Ekonomi/Bisnis

Khamis, 31 Oktober 2024

ศิลาจารึกเกอบนโกปี (Prasasti Kebonkopi II) ศิลาจารึกภาษามลายูแห่งชวาตะวันตก อินโดเนเซีย

โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

เมื่อกล่าวถึงศิลาจารึกในโลกมลายู นับว่า มีมากมาย และหลากหลายภาษา ในกลุ่มศิลาจารึกที่ใช้ภาษามลายูนั้น กระจายมีทั้งในประเทศมาเลเซีย อินโดเนเซีย สำหรับครั้งนี้ ก็กล่าวถึงศิลาจารึกหนึ่งในประเทศอินโดเนเซีย ที่ใช้ภาษามลายู และขอกล่าวถึงศิลาจารึกเกอบนโกปี II (Prasasti Kebonkopi II) คำว่า เกอบนโกปี แปลได้ว่า สวนกาแฟ แต่คำว่าศิลาจารึกเกอบนโกปี หมายถึงสถานที่พบศิลาจารึก ซึ่งพบที่เกอบนโกปี เรามาทำความรู้จักถึงศิลาจารึกเกอบนโกปีกันนะครับ


ศิลาจารึกเกอบนโกปี II (Prasasti Kebonkopi II) หรือ ศิลาจารึกปาเซร์มัวรา (Prasasti Pasir Muara) หรือ ศิลาจารึก Rakryan Juru Pangambat เป็นศิลาจารึกที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงชื่อเฉพาะของซุนดา มีอายุตั้งแต่ปีซากาศักราช 854 หรือ ค.ศ. 932 ศิลาจารึกนี้พบที่หมู่บ้านเกอบนโกปี เมืองโบโฆร์  และ ใกล้กับศิลาจารึกเกอบนโกปี I (Prasasti Kebonkopi I) และได้ตั้งชื่อให้แตกต่างไปจากศิลาจารึกเก่าสมัยตารูมานาฆารา


นักโบราณคดี ศาสตราจารย์ ดร. เอฟ.ดี.เค. บอช (Prof Dr. F. D. K. Bosch) ซึ่งศึกษาศิลาจารึกนี้กล่าวว่า ศึกษาศิลาจารึกนี้เขียนเป็นภาษามลายูโบราณ  โดยระบุว่า กษัตริย์แห่งซุนดาได้กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง และการตีความเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีค.ศ. 932 น่าเสียดายที่ศิลาจารึกนี้สูญหายไป และถูกขโมยไปในช่วงที่เกิดความวุ่นวายในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณทศวรรษที่ 1940


ศิลาจารึกเกอบนโกปี II (Kebonkopi II) ถูกค้นพบที่หมู่บ้าน Pasir Muara หมู่บ้าน Ciaruteun Ilir อำเภอ Cibungbulang เมือง Bogor จังหวัดชวาตะวันตก ในศตวรรษที่ 19 ระหว่างการแผ้วถางป่าเพื่อสร้างสวนกาแฟแห่งใหม่ ศิลาจารึกนี้อยู่ห่างจากศิลาจารึกเกบอนโกปี I ((Kebonkopi I) ประมาณ 1 กิโลเมตร (ศิลาจารึกตาปะฆายะห์)


ศิลาจารึกนี้สามารถอ่านได้ว่า

Ini sabdakalanda Rakryan Juru Pangambat I kawihaji panyaca pasagi marsandeca ~ ba(r) pulihkan hajiri Sunda


ศิลาจารึกนี้สามารถให้คำแปลว่า

ศิลาจารึกนี้เป็นคำพูดของ Rakryan Juru Pangambat (นักล่าหลวง) ในปีซากาศักราช 458 ว่า “berpulihkan hajiri Sunda” หรือ ผู้มีอำนาจ (คำสั่ง) จะถูกส่งกลับไปยังกษัตริย์แห่งซุนดา


การตีความ

ศิลาจารึก chandrasengkala เขียนไว้ว่า ปีซากา ศักราช 458 อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่าปีจารึกนี้ต้องอ่านย้อนหลังว่าซากาศักราช 854  (ค.ศ. 932) เพราะอาณาจักรซุนดาไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในปี ส.ศ. 536 ในยุคของอาณาจักรซุนดา ตารุมานาฆารา (ค.ศ. 358-669)


ศิลาจารึกนี้เขียนด้วยอักษรกาวี แต่ภาษาที่ใช้คือภาษามลายูโบราณ ศาสตราจารย์ ดร. เอฟ.ดี.เค. บอช (Prof Dr. F. D. K. Bosch) ตั้งข้อสันนิฐานว่า การใช้ภาษามลายูโบราณบ่งบอกถึงอิทธิพลของอาณาจักรศรีวิชัยที่มีต่อชวาตะวันตก นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลา ค.ศ. 932 ของศิลาจารึก นี้กับปี 929 ซึ่งตรงกับการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางทางการเมืองของอาณาจักรมาตารัมจากภาคกลางไปยังชวาตะวันออก


นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส โกลด กิโยต์ (Claude Guillot) จากสถาบัน École française d'Extrême-Orient เสนอว่าศิลาจารึกเกอบนโกปี II (Kebonkopi II) เป็นการประกาศเอกราช (อาจมาจากอาณาจักรศรีวิชัย) ของอาณาจักรซุนดาที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ เอ็ม. ซี. ริกเลฟส์ (M. C. Ricklefs) นักประวัติศาสตร์ชาวออสเตรเลียยังสนับสนุนข้อเสนอแนะนี้ในหนังสือของเขาชื่อว่า  A History of Modern Indonesia ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1200.


ชื่อของซุนดาถูกกล่าวถึงครั้งแรกในศิลาจารึกนี้ อย่างไรก็ตาม คำจารึกนี้ระบุว่า “berpulihkan hajiri Sunda” สามารถตีความได้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีกษัตริย์แห่งซุนดามาก่อน และตำแหน่ง (อำนาจ) ของเขาก็ได้รับการฟื้นฟูในที่สุด ในขณะที่ชื่อคำว่า "ปังกัมบัต" หรือ Pangambat แปลว่า "นักล่า" จึงตีความได้ว่ากษัตริย์ทรงเป็นนักล่าที่เก่งกาจ

Rabu, 30 Oktober 2024

ศิลาจารึกภาษามลายูที่อำเภอพอร์ตดิคซัน รัฐนัครีซัมบีลัน มาเลเซีย

โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

เมื่อกล่าวถึงศิลาจารึกภาษามลายูในประเทศมาเลเซีย เรามักจะกล่าวถึงศิลาจารึกที่รัฐตรังกานู แต่ความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งหลักศิลาจารึกที่รัฐนัครีซัมบีลัน ศิลาจารึกนี้ จะรู้จักในนามของหลักศิลาจารึกที่เมืองพอร์ตดิคซัน สำหรับหลักศิลาจารึกนี้มีรายละเอียดดังนี้


ศิลาจารึกนี้ใช้ภาษามลายูโดยใช้อักษรกาวีหรืออักษรชวาโบราณ ผสมกับการใช้อักษรอักษรยาวี สามารถเห็นศิลาจารึกนี้และหลุมฝังศพของเชคอาหมัด มายูนา ที่เสียชีวิตประมาณปี ฮิจเราะห์ศักราช 872 (ค.ศ.1467/68) ได้ที่ศูนย์ประวัติศาสตร์ปังกาลันเกิมปัส ใกล้กับดมืองพอร์ตดิคสัน งานจารึกที่ศิลาจารึกบนหินสุสานของเชคอาหมัด มายูนา ถือเป็นมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์จากศิลาจารึกในการใช้ภาษามลายูที่ผสมผสานระหว่างอักษรยาวีกับอักษรกาวีหรืออักษรชวาโบราณที่พบในมาเลเซีย ศิลาจารึกนี้ทำการอ่านโดย J.G. de Casparis และจัดพิมพ์ใน JMBRAS, Volume III, bahagian I, 1980.


สามารถอ่านได้ว่า

bismi'llahi'l-rahmani'l-rahimi

dara buta buka ata-tada milikna Ah-mat Majanu berbawat

daya/seda ahmat Pwan balat anak sadang

Ahmad Majanu ma malaga pada alah


สามารถให้ความหมายในปัจจุบันได้ว่า

Dengan nama Allah yang maha Pengasih, lagi Penyayang,

makam ini kepunyaan Ahmad Majanu, wira yang berjuang.

Ahmad gugur bersama-sama isteri Balat dan anak lelakinya.

Semasa berjuang dia gugur.


สามารถแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า

ในนามของพระเจ้า ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปรานี

สุสานนี้เป็นของอาหมัด มายานู วีรบุรุษผู้ต่อสู้

อาหมัดเสียชีวิตพร้อมกับภรรยาและลูกชายของบาลัท

ขณะต่อสู้เขาก็เสียชีวิตลง


สามารถอ่านได้ว่า

bismi'llahi'l-rahmani'l-rahimi

pertama Ahmad Maja-nu masuk ke jalan tat-kala raja-raja danan ba-

tun barah talang ketangkap lalagi phana wassalam 1385


สามารถให้ความหมายในปัจจุบันได้ว่า

Dengan nama Allah yang maha Pengasih lagi Penyayang

Ahmad Majanu adalah yang mula-mula muncul di tepi jalan

ketika raja dan Tun (?) Barah Talanga ditangkap. Akhirnya beliau ghaib (dalam tahun Saka 1385).”


สามารถให้ความหมายในภาษาไทยได้ดังนี้ว่า:

ในนามของพระเจ้า ผู้ทรงเมตตาและเมตตาเสมอ

อาหมัด มายานู เป็นคนแรกที่ปรากฏอยู่ริมถนน เมื่อกษัตริย์และตุน (?) บาราห์ ตาลังกา ถูกจับกุม ในที่สุดเขาก็หายไป (ในปีศก 1385)”


ความเข้าใจของผู้เขียน ความหมายของคำว่า Ghaib หรือ หาย น่าจะหมายถึง ตาย เสียชีวิต



ทำการอ่านโดยฮัจญียายูลี (Tuan Haji Jajuli) ได้แปลงจากอักษรยาวีเป็นอักขระโรมัน ได้ดังนี้:-


Ini adalah dar al-ijaar bi-nikmati-Llah makam Syeikh Ahmad

Majnun malam raya pergi mulai sanah pada Hijrah Salla-Llah 'alaihi wa-sallam dari lapan ratus Hijrah nabi lebih dua malam pada … Sultan Mansur radhi-Allah 'anhu ini …”


ทำการอ่านโดยศาสตราจารย์ ดร. ชาห์รีร์ มูฮัมหมัดซีน  ได้แปลงจากอักษรยาวีเป็นอักขระโรมัน ได้ดังนี้:-


Ini adalah dar al-ijaar bi-nikmati-Llah makam Syeikh Ahmad Majnun malam raya pergi mulai sanah pada Hijrah Salla-Llah 'alaihi wa-sallam dari

lapan ratus Hijrah nabi…(Mungkin tujuh puluh atau seerti dengannya)… lebih dua malam pada … Sultan Mansur radhi-Allah 'anhu ini Amin …”

Khamis, 17 Oktober 2024

งานสัมมนานานานชาติด้านวรรณกรรมอินโดเนเซีย ครั้งที่ 33 ที่เมืองปาเล็มบัง สุมาตราใต้ อินโดเนเซีย

โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน

ผู้เขียนได้ร่วมงานสัมมนาด้านวรรณกรรมต่างๆ โดยได้พบปะนักเขียน นักวรรณกรรมชาวอินโดเนเซีย และจากการได้พบปะกับนักเขียนชาวอินโดเนเซียนี้เอง ผู้เขียนได้รับข้อความว่า ทางสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย (Himpunan Sarjana-Kesusastraan Indonesia - HISKI) จะมีการจัดงานสัมมนาประจำปีของสมาคมฯในเดือนปลายเดือนตุลาคม 2024 พร้อมที่จะไปร่วมเป็นหนึ่งในองค์ปาฐก หรือ Keynote Speaker  ไหม ด้วยในช่วงที่ได้รับการติดต่อนั้น ยังมีเวลาอีกหลายเดือน จึงตอบรับพร้อมที่จะเดินทางไปร่วมงาน แต่พอใกล้งาน ทางเจ้าภาพที่มหาวิทยาลัยศรีวิชัย หรือ Universitas Sri Wijaya แจ้งว่า จะร่วมการประชุมแบบ offline หรือ online ก็ตอบว่า ถ้ามีองค์ปาฐกจากต่างประเทศบางท่าน จะร่วมประชุมแบบ online ผู้เขียนจึงตอบว่า ขอร่วมประชุมแบบ online ก็แล้วกัน และในการสัมมนาครั้งนี้ มีองค์ปาฐกจำนวนหนึ่งเข้าร่วมโดยทาง online มีนักวิชาการจากเยอรมัน นักวิชาการจากญี่ปุน นักวิชาการจากรัฐซาบะห์ มาเลเซีย


ในการสัมมนาวิชาการครั้งนี้ มีนักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วอินโดเนเซีย ยังมีองค์ปาถกมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น

มหาวิทยาลัย Goethe University of Frankfurt ประเทศเยอรมัน

Universiti Malaysia Sabah และ  UPSI ประเทศมาเลเซีย

Universidade de Lisboa ประเทศโปร์ตุเกส

Akita University ประเทศญี่ปุ่น

Nuantara Studies Center ประเทศไทย

ตัวแทนจากสาธารณรัฐซานมารีโน (อิตาลี)


ในการนี้ ขอเสนอความเป็นมาของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย ซึ่งผู้เขียนคิดว่า ทางศูนย์นูซันตาราศึกษา จะทำงานร่วมมือกับทางสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียในโอกาสต่อไป


สมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย (Himpunan Sarjana-Kesusastraan Indonesia - HISKI) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1984 ในเมืองตูกู ปุนจัก จังหวัดชวาตะวันตก หนึ่งในผู้ก่อตั้งและผู้ริเริ่มองค์กรนี้คือศาสตราจารย์ ดร. ซาปาร์ดี โยโก ดาโมโน่ (Prof. Dr. Sapardi Djoko Damono) นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 1986


สมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย:

1. ส่งเสริมและพัฒนาความคิดและความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิก

ในสาขาวรรณกรรม

2. เผยแพร่ผลการดำเนินงานเพื่อความก้าวหน้า ความรู้ การศึกษา และวัฒนธรรมอีกด้วย

3. เพิ่มกิจกรรมวรรณกรรมในหมู่ประชาชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย

1. จัดการประชุมทางวิชาการ

2. จัดการฝึกอบรมและการประชุมเชิงปฏิบัติการ

3. เผยแพร่ผลการดำเนินงานของเป้าหมายของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย

4. ส่งเสริมความเชี่ยวชาญให้กับสถาบันการศึกษาในด้านต่างๆ เช่น สาขาการพัฒนา การสอน และการวิจัยวรรณกรรม

5. มีส่วนร่วมในกิจกรรมระดับชาติและระดับนานาชาติอย่างแข็งขัน

เพื่อปรับปรุงวิชาชีพและความรู้

6. ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ตามหลักการและวัตถุประสงค์ของเป้าหมายของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย


สมาชิกของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียประกอบด้วย

(1) สมาชิกสามัญ (ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวัฒนธรรม ภาษา และวรรณคดี ตลอดจนนักวิชาการด้านการศึกษาภาษาและวรรณกรรมของอินโดเนเซีย ทั้งในระดับภูมิภาคและต่างประเทศ) และ

(2) สมาชิกกิตติมศักดิ์ (บุคคลธรรมดา ทั้งชาวอินโดเนเซียและชาวต่างชาติ) ซึ่งมีความสนใจและมีส่วนร่วมในการพัฒนาวรรณกรรม การจัดการของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียประกอบด้วยการจัดการจากส่วนกลาง การจัดการผู้แทน (ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค สถาบัน/หน่วยงาน หรือที่มหาวิทยาลัย) และคณะกรรมการของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย


กิจกรรมต่างๆของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย เช่น

โรงเรียนวรรณกรรม (Sekolah Sastra)

โรงเรียนวรรณกรรมเป็นหนึ่งในโครงการงานที่สมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย จัดขึ้นทุกเดือนในสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่สอง โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางในการสำรวจทฤษฎี วิธีการ และการศึกษานวัตกรรมทางวรรณคดี มีการอภิปรายเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถแลกเปลี่ยนความคิดหรือแนวคิดแบบโต้ตอบได้

โครงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (Tukar Tutur Sastra)

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวรรณกรรมเป็นหนึ่งในโครงการของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซีย ซึ่งหัวหน้าสาขาของสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียจะร่วมมือกันและเป็นแหล่งข้อมูลเพื่อแจ้งเกี่ยวกับปัญหาวรรณกรรมในพื้นที่ของตน โครงการนี้ดำเนินการเดือนละครั้งทุก ๆ สัปดาห์ที่สาม จุดมุ่งหมายของการจัด Literature Speech Exchange คือเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนด้านวรรณกรรมที่มีอยู่ในอินโดเนเซีย

สุนทรพจน์ด้านวรรณกรรม (Pidato kesusastraan)

เป็นโครงการการทำงานจากสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียส่วนกลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดแนวคิดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรม โครงการนี้ยังจัดให้มีพื้นที่สำหรับการอภิปรายระหว่างวิทยากรเพื่อให้การกล่าวสุนทรพจน์สามารถนำไปใช้ในชีวิตวรรณกรรมได้

 สมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียสู่โรงเรียน (Hiski Masuk Sekolah)

สมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียสู่โรงเรียนกับชุมชน (Hiski Bersama Komunitas)






ความร่มมือสมาคมปัญญาชนนักวรรณกรรมอินโดเนเซียกับองค์กรอื่นๆ (Hiski Berkerjasama dengan Lembaga Lain)


 

Isnin, 14 Oktober 2024

นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) นักกวีผู้ประยุกต์การอ่านบทกวีกับมัลตีมีเดีย (Puisi Multimedia) ชาวอินโดเนเซีย

โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

ในปี 2015 เมื่อครั้งที่ผู้เขียนและเพื่อนๆ ร่วมกับบรรดานักศึกษาสาขาวิชามลายูศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้จัดงาน “งานสัมมนาวรรณกรรมภูมิภาคมลายู ครั้งที่ 8” หรือ “Pertemuan Penyair Nusantara VIII” ที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี และจบโครงการสัมมนาครั้งนี้ โดยพักคืนสุดท้ายที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา  ทางผู้เขียนในฐานะเป็นหนึ่งคณะทำงานฝ่ายไทย และรับหน้าที่เป็นประธานจัดงาน“งานสัมมนาวรรณกรรมภูมิภาคมลายู ครั้งที่ 8” หรือ “Pertemuan Penyair Nusantara VIII” ในครั้งนั้น โดยได้เชิญคุณนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) และทางนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) ได้เข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนั้นด้วยความเต็มใจ  แต่หลังจากนั้นในเวลาต่อมา ผู้เขียนก็ได้ร่วมงานสัมมนาด้านวรรณกรรมในประเทศอินโดเนเซีย หลายต่อหลายครั้ง ให้เห็นถึงการแปลกในการอ่านบทกวีของนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) โดยการอ่านบทกวีของเขา จะมีการผสมผสานกับมัลตีมีเดีย ที่ในอินโดเนเซีย เรียกว่า Puisi Multimedia ทำให้การอ่านบทกวีของเขาจะแปลกกว่านักกวีคนอื่น และดึงดูดผู้ฟัง ผู้ชมได้เป็นอันมาก  ในครั้งนี้ขอแสดงขอเสนอประวัติ และผลงานของนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur)

นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur)  เกิดที่เมืองเปกันบารู จังหวัดเรียว เมื่อ 16 พฤศจิกายน 1969 เป็นนักเขียน นักกวีชาวอินโดเนเซีย เขามีชื่อเสียงจากบทกวีที่เขียนและอ่านพร้อมผสมผสานกับเสียงดนตรีและมัลตีมีเดียที่มีลักษณะเฉพาะ


นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur)  เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในผู้ริเริ่มงาน “วันกวีนิพนธ์อินโดเนเซีย-Hari Puisi Indonesia” ซึ่งเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากคอนเสิร์ตบทกวีมัลติมีเดียอันตระการตา ซึ่งเป็นผลงานที่มอบสีสันใหม่ให้กับการอ่านและแสดงบทกวีในอินโดเนเซีย เขาแสดงการอ่านบทกวีในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไนดารุสสาลาม ไทย และเกาหลีใต้


ตั้งแต่วัยเด็ก นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur)  มีส่วนร่วมในงานเกี่ยวกับงานศิลปะและการละคร หลังจากโตขึ้น นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur)  ได้ย้ายไปอยู่กรุงจาการ์ตาในปี 1995 และตั้งแต่ปี 2002 เขาได้อาศัยอยู่ในเมืองเดป๊อก (Depok) ซึ่งเป็นชานเมืองของกรุงจาการ์ตา และเป็นเมืองที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอินโดเนเซีย (Universitas Indonesia) ที่มีชื่อของอินโดเนเซีย


ในฐานะศิลปิน นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) ยังเป็นที่รู้จักในฐานะคนสำคัญที่ทำการละครแรงงาน โดยมีคณะการแสดง ชื่อว่า Sanggar Pabrik โดยเป็นคณะการแสดงที่จะกระตุ้น ให้ผู้ใช้แรงงานตระหนักถึงความสำคัญของชนชั้นแรงงาน โดยผ่านงานศิลปะ อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเขา มักถูกขัดขวางโดยรัฐบาลยุคระบบใหม หรือ Orde Baru (ยุคประธานาธิบดีซูฮาร์โต)  ซึ่งจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ในปี 1995 การแสดงของคณะ Sanggar Pabrik ที่มีชื่อว่า Surat Cinta Kepada Marsinah (จดหมายรักถึงมาร์ซีนะห์) ถูกยกเลิกโดยรัฐ จนต้องขึ้นศาลยุติธรรม จนในที่สุดศาลอินโดเนเซีย ที่เรียกว่า Pengadilan Tata Usaha Negara (PTUN) หรือ Sate Administrative Court ลงมติให้ทางคณะการแสดง Sanggar Pabrik ชนะในศาล หลังจากนั้นรัฐบาลอินโดเนเซีย ได้ออกระเบียบฉบับที่ 3 กำหนดให้ออกแนวปฏิบัติว่ากิจกรรมทางวัฒนธรรมทุกอย่างไม่จำเป็นต้องดำเนินการขอใบอนุญาต และถือว่าข้อระเบียบที่ประกาศนี้ เป็นหนึ่งในคุณูปการด้านศิลปะในประเทศมีความอิสระมากขึ้น ในปี 1997 เขาและภรรยาที่เพิ่งคลอดบุตร และเพื่อนๆ ของพวกเขาถูกจับกุมและจำคุกฐานจัดงานศิลปะเพื่อคนชายขอบ กลุ่มคนใช้แรงงาน แต่หลังจากเข้าสู่ยุคปฏิรูป หรือ ยุคที่ระบบซูฮาร์โตล้มสลาย เขากลับไปทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมและจัดอ่านบทกวี รวมทั้งการอ่านบทกวีที่เรียกว่า Puisi Multimedia ทั้งในและต่างประเทศ

เขามีบทบาทในการพัฒนาบทกวีในอินโดเนเซีย นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) ริเริ่ม "บทกวีมัลติมีเดีย" จากนั้นก็ริเริ่มวันกวีนิพนธ์อินโดเนเซีย (Hari Puisi Indonesia) และยังแนะนำบทกวีอินโดเนเซีย บนเวทีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ภายในประเทศ นอกเหนือจากการเขียนและอ่านบทกวีแล้ว นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) ยังทำกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย หนึ่งในนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในการแข่งขันบทกวีต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้ตัดสินในการแข่งขันอ่านบทกวีระดับชาติที่จัดโดย Forum Muda Cendekia (Formaci) จังหวัดชวากลาง ร่วมกับนักเขียนนามอุโฆษ ฟาติน ฮามามะห์ (Fatin Hamama)และนายเซนดัง มุลยานา (Sendang Mulyana) อาจารย์ของมหาวิทยาลัยดังระดับประเทศอินโดเนเซีย ที่ชื่อว่ามหาวิทยาลัยซือบือลัสมาเร็ต (UNNES)

ในการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) คือการจัดงานที่ชื่อว่า Anugerah Pantun Mutiara Budaya Indonesia โดยเป็นงานที่มีความชื่นชมสูงสุดสำหรับนักเคลื่อนไหวด้านวรรณกรรมที่เรียกว่าปันตุน (Pantun) ในอินโดเนเซีย ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2020 ที่เมืองบาตัม จังหวัดหมู่เกาะเรียว สำหรับอินโดเนเซีย มีนโยบายหนึ่ง ที่บางประเทศอาจจะไม่มี นั้นคือการสนับสนุนนักกวี นักวรรณกรรมในการสร้างหน่วยงาน สถานที่สร้างกิจกรรมด้านวรรณกรรม วัฒนธรรม ผู้เขียนมีเพื่อนนักเขียนคนหนึ่ง เป็นข้าราชการระดับสูง มีบทบาทในทางการเมือง กล่าวว่า เขามีที่ดินผืนหนึ่งบนเกาะที่เขาเกิด ต่อไปจะเมื่อเกษียณจากราชการ เขาจะของบประมาณจากรัฐบาลมาสร้างอาคารเพื่อกิจกรรมทางวรรณกรรม ทางวัฒนธรรม ด้วยรัฐบาลอินโดเนเซีย มีนโยบายเกี่ยวกับการสนับสนุนด้านวรรณกรรม ด้านวัฒนธรรม ทำให้ผู้เขียนเข้าใจนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) มากขึ้น เมื่อเพื่อนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คนหนึ่งเคยพูดว่าไม่รู้ว่า นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) เขาของบประมาณจากรัฐบาลอย่างไรในการสร้างบ้านของเขา เพื่อเป็นบ้านทำกิจกรรมด้านวรรณกรรม วัฒนธรรม ภายใต้ชื่อว่า Rumah Seni Asrizal Nur ต่อมาได้จัดตั้งกลุ่มนักวรรณกรรมภายใต้ชื่อ Perkumpulan Rumah Seni Seni Asrizal Nur หรือชื่อย่อว่า PERRUAS โดยผู้เขียนรับเป็นตัวแทนกลายๆของกลุ่ม  Perkumpulan Rumah Seni Asrizal Nur สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้


บทกวีของนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) หัวข้อ “Negeri Pantun


Negeri Pantun

(Kepada Tanungpinang)

Aku saksikan mata air kata

Meluap di lafaz pemantun

Jika berlabuh di dermaga kota

Dipeluk peradaban negeri pantunahkan


Bahkan laut bahkan ikan

Riak air dan gelombang

Pantai, pasir dan awan

Nelayan dan air pasang


Air memberi kata ke laut

Riaknya berpantun gelombang

Gelombang seru bertaut

Mengalir pantun di air pasang


Air pasang berpantun pada ikan

Ikan membalas kata riang

Riang kata umpan nelayan

Ikan dipancing dibawa pulang


Ikan pantun di lahap perut kota

Jadikan orang berlidah pantun

Tuntun cakap, mematut kata

Adat Melayu bertuah santun


Asrizal Nur

Tanjungpinang, 2007.

จากหนังสือ Lambaian Nusantara dari Kota Singa โดยมี Djamal Tukimn และ Ahmad Tahir เป็นบรรณาธิการ เป็นหนังสือเนื่องในโอกาสจัดงาน Pertemuan Penyair Nusantara VII


สำหรับกลุ่มนักวรรณกรรมภายใต้ชื่อ Perkumpulan Rumah Seni หรือชื่อย่อว่า PERRUAS ได้ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น


2019 จัดงาน Festival Literais Perruas

2020 จัดงาน Gerakan Menulis Pantun Budaya

2021 จัดงาน Gerakan 1000 Guru Asean Menulis Pantun

ต่อมาจัดงาน rekor MURI เป็นการรวมเล่มบทกวีประเภทปันตุนที่เป็นเล่มหนาที่สุด


รางวัลที่นายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur) ได้รับ

ชนะเลิศอ่านบทกวีระดับชาติ Lomba Baca Puisi Piala HB Jassin (1996)

รางวัล Anugerah Sagang สำหรับนักนักวรรณกรรมชาวจังหวัดเรียว 2007


องค์กรทางสังคม

ประธาน Paguyuban Seniman Indonesia SBSI (1996-2000)

ผู้ก่อตั้งสมาคมที่ชื่อว่า Persatuan Artis Melayu Dangdut Indonesia เมืองเดป๊อก (Depok)

ประธานสภาศิลปวัฒนธรรมเมืองเดป๊อก หรือ Dewan Kesenian Depok ( 2015 – ปัจจุบัน)

ประธานมูลนิธิที่ชื่อว่า Yayasan Panggung Melayu (2005 – 2014)

ประธานกลุ่ม Perkumpulan Rumah Seni Asnur

เลขาธิการมูลนิธิที่ชื่อว่า Yayasan Hari Puisi Indonesia (2004 – ปัจจุบัน)


ผลงานของนายอัซรีซาล นูร์ (Asrizal Nur)

Sang yang Hitam (1992)

Umar Bin Khattab (1992)

Merambah Belantara Naga (1993)

Antologi Puisi Nusantara (2006)

Rampai Melayu Asia Tenggara (2006)

Kumpulan puisi Portugal, Malaysia dan Indonesia (2008)

Percakapan Pohon dan Penebang (YPM, 2009)

Musi, Pertemuan Penyair Nusantara V (2011)

Kumpulan Puisi dan Cerpen Internasional Jilfest: Ibu Kota Keberaksaraan (2011)

Lambaian Nusantara Dari Kota Singa, Antologi puisi bersama Pertemuan Penyair Nusantara VII (2014)

Antologi Puisi Asean, The Vice Of Humanity (2015)

Pulara 5 (2015)

อาจารย์รุซณี ซูสารอ แห่งคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในครั้งเดินทางไปศึกษา ค้นคว้าเพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดเนเซีย ได้มีโอกาสไปเยี่ยมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายอัซรีซาล นูร์ และสัมพัสบ้านที่ทำเป็นที่ทำกิจกรรมของกลุ่มนักวรรณกรรมภายใต้ชื่อ Perkumpulan Rumah Seni หรือชื่อย่อว่า PERRUAS และได้นำหนังสือที่ผลิตโดยกลุ่ม Perkumpulan Rumah Seni หรือ  PERRUAS มาให้ผู้เขียน


Ahad, 13 Oktober 2024

บทกวีชื่อว่า “Sepucuk Jambi” โดย Chavchay Syaifullah นักกวีชาวอินโดเนเซีย

โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน

ผู้เขียนได้รู้จักนักเขียน นักกวีชาวอินโดเนเซียหลายคน และหนึ่งในหลายคนนั้น ผู้เขียนมีประทับใจคนหนึ่ง คือ นาย Chavchay Syaifullah  ด้วยนาย Chavchay Syaifullah นอกจากที่จะผลิตงานเขียนที่เป็นบทกวีแล้ว ยังประกอบอาชีพเป็นผู้ประกอบการอีกด้วย โดยเขามีร้านขายเสื้อผ้าถึงสองร้านในห้างสรรพสินค้า ซึ่งนับว่า เขาจะทำงานมีอาชีพเป็นหลักไม่ใช่เป็นนักกวี ที่อาศัยเงินจากการผลิตบทกวีเป็นหลัก นับเป็นตัวอย่างหนึ่งของนักกวี ที่เราเลือกว่านักกวีไส้แห้ง นอกจากนั้น เขายังทำหน้าที่เป็นกรรมการของศูนย์ทางวรรณกรรม ที่ชื่อว่า Rifa'i Center 


ก่อนอื่นเรามารู้จักประวัติของนาย Chavchay Syaifullah  นะครับ

เขาเกิด 1 ตุลาคม 1970  เป็นนักเขียนชาวอินโดเนเซีย ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในนามกวีรุ่นที่ 98 ซึ่งมีบทบาทในขบวนการต่าง ๆ ในช่วงยุคการปฏิรูป เขาตีพิมพ์ผลงานของเขาในรูปแบบบทกวี นวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร ฉากภาพยนตร์ เนื้อเพลง บทความ และวารสารศาสตร์วรรณกรรม ในการทำกิจกรรมทางสังคมเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายวรรณกรรมและวัมนธรรมขององค์ที่ชือว่า Parmusi (Persaudaraan Muslimin Indonesia) ในปี 2018 เขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นหนึ่งในกรรมการของงานวรรณกรมระดับภูมิภาคมลายู นั้นคือ งาน Pertemuan Penyair Nusantara เขาร่วมกับกลุ่มดนตรี Rempah เขาออกอัลบั้มแรกคือ  Tetap Ada Jalan (2004)  ผู้อำนวยการของ Rifa'i Center  (2020)  และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงเรียนประจำอิสลามแบบสร้างสรรค์ชื่อว่า Pesantren Kreatif Adh Dhamir (2020)


ผลงานเขียนของนาย Chavchay Syaifullah  เช่น

Multatuli Tak Pernah Mati (รวมบทกวี 2000)

Payudara (นวนิยาย  2006)

Sendalu (นวนิยาย  2006)

AOTAR: Amuk Ombak Tanah Rencong (นวนิยาย  2006)

Kemandirian Pemuda: Tantangan dan Harapan (งานวิจัยวิชาการ 2008)

Generasi Muda Menolak Kemiskinan (งานวิจัยวิชาการ 2008)

Pucuk Risau (รวมบทกวี 2010)

Keringatku Terkuras di Ranjang Muhammad (รวมเรืองสั้น 2012)

Tepi Renjana (รวมบทกวี 2013)


หนังสือรวมเล่น เช่น

Testimoni Ruang Kosong (ร่วมกับ Herdi Wibowo, Yudi Nurhadi, DC Aryadi, และ Aeng Siloent)


Jogja 5,9 Skala Richter (ร่วมกับ Saut Situmorang, Kurnia Effendi และ2006)


LA Underlover (รวมเรื่องสั้น ร่วมกับ Budi Darma, Nugroho Suksmanto, Triyanto Triwikromo, และ Eka Kurniawan 2008)


Rekonstruksi Pemuda (งานวิจัยวิชาการ ร่วมกับ Pandu Dewananta 2008)


Reruntuhan Baluwarti (รวมบทกวี ร่วมกับ Gol A Gong, Toto St Radik, Firman Venayaksa, Nanang Suryadi, Qizink La Aziva และอื่นๆ 2013)


ในครั้งขอเสนอบทกวีเชิงสร้างสรรค์ สะท้อนสังคมเมืองจัมบี ชื่อว่า Sepucuk jambi 

Sepucuk jambi

Sepucuk Jambi sungai Batanghari

Air cokelat jadi saksi, di mana kau?

Kuhirup kopi di simpang rimbo

Kutunggu kau

Tembesi dan bukit sari jadi haluan

Mana muara belio?

Mana tebo?


Makam dan prsasti

Melesat di depan mata

Truk-truk kelapa sawit berbaris

Hutan-hutan hangus terbakar

Jambi memanggilku ke satu waktu

Subuh 1902 Sultan Thaha dikhianati

Belanda menyerbu

Thaha ati di kali

Kucari tetes darah Thaha

Tapi aku kehabisan peran

Sebab sinar sore Jambi lebih dulu sima


Chavchay Syaifullah 

Jambi 2006


จากหนังสือ Lambaian Nusantara dari Kota Singa โดยมี Djamal Tukimn และ Ahmad Tahir เป็นบรรณาธิการ เป็นหนังสือเนื่องในโอกาสจัดงาน Pertemuan Penyair Nusantara VII