful self criticism. While there is the “us-them” distinction, there was no presumption of moral or cultural superiority involved in the Malay categorisation of the Ferringgi as the Other. One of my earliest memories on narrations of Malay encounters with the West was the term “Benggali Putih” (White Bengalis) in a primary school history textbook from a chapter on the Portuguese in Melaka.


The Malays have made classifications on other peoples throughout history. We know this from early modern Portuguese records and of descriptions by the Malays from classical texts and epics. Malay perception of the Portuguese in the 16th century gives an idea of the first direct impact of these “Franks” in Southeast Asia. Historian Anthony Reid in his book Charting the Shape of Early Modern Southeast Asia (1999) describes the mission of Diego Lopez de Sequeira arriving in Melaka in September 1509. The account from the Sejarah Melayu pictured the Portuguese arrival as: “Then there came a Feringgi ship from Goa, and it came to trade in Melaka. The Feringgi saw that the city of Melaka was magnificent, and its port was exceedingly crowded. The people crowded round to see what the Feringgi looked like, and they were all surprised at their appearance.” The Melaka Malays likened the Portuguese to the Bengalis rather than Arabs where the latter “had to be respected on religious grounds, however much laughed at privately, but Bengalis were more numerous and more resented in Melaka.” Citing Portuguese chronicler Tomé Pires (1515), when the Malays want to insult a man, they call him a Bengali, “alleged to be sharp-witted but treacherous”.


Generally Malay accounts of the arrival of the Feringgi are morally neutral. To the Melaka Malays, or the various Malays in the Malay archipelago then, the Europeans represented just another element — and were always welcome. We find in indigenous and colonial sources that foreign merchants were acknowledged and honoured figures in the diplomatic practice of the region. And language was not a problem, for the lingua franca was always Bahasa Melayu. Malay classical texts have a way of describing the geographical and cultural location, hence self-identity — that of by reference to the term “atas angin” (above the wind) and “bawah angin” (below the wind). The former refers to the Indo-Persian world, the Arab world, Rome (usually described as Rum) and all points West. The latter refers to the Malays and other peoples of the East — most obvious are the Chinese and the Japanese. Indeed, the Malays initially perceived the Europeans as a kind of people from “atas angin” who were distinguished by pale skin and round eyes and displayed effectiveness with their shipboard cannon, armour and firearms.


The description by local Malay rulers of early encounters with the Ferringgis can also be described as the first Malay “ethnography” of the Europeans. And not always flattering at that. As we find in Italian explorer Antonio Pigafetta (1524), when Magellan’s men reached the Philippines, a Muslim merchant in the port of Cebu explained to its raja that “these were the same Feringgi who had conquered Calicut and Melaka”. Despite accounts in Sejarah Melayu, Hikayat Hang Tuah, Hikayat Tanah Hitu among the many Malay classical text across the Malay archipelago, the conception of the Ferringi is unlike that of the Thai Farang. The Ferringi, conceived as the “unproblematic Other”, was everywhere in the Malay archipelago.


Hence, the presence of the Europeans in the Malay Archipelago was not unusual before the period of colonial rule. And such presence was either in actual encounters (Barnard 2014, Murtagh 2007, Reid 1999, 1993) or in classical narratives described as within the mythical and metaphysical realms (Braginsky 2013). The Malay world has been exposed to other worlds and civilisations long before the Europeans arrived. The Malays are familiar with the Feringghi, in popular Malay thought referring to the Portuguese and Belanda – the Malay word for Dutch – through a host of oral and written traditions which manifest themselves in Malay norms and sayings.


Before the arrival of the West in the sixteenth century, we know from a variety of sources that a multitude of different peoples had been visiting the Malay Archipelago in particular (and Southeast Asia in general). The Europeans who first arrived in Southeast Asia were often astonished by the fabulous wealth and diversity of trade and traders that they found here. And, conversely, as Murtagh (2007) notes in his Introduction to The Portrayal of Foreigners in Indonesian and Malay Literatures, the inhabitants of the Malay Archipelago were used to seeing a wide assortment of people coming to their ports and were not at all amazed at the arrival of Europeans, who represented just another aspect of that diversity (p.1).


Apart from the Europeans, a large number of peoples from various areas of the world had visited and traded in the Malay Archipelago for centuries. They were part of extensive networks from China to India, and to West Asia and the Mediterranean region. Another term us, more inclusive than the “Ferringhi” was atas angin. From West Asia which includes India westwards – the peoples of atas angin (above the wind) as a Malay geographical and ethnic marker – formed at least semi-permanent communities in the main trading cities. Most often than not, these atas angin ethnicities from the littoral areas of the Indian Ocean, formed new communities in the Malay Archipelago, configuring upon the culture and world views in the port areas such as Tanjong, Melaka, Singapura, Medan and Batavia. The oft-quoted account of Portuguese historian Tome Pires mentions 1,000 Gujerati merchants, 4,000 Persians, Bengalis, Arabs together with a sizeable number of Tamils (Pires 1944, 254-5).


As a matter of comparison, the other ethnic marker (and self-identity) of the Malays is bawah angin (below the wind), referring to most obviously the Chinese, and the Japanese. While the atas angin in the Ferringhi was in the immediate environment and the observable past, that of Rum seems to represent a revered, an almost sacred realm in the traditional Malay psyche. In the narrative of Hang Tuah, we find that Melaka had become a significant power in the region and the Malay Archipelago, and it wanted to establish relationships with powers of the negeri di atas angin (lands above the wind) such as Rum, Egypt, and Makkah. Accordingly, Hang Tuah led missions to Majapahit, Kalinga, Brunei, Acheh, and Rum.


On a few occasions, he or representatives of the Sultan, bought gems and elephants, to reflect their prosperity and, of necessity, purchased weapons from Rum, as Melaka was being threatened by an invasion from the Ferringhi (Portuguese). The unknown author of Hang Tuah portrayed Hang Tuah as a much respected statesman in the various polities of the Malay Archipelago and also that of “Byzantium, the outpost of Rome.” Rum also refers to the region of the farthest extent of Hellenism and the Occidental reach in Asia. This would stretch until the regions located toward the north of the Indian sub-continent, geographically and culturally adjoining what is now the Turkish-speaking areas in central Asia. Perhaps a re-reading of Rum as narrated by such texts, including other known ones such as the Hikayat Merong Mahawangsa is inevitable to demythologise the expanse of the Malay worldview. The Raja Rum, whether understood to be a Greek, Persian, or Turkish ruler, is a popular figure in traditional Malay literature. An array of the kings of Rum occurs in many Malay literary genres conjuring images in the Malay imagination. From the known (or unknown) writers, we know much of Malay society, encounters with and influences from the outside world, as the Malay would say dari dunia luar.


Apart from Malay travels to India and China in the fourteenth and fifteenth centuries as well as Arabia from the period of Islamisation onward, of note were Malays who traveled inland into mainland Southeast Asia. An account of a Malay trader who was met by two Dutch factors in Vientiane in 1642 was noted in Reid (1993, 53).


Encounters with those from outside the Malay Archipelago was the convention for the Malays. Malays knew much of the world then. That such outside knowledge was incorporated locally, at least selectively was exemplified by the evidence contained in Albuquerque’s letter to Manuel I of Portugal (1495-1521), where he wrote of a map with place names written in Javanese, which he (Albuquerque) had obtained from a Javanese pilot.


A large map of a Javanese pilot, containing the Cape of Good Hope, Portugal, and the land of Brazil, the Red Sea and the Sea of Persia, the Clove Islands, the navigation of the Chinese and the Gores (Ruyukkan; B.M)…and the hinterland, and how the kingdoms border on each other. (Albuquerque to King Manuel, 1512, translated in Cortesão, 1944, Ixxviii).


How can we be certain that there were Malay encounters with the West and other di atas angin peoples as well as those of orang-orang di bawah angin? The marker of “below the wind” could be derived from Malay encounters with the Persians. This is found in descriptions of early Siam from a Persian source. In Ibn Muhammad Ibrahim’s The Ship of Sulaiman the author was describing Bangkok (mentioned as Suban) as a flourishing town. The following description suggests bawah angin as a Persian identity marker for countries in the East:


All around us were trees that never feel the withering touch of autumn, trees as flourishing as the youthful hopes which old men nourish in their hearts. Most countries of Below the Winds 3 evade the grip of autumn. The meadows and the trees keep their skirts free from the chill touch of winter. But this garden spot is surely the most blessed of all these regions. (4)


How did the Malays describe them? Before the 1800s, Malays did not write memoirs, travelogues, or any form such as the modern essay. But the Europeans did. Many of the European encounters with the peoples in the Malay world are known through writings in journals, memoirs, biographies, travelogues, notes, narrations, and chronicles. One such early record, relates Murtagh (2007), was provided by the Englishman Edmund Scot who was in Java from February 1602 until October 1605. His account described the attitude of the local inhabitants toward the English, and the Dutch. The confusion of the locals regarding the various European groupings was revealed when, on the occasion of the commemoration of the Queen’s coronation, the local chiefs could not understand why not all Europeans were celebrating. There was confusion as to the different political allegiances of the Europeans. Significantly, Scot’s remark on the local children’s reaction to the Dutch and English serves as an early record of Malay reaction to the European Other:


Many others did aske us, why the English men at the other house did not so (celebrate; B.M.): wee told them, that they were no English men, but Hollanders […] In the after noone I caused our men to walke abroad the Towne, and the Market, whereby the people might take notice of them, and the red and white Scarfes and Hatbands made such a showe, that the inhabitants of those parts had never seene the like, so that even after that day, wee were knowne from the Hollanders, and many times the Children in the streets would runne after us, crying Oran Engrees bayk, oran Hollanda Jahad, which is, the English men are good, the Hollanders are naught (Scot in Purchas 1905, II, 457-58).


There was, however, one exception. This can be seen in the largest collection of Malay letters in the world – the Light Letters – catalogued as MS40320. The Letters, earlier endowed to King’s College in 1835, were later reposited at the School of African and Oriental Studies (SOAS), University of London in 1816. The Letters are part of the larger Marsden Collection. William Marsden in 1827 describes the Letters as Malay correspondence, consisting chiefly of letters from the Rajahs and principal native merchants of the Peninsular and neighboring islands, addressed to Capt. Francis Light and Capt. James Scott of Pulo Pinang. In several Portfolios (Marsden 1827, 304) (Bibliotheca Marsdeniana Philologica et orientalis. A catalogue of books and manuscripts, collected with a view to the general comparison of languages, and to the study of oriental literature (London). Printed by J.L. Cox.)


In a later published catalogue, it was described as:

MS40320

A collection of several hundred Malay letters in 11 bundles. Consisting primarily of correspondences received (with some copies of letter sent) by Capt. Francis Light and Capt. James Scott of Penang from (and to) rulers and dignitaries of Malay Sultanates in the A.D. 1780s and 1790s. But there are also items from Acheh, Jambi, Indragiri, Minangkabau, Palembang, Pedir, Siak, and other places in Sumatera, from Brunei and Sambas, and from Tidore.

Various papers, various sizes. Marsden collection. See Marsden, 1827, p. 304. Some of these letters published with English translations in Marsden, 1812, pp. 137-57.

(In M.C. Ricklefs, P. Voorhoeve and Annabel Teh Gallop (2014) Indonesian Manuscripts in Great Britain. Jakarta: Ecole Française d’Extrême-Orient, Perpustakaan Nasional Republik Indonesia and Yayasan Pustaka Obor Indonesia).


The correspondence, mainly between 1771 and 1794, represents an episode of early encounters of the Malays in the Peninsula, Sumatra, Borneo, and the various islands in the eastern part of the Malay Archipelago with the West. It represents a complex relationship especially between the rulers of Kedah and Francis Light as a representative of a foreign institution. Generally from the letters, the Malays accept Francis Light as one of them, but with varying degrees of respect and reverence.


The period of correspondence was some years away from the emergence of Malay writing in the modern sense. One of the earliest was Ahmad Rijaluddin Hakim Long Kandu’s travel to Calcutta in 1810, and, probably on the prompting of a European, recorded his impressions. 5 Another was Abdullah bin ‘Abdul Kadir Munshi, known as Abdullah Munshi in his Hikayat Abdullah (1984), and Kisah Pelayaran Abdullah ke Kelantan (1838).


Quite apart from the numerous classical texts from across the “Malaysia” of the Malay Archipelago, which need constant reinterpretations of their literary forms as well as sociological, anthropological, historical, and geographical expressions, there are also autobiographies, sociological and journalistic narratives that deserve a revisit. Such initiatives could shed some light on the current complexities of ethnic relations in Malaysia, and other parts of the Malay Archipelago.


Footnotes

1.Before the appearance of the newspaper Jawi Peranakan in that year, published in Singapura. The lecture deals with the occasional text, mainly Malay manuscripts and some early printed works. It excludes regular periodicals as in newspapers and magazines whereby these would was induced the advent of print technology. The production and reproduction of texts – the writing itself and the narrative it spawned – ushers are different era, albeit a continuation, on Malay engagements with the outside world.


2.Ibn Muhammad Ibrahim, “Persian Views of Siam,” in Michael Smithies (1995), Descriptions of Old Siam (Kuala Lumpur: Oxford University Press), pp. 85-93. According to Smithies, Ibn Muhammad Ibrahim’s account about Siam is the only non-Western source used in his volume. Ibn Muhammad Ibrahim was the secretary of the Ambassador, Haji Salim Mazandarani, sent by Shah Sulaiman the Safavid (1666-94) to the King of Siam, Narai, in return for an embassy to the court of Isfahan. The Persian embassy was also enjoined to make contact with the Persian community in Siam. For an account of his observations and comments on life and practices in Siam, see Ibn Muhammad Ibrahim (1972), The Ship of Sulaiman, trans. John O’Kane (London: Routledge and Kegan Paul), pp. 50-1, 52, 59, 99-100, 120-1, 138-9, 148-9, 131-2.


3.This could also refer to non-temperate regions as in the Malay Archipelago, the Malay Peninsula, Cambodia, Laos and Vietnam.


4.Smithies, 1995.


5.See Ahmad Rijaluddin’s Hikayat Perintah Negeri Benggala.