Ekonomi/Bisnis

Ahad, 26 April 2015

การแต่งงานตามหลักการศาสนาอิสลาม

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

สำหรับการแต่งงานตามหลักการอิสลามนี้ ได้รวบรวมเนื้อหาจากหลายๆที่มาเป็นหนึ่ง สำหรับการแต่งงานของชาวมลายู ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนั้น แม้ว่าชาวมลายูจะมีประเพณีการแต่งงานที่มีพิธีกรรมหลากหลาย แต่ในบรรดาพิธีกรรมต่างๆนั้น จะต้องมีพิธีกรรมที่เป็นหลักของการแต่งงานตามหลักการในศาสนาอิสลาม นั้นคือพิธีนิกะห์ 

การสมรส  คือ การผูกความสัมพันธ์ ระหว่างชายกับหญิง
โดยมีเป้าหมาย ทื่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน อย่างสามีภรรยา   ที่สอดคล้องกับหลักการชัรอียะฮ และกฎหมาย   อิสลามถือว่า การสมรส เป็นอิบาดะฮ ประเภทหนึ่ง ที่ส่งเสริมให้มี สำหรับผ้ที่มีความสามารถ ในด้านต่างๆ ที่กำหนด  ทั้งนี้ เพราะเป็นแบบอย่างที่ดีงาม จากท่านรอซูล  ศ็อลลัลลอฮุ  อะลัยฮิวะซัลลัม  ดังปรากฏในอัลกรุอาน  ความว่า “และโดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดารอซูล มาก่อนหน้าเจ้า  และเราได้ให้พวกเขา มีภรรยา และลูกหลาน” (อัรฺเราะอฺดุ:38)  

และอัลลอฮฺ  ซุบหานาฮูวาตาอาลา  ได้กล่าว ความว่า  “อัลลอฮฺทรงสร้างคู่ครอง ที่มาจากหมู่พวกเจ้า ให้แก่พวกเจ้าเอง  พระองค์ทรงทำให้เกิดลูก และหลาน จากภรรยาของพวกเจ้า  และทรงประทานปัจจัยยังชีพ จากสิ่งดีๆ แก่พวกเจ้า”   (อันนะหฺลุ:72)

            
การหมั้น  หมายถึง การตกลงระหว่างฝ่ายชาย กับฝ่ายหญิง ที่จะผูกพัน ด้วยการสมรส ในอนาคต  ทั้งนี้ เพื่อให้ทั้งสองฝ่าย ได้รู้จักซึ่งกันและกัน  และเพื่อความพร้อม ในการใช้ชีวิตคู่ต่อไป 

เงื่อนไขการหมั้น มีดังนี้
1. ฝ่ายหญิงจะต้องปราศจากข้อห้ามต่างๆ ตามบัญญัติอิสลาม
2. ฝ่ายหญิงจะต้องไม่มีชายใดหมั้นไว้ก่อน และหวังจะแต่งงานด้วย  ดังรายงานจากอุกบะฮฺ อิบนุอามีรฺ ว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว ความว่า “ผู้ศรัทธานั้น เป็นพี่น้องของผู้ศรัทธา  ดังนั้น  จึงไม่อนุญาตให้ขายตัดหน้า พี่น้องของเขา  และไม่หมั้นซ้อน พี่น้องของเขา จนกว่าคนนั้น เขาจะปล่อยไป” (บันทึกโดย  อะหมัด และมุสลิม)
3. ฝ่ายหญิงไม่อยู่ในช่วงของอิดดะฮฺ สามีคนก่อน  ยกเว้นสามีเสียชีวิต ก็อนุญาตให้พูดเป็นนัยๆ ไว้ก่อนได้
เมื่อทั้งสองฝ่าย ได้หมั้นหมายกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็มีสิทธิ ที่จะมองกันและกันได้ เฉพาะส่วนที่อนุมัติให้มอง เช่น ใบหน้าและฝ่ามือ แต่ห้ามทั้งสอง อยู่ในที่ลับตา หรือโดยลำพัง จนกว่าจะได้สมรสถูกต้อ งตามหลักของศาสนาอิสลาม  

การรับนิกะห์
การสมรสจะมีผล ตามหลักศาสนาอิสลาม ก็ต่อเมื่อมีการอะกัดนิกะห ซึ่งประกอบด้วย อีญาบ และกอบูล 
อีญาบ หมายถึง คำเสนอที่บ่งบอก ถึงการสมรสระหว่างใครกับใคร และทรัพย์มะฮัร (สินสอด) เท่าไร เช่นกล่าวว่า “ ฉันแต่งงานคุณ กับนางสาวอามีนะฮ บุตรีฉันด้วยมะฮัร 2,000 บาท’’เป็นต้น 
กอบูล หมายถึง การต้อนรับของฝ่ายชาย เมื่อผู้เสนอกล่าวคำอีญาบเสร็จ   เช่น   กล่าวว่า “ฉันรับการแต่งงาน ดังกล่าวแล้ว”  หรืออาจจะตอบรับ โดยละเอียด ตามที่เสนอก็ได้ 

ทั้งอีญาบ และกอบูล จะใช้ภาษาอะไรก็ได้ แต่ควรจะเป็นภาษาทั้งสองฝ่าย เข้าใจความหมาย และต้องกล่าวตอบรับ ในทันที โดยไม่มีคำพูดอื่นใด มาแทรกในระหว่างคำอีญาบ และกอบูล ในขณะเดียวกัน การรับนิกะห์ จะต้องมีพยานรู้เห็นไม่น้อยกว่า 2  คน โดยพยานต้องเป็นบุคคล ที่มีคุณสมบัติ  

 หญิงต้องห้ามแต่งงาน
ในการสมรสตามหลักการอิสลามนั้น ได้มีข้อกำหนด เกี่ยวกับคุณสมบัติของฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง ไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังได้กำหนดรายละเอียด ผู้ที่อิสลามห้ามทำการสมรส ไว้ด้วยเช่นกัน

ชายหญิงจะสมรสกันไม่ได้ เนื่องจากเหตุ 3 ประการ ได้แก่ 

1. ต้องห้ามเพราะสืบสกุล คือ 
-  แม่ แม่ของแม่ และสูงขึ้นไป 
-  ลูกสาว ลูกของลูกสาว และระดับต่ำลงไป 
-  พี่สาว น้องสาว 
-  อาหญิง 
-  ป้าหญิง 
-  ลูกสาวของพี่ชาย หรือน้องชาย 
-  ลูกสาวของพี่ชาย หรือน้องสาว 

2. ต้องห้ามด้วยสาเหตุการแต่งงาน  คือ 
-  แม่ของภรรยา แม่ของแม่ภรรยา แม่ของพ่อของภรรยา และระดับสูงขึ้นไป 
-  ลูกสาวภรรยาของเขา ที่เขามีเพศสัมพันธ์กับนางแล้ว และลูกสาวของลูกชายของนาง และ   ระดับต่ำลงไป
-  ภรรยาของลูกชาย ลูกสาวของลูกชาย ลูกสาวของลูกสาว และระดับต่ำลงไป 
-  ภรรยาของพ่อ 

3.ต้องห้ามเพราะการดื่มนม คือ 
-  หญิงที่เป็นแม่นม เพราะนางถือเป็นแม่ของเด็ก 
-  แม่ของสามีแม่นม เพราะนางถือเป็นย่าของเด็ก 
-  พี่สาว น้องสาวของแม่นม เพราะเป็นน้าสาวของเด็ก 
-  พี่สาว น้องสาว ของสามีแม่นม เพราะถือเป็นป้าของเด็ก 
-  ลูกสาวของลูกชาย และลูกสาวของแม่นม เพราะพวกนาง เป็นลูกสาวของพี่น้องชายหญิงของเขา 

̣ทั้งนี้ การดื่มนมต้องมีเงื่อนไขว่า ดื่มนมจริงๆ จากเต้านมของผู้ให้นมดังกล่าว โดยได้ดื่มนมจนอิ่ม ไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง และอายุของเด็ก ไม่เกิน 2 ขวบ

วลีย์
วลีย์   คือ  ชายผู้ซึ่งมีเอกสิทธิ์ ที่จะประกอบพิธีนิกะห์ หรือสมรสให้กับหญิง หรือสมรสให้กับชาย ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ เพราะมีรายงานจากกอบูมูซา ว่า แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวความว่า “ ไม่ถือเป็นการแต่งงาน นอกจากต้องมีวลีย์ ” (รายงานโดย ติรมีซีย์ ) 

วลีย์   แบ่งออกได้เป็น 7 ประเภท  

1. วลีย์คอส  ได้แก่ ผู้ชายที่เป็นญาติสนิทของหญิง ที่มีสิทธิ์เป็นวลีย์ได้ก่อน และหลัง ตามลำดับ ดังนี 
1.1 บิดา
1.2 ปู่
1.3 พี่ชาย หรือน้องชาย ที่ร่วมบิดา  มารดา
1.4  พี่ชาย หรือน้องชาย ที่ร่วมบิดา
1.5  บุตรชายของพี่ชาย หรือน้องชาย ที่ร่วมบิดา  มารดา
1.6  บุตรชายของพี่ชาย หรือน้องชาย ที่ร่วมบิดา 

ถ้าวลีย์ในลำดับที่ 1.6  ไม่มี  ก็ให้บุตรชายในลำดับที่ 1.5  เป็นวลีย์  ถ้าวลีย์ในลำดับที่ 1.5 ไม่มี  ก็ให้บุตรชายของวลีย์ ในลำดับที่  1.6  เป็นวลีย์   ถ้าบุตรชายของวลีย์ลำดับที่  1.6  ไม่มี  ก็ให้หลานชายของวลีย์ ลำดับที่  1.5 เป็นวลีย์  ถ้าหลานชายของวลีย์ลำดับที่  1.5 ไม่มี  ก็ให้หลานชายของวลีย์ลำดับที่ 1.6  เป็นวลีย์   โดยสลับกันไปเช่นนี้ จนกว่าจะขาด ชายผู้สืบสันดาน ของวลีย์ ในลำดับที่ 1.5  หรือที่  1.6

1.7  พี่ชาย หรือน้องชายของบิดา ที่ร่วมบิดา  มารดา 
1.8  พี่ชาย หรือน้องชายของบิดา ที่ร่วมบิดา 
1.9  บุตรชายของพี่ชาย หรือน้องชาย ที่ร่วมบิดา  มารดา 
1.10  บุตรชายของพี่ชาย หรือน้องชาย ที่ร่วมบิดา 
1.11  พี่ชาย หรือน้องชายของปู่ ที่ร่วมบิดา  มารดา 
1.12  พี่ชาย หรือน้องชายของปู่ ที่ร่วมบิดา 
1.13 บุตรชายของพี่ชาย หรือน้องชายปู่ ที่ร่วมบิดา  มารดา 
1.14  บุตรชายของพี่ชาย หรือน้องชายของปู่ ที่ร่วมแต่บิดา 

2. วลีย์อักรอบ  ได้แก่  วลีย์คอสที่สนิท หรือใกล้ชิดที่สุด ตามลำดับ ของวลีย์คอส ที่มีตัวตนอยู่ในขณะนั้น 

3. วลีย์อับอัฏ ได้แก่ วลีย์คอสที่ห่างลดหลั่นจากวลีย์อักรอบออกไปตามลำดั บ 

4. วลีย์มุจญบิร   วลีย์ที่เป็นบิดา   หรือปู่ในเมื่อไม่มีบิดา 

5. วลีย์หะกิม  คือผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง โดยพระมหากษัตริย์ ให้ทำหน้าที่สมรสผู้หญิง ที่บรรลุศาสนภาวะแล้วทั่วไป 

6. วลีย์อาม  คือผู้ทรงสิทธิ์จะประกอบพิธีสมรส ให้กับหญิงที่บรรลุศาสนภาวะทั่วไป 

7. วลีย์ตะห์กิม  คือผู้ชายที่ผู้หญิง กล่าวแต่งตั้ง ให้ทำหน้าที่เป็นวลีย์ และสมรสให้กับนาง 

ในส่วนของวลีย์คอส จะต้องเรียงลำดับก่อน หลัง จากลำดับที่ 1-14 จะสับเปลี่ยน โดยที่วลีย์ ยังคงมีตัวตนอยู่ และมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ได้ 

เงื่อนไขของผู้ทำหน้าที่เป็นวลีย์ในการสมรส  มีดังนี้ 
1. มุสลิม 
2. ไม่มีจิตฟั่นเฟือน 
3. ไม่เป็นเสมือนบุคคลไร้ความสามารถ 
4. ไม่เป็นฟาซิก 
5. มีสติปัญญาเยี่ยงสามัญชน 
6.ไม่อยู่ในระหว่างประกอบพิธีหัจญ์

พยาน
การสมรสจะมีผล ตามหลักของศาสนาอิสลาม จะต้องมีพยานการสมรส รู้เห็น ไม่น้อย กว่า 2 คน ดังรายงานจากท่าหญิงอาชีชะฮฺว่า แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อาลัฮิวะซัลลัม กล่าว ความว่า  “ไม่ถือเป็นการแต่งงาน นอกจากจะต้องมีวะลีย์ (ผู้ปกครอง) และมีพยานที่เที่ยงธรรม 2 คน” (บันทึกโดย อัดดารุกฏนี) 

และมีรายงานจากอิบนีอับบาสว่า แท้จริงท่านรอซูลศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว  ความว่า “ถือเป็นพวกกบฏ สำหรับหญิงที่แต่งงาน โดยไม่มีพยาน” (บันทึกโดยติรฺมีซีย์) 

จากหลักฐานที่กล่าวอ้าง จะเห็นได้ว่า พยานมีความสำคัญ เป็นอย่างยิ่ง อิสลามจึงได้กำหนดคุณสมบัติ ของพยานทั้งสอง ดังนี้

1. เป็นมูสลิม
2. ไม่มีจิตรฟั่นฟ์อน
3. มีสติปัญยาเยี่ยงสามัญชน
4. เป็นบุคคลอาดิล (ยุติธรรม) ไม่กระทำบาปใหญ่ หรือบาปเล็ก โดยสม่ำเสมอ
5. มองเห็น ได้ยิน และพูดได้
6. ไม่ผู้เสมือนไร้ความสามารถ
7. ประกอบอาชีพ ที่มีเกียรติ ตามสภาพสังคม
8. มีมารยาทดี       


มะฮัร (สินสอด)
มะฮัร หมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง หรือคุณประโยชน์อื่นๆ ที่ฝ่าชายต้องมอบ ให้กับฝ่ายหญิง เนื่องจากการสมรส ดังปรากฏในอัลกรอ่าน  ความว่า “และพวกเจ้าจงให้ทรัพย์มะฮัร แก่บรรดาหญิง (ที่พวกเจ้าแต่งงาน) ด้วยความเต็มใจ”            (อัลนิซาอ :4) 

สาระที่ควรรุ้ของมะฮัร มีดังนี้
ฝ่ายหญิงมีสิทธิ ที่จะเรียกรองมะฮัร จากฝ่ายชาย ได้ตามความเหมาะสม     

บิดามารดา หรือวะลีย์ ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินมะฮัรดังกล่าว เว้นแต่ฝ่ายหญิงมอบให้ ยกให้ หรืออนุญาตให้ใช้จ่ายได้

ฝ่ายชายไม่มีสิทธิ ขอลดปริมาณทรัพ์มะฮัร ที่ได้ตกลงกันแล้ว

ถ้าฝ่ายชายเสีชีวิตก่อนได้ร่วมประเวณี ฝ่ายหญิงมีสิทธิเรียกร้องมะฮัร ที่คงค้างได้ ไม่เกินครึ่งหนึ่งของมะฮัรทั้งหมด

ก่อนร่วมประเวณีครั้งแรกฝ่าหิงมีสิทธิที่จะขัดขืนไม่ยินยอมให้ฝ่ายชายร่วม ประเวณีได้ จนกว่าฝ่ายชายจะจ่าทรัพย์มะฮัรตามที่ได้ตกลงกันไว้

ถ้าฝ่าชายหย่าร้างก่อนร่วมประเวณีอันเนื่องมาจากฝ่ายหญิงไม่ยินยอมฝ่ายชายมิ สิทธิเรียกทรัพย์มะฮัรกลับคืนได้ทั้งหมด
การที่ฝ่ายหญิงจะกำหนดปริมาณทรัพย์มะฮัร ควรจัได้พิจารณาปริมาณทรัพย์มะฮัรของพี่สาหรือน้องสาวของบิดา หรือญาติผู้หญิงของบิดาเป็ยเกณฑ์ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในระยะเวลาที่ห่างกันไม่มากนัก
ทั้งฝ่ายชายและหญิง มีสิทธิที่จะตกลงกำหนดเวลาชำระ เพิกถอน เพิ่มเติม หรือลดทรัพย์อยย่างใดอย่างหนึ่ง  ที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วก็ย่อมได้         

ข้อควรคำนึงสำหรับฝ่ายหญิง คือไม่ควรกำหนดค่ามะฮัร มากจนเกินไป เพราะมีรายงานจากท่านหญิงอาอีชะฮ รอฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ความว่า “ความดีของสตรีนั้น คือทรัพย์มะฮัรน้อย การแต่งงานง่าย ๆ อุปนิสัยดี และที่ชั่ว ๆ ของนาง คือทรัพย์มะฮัรแพง  การแต่งงานแบบลำบาก อุปนิสัยไม่ดี ”
นอกจากนั้น การกำหนดค่ามะฮัรแพง เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระ ให้แก่ฝ่ายชาย ซึ่งจะเกิดผลกระทบ กับการใช้ชีวิตในอนาคต

งานวะลีมะฮฺ
เมื่อทั้งสองฝ่ายชายหญิง ตกลงพร้อมใจที่จะนิกะหฺ และอยู่กินด้วยกัน ฉันสามีภรรยา ในอนาคต จะมีกิจกรรมหนึ่ง ส่งเสริมให้กระทำ คือการจัดงานวะลีมะตุลอุรูส คืองานเลี้ยงสมรส เพื่อประกาศให้สังคมทั่วไปทราบว่า ชายหญิงคู่ดังกล่าว ได้สมรสกันแล้ว 

ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ อับดุรฺเราะฮฺมาน บุตรของโอ๊ฟ   ความว่า “จงจัดงานวะลีมะฮฺ แม้เป็นแกะเพียงตัวเดียวก็ตาม” (รายงานโดย ท่านบุคอรีย์) 

และรายงาน จากอบูฮุร็อยเราะฮฺว่า เมื่ออาลีได้หมั้นหมาย กับฟาติมะฮฺ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว ความว่า “ความจริงจำเป็น สำหรับการแต่งงาน มันต้องมีงานวะลีมะฮฺ”   (รายงานโดย ท่านอะหฺมัด) 

นักวิชาการ สรุปจากหะดีษดังกล่าว ว่า งานวะลีมะฮฺ เป็นสุนัตมุอักกาดะฮฺ ส่งเสริมให้จัด แต่ไม่ใช่จัดแบบฟุ่มเฟือย หรือจัดเพื่อเป็นเกียรติ และศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล สำหรับแขกผู้ถูกเชิญ จำเป็น (วาญิบ) ต้องไปร่วมงานดังกล่าว เพราะมีรายงานจากอิบนุอุมัรฺว่า แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าว ความว่า “เมื่อคนใดในหมู่พวกเจ้า ได้ถูกเชิญไปงานวะลีมะฮฺแล้ว เขาจงไปเถิด”  (รายงานโดย มุสลิม) 

เงื่อนไขการเชิญร่วมงานวะลีมะฮฺ ต้องมีดังนี้ 
1. ผู้เชิญต้องบรรลุศาสนภาวะ 
2. จะต้องไม่เชิญเฉพาะผู้ที่ร่ำรวย 
3. จะต้องไม่แสดงออกถึงการรักใคร หรือเกลียดใคร 
4. ผู้เชิญต้องเป็นมุสลิม 
5. ต้องเป็นงานวันแรกกรณีจัดงานหลายวัน 
6. ไม่เจาะจงว่าต้องไปงานก่อนคนอื่น 
7. จะต้องไม่มีกิจกรรมที่ขัดต่อหลักการของศาสนาปะปนอยู่ 
8. จะต้องไม่มีอุปสรรคในการเดินทางไปร่วมงาน 

ข้อควรคำนึง เกี่ยวกับการเชิญแขก ไปร่วมงาน ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตำหนิการเชิญแขก ที่มีฐานะดี และไม่สนใจผู้ที่ฐานะด้อย ดังรายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺว่า แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว ความว่า “อาหารที่เลวที่สุด คือ อาหารของงานวะลีมะฮฺ ซึ่งเป็นงานที่ห้ามคนที่อยากมา แต่ไปเชิญคนที่ไม่อยากมา และผู้ใดไม่ตอบรับเชิญ (ไม่ไปร่วมงาน) แน่นอนเขาได้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺและรอซูล”



Khamis, 23 April 2015

การแต่งงานตามประเพณีชาวมีนังกาเบา

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
การแต่งงานของชาวมีนังกาเบา มีส่วนที่แตกต่างกันบ้างจากการแต่งงานของชาวมลายู ด้วยชาวมีนังกาเบา เป็นชนชาวที่นอกจากนับถือศาสนาอิสลามแล้ว ยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีที่เรียกว่า Adat Perpatih   ซึ่งยึดหลักตามสายมารดาเป็นใหญ่ (matrilineal) ดังนั้นเงื่อนไขของชาวมีนังกาเบา ตามที่ Fiony Sukmasari ได้เขียนไว้ในหนังสือที่เขาเขียนเรื่อง  Perkawinan Adat Minangkabau มีดังนี้

1. คู่บ่าวสาวจะต้องเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม
2. คู่บ่าวสาวจะต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ในโคตรตระกูล (suku)
3.คู่บ่าวสาวจะต้องเคารพนับถือบิดา มารดาของแต่ละฝ่าย
4. ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องมีความสามารถในการเลี้ยงดูฝ่ายหญิง

จากหนังสือ Adat Minangkabau, Pola & Tujuan Hidup Orang Minang กล่าวว่า ชาวมีนังกาเบาที่แต่งงานนอกเหนือจากเงื่อนไขข้างต้น หรือละเมิดเงื่อนไขข้างต้น ถือว่าเป็นการแต่งงานที่ไม่สมบูรณ์ หรือ perkawinan sumbang สำหรับการแต่งงานนั้นชาวมีนังกาเบาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ด้วยการแต่งงานนั้นมีครั้งเดียวในชีวิต โดยถือว่าการแต่งงานนั้น เป็น “Perkawinan itu sesuatu yang agung”
ขั้นตอนการแต่งงานของชาวมีนังกาเบา

1. MARESEK
ขั้นตอนนี้เหมือนของชาวมลายู นั้นคือการสืบและการดูดวง ดูความเหมาะสม สำหรับขั้นตอนแรกนี้ ไม่เพียงเป็นประเพณีของชาวมลายูเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของหลักในศาสนาอิสลาม เพราะเราจำเป็นต้องรู้สถานะของผู้ที่เราต้องการจะแต่งงานด้วย ในขั้นตอนนี้ทางฝ่ายผู้ชาย แม้จะรู้แล้วว่าสถานะของฝ่ายหญิงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ฝ่ายผู้ชายต้องส่งตัวแทนเพื่อไปพบครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อพบและสอบถามว่าฝ่ายหญิงมีเจ้าของแล้วยัง หรือว่าหมั้นหมายกับใครแล้วยัง

2. MAMINANG/BATIMBANG TANDO (BERTUKAR TANDA)
การหมั้นและแลกเปลี่ยนสิ่งของ
ครอบครัวฝ่ายชายเดินทางไปยังครอบครัวฝ่ายหญิง เมื่อฝ่ายหญิงยอมรับฝ่ายชายแล้ว ก็จะมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของ เพื่อเป็นหลักประกันว่าทั้งสองฝ่ายเห็นชอบกับการหมั้น สำหรับ tando/batuka tando (bertukar tanda) นั้น จะเป็นสิ่งของที่ให้แก่ฝ่ายหญิง/ฝ่ายชาย เช่น กริช สิ่งของ เสื้อผ้าประจำเผ่ามีนังกาเบา เชี่ยนหมาก ขนม นมเนย ผลไม้ รวมทั้งสิ่งของที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติ ความเป็นมาของวงศ์ตระกูล

3. MAHANTA SIRIAH/MINTA IZIN

ฝ่ายชายแจ้งการแต่งงานแก่ญาติ พี่น้องของตนเอง ฝ่ายหญิงก็เฉกเช่นเดียวกัน จากนั้นฝ่ายหญิงได้ส่งพานพลู ส่วนฝ่ายชายได้ส่งของที่เช่น ยาเส้น แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบุหรี่ สำหรับครอบครัวฝ่ายหญิง ก็มีการประชุม หารือ เพื่อช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายของงานแต่ง เท่าที่ตนเองสามารถช่วยเหลือได้

4. BABAKO-BABAKI
บิดาของฝ่ายหญิงที่เรียกว่า bako ที่ต้องการจะแสดงถึงความรักของตนเอง โดยการช่วยเหลือออกค่าใช้จ่ายตามความสามารถของตนเอง ปกติแล้วพิธีนี้จะทำก่อนวันนิกะห์ไม่กี่วัน  มีการส่งสิ่งของที่ประกอบด้วย พานพลู ข้าวเหนียวเหลือง แกงไก่ เครื่องทอง กับข้าวที่ทำแล้ว หรือว่ายังสด ฝ่ายหญิง เดินทางไปยังบ้านของบิดาตนเอง หลังจากนั้นฝ่ายหญิงจึงเดินทางกลับไปยังบ้านของตนเอง

5. MALAM BAINAI
การทำเฮนนาให้กับฝ่ายหญิง มักจะทำเฮนนาในตอนกลางคืน ก่อนที่จะมีการทำพิธีนิกะห์ เป็นพิธีสำหรับฝ่ายหญิงเท่านั้น โดยทำเฮนนาที่นิ้ว และเล็บ รวมทั้งฝามือ  เล็บเท้า  และรอบฝามือ

6. MANJAPUIK MARAPULAI
พิธีนี้ถือว่าสำคัญที่สุดของจารีตประเพณีตาม Adat Perpatih โดยฝ่ายชายจะถูกเชิญไปยังบ้านของฝ่ายหญิง เพื่อพิธีนิกะห์ โดยฝ่ายหญิงจะต้องมีการเตรียมสิ่งของ เช่น เชี่ยนพลู เครื่องแต่งกายของผู้ชาย ข้าวเหลือง ขนมนมเนย กับข้าว ผลไม้ สำหรับพื้นที่ชายฝั่งของเกาะสุมาตรานั้น จะมีการนำสิ่งของที่เป็น ดาบ หอก ร่มเหลืองด้วย

7. PENYAMBUTAN DI RUMAH ANAK DARO
การต้อนรับฝ่ายชายที่เดินทางไปบ้านฝ่ายหญิง จะมีการแสดงดนตรี การรำพื้นบ้านของชาวมีนังกาเบา เช่น talempong dan gandang tabuk barisan Gelombang Adat timbal balik yang terdiri dari pemuda-pemuda berpakaian silat, serta disambut para dara berpakaian adat yang menyuguhkan sirih ครอบครัวฝ่ายหญิงจะมีการแสดงรำ tari Gelombang Adat Timbal Balik ฝ่ายชายจะเดินสู่บ้านฝ่ายหญิง โดยมีการประน้ำ (diperciki air) เป็นสัญลักษณ์ถึงการล้างสิ่งสกปรก ทำให้สะอาด และเดินบนพรมหรือผ้าสีขาว เพื่อสู่พิธีนิกะห์ (Akad nikah)


8. TRADISI USAI AKAD NIKAH
มีพิธีกรรมอยู่ 5 อย่าง ที่ชาวมีนังกาเบาต้องทำ หลังจากที่พิธีนิกะห์เสร็จสิ้น นั้นคือ

1. memulang tanda
เมื่อฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง ได้ทำการนิกะห์ เสร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องมอบสิ่งของที่แต่ละฝ่ายมอบให้แก่กัน ตอนที่มีการหมั้น คืนให้แก่แต่ละฝ่าย

2. mengumumkan gelar pengantin pria
เรียกว่า Malewakan Gala Marapulai เป็นการประกาศมอบชื่อบรรดาศักดิ์ให้แก่ฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายชายได้แต่งงานแล้ว
3. mengadu kening
มีการชนคิ้วกัน

4. mengeruk nasi kuning
ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงต้องแย่งกันหาเนื้อที่ซ่อนไว้ในข้าวเหลืองที่เตรียมไว้


 5. bermain coki
การเล่นคล้ายหมากรุกของชาวมีนังกาเบา การเล่นนี้เป็นสัญลักษณ์ของคู่บ่าวสาวที่จะต้องมีความอดกลั้น อดทนในการเป็นคู่ชีวิตกัน  เพื่อให้ทั้งคู่เป็นคู่ชีวิตที่ราบรื่น สามารถอยู่ด้วยกันตลอดไป


การแต่งงานของชาวมีนังกาเบานี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เรียกว่า Pariaman นั้น ยังแปลกกว่า พื้นที่อื่น นั้นคือ นอกจากฝ่ายชายต้องให้ค่าสินสอดแก่ฝ่ายหญิงแล้ว ฝ่ายหญิงยังต้องมอบเงินที่เรียกว่า Wang hangus หรือ  Wang hilang ให้แก่ฝ่ายชายอีกด้วย ซึ่งบางครั้งอาจจะมีค่ามากกว่าค่าสินสอดเสียอีก

Rabu, 22 April 2015

ประเพณีการแต่งงานของชาวมลายู

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
ประเพณีการแต่งงานแบบมลายูในบทความนี้ เป็นของชาวมลายูในประเทศมาเลเซีย ไม่ใช่ชาวมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะในจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมีแตกต่างจากนี้บ้าง 

ทุกสังคม ทุกเชื้อชาติย่อมมีประเพณีการแต่งงานตามแบบของแต่ละเชื้อชาติ ชนเผ่า  ชาวมลายูก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีประเพณีการแต่งงานตามแบบของชาวมลายู  สำหรับชาวมลายูแล้วมีการยึดถือว่า "Biar mati anak jangan mati adat" หรือความหมายว่า ยอมที่จะให้ลูกตาย เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งมีความหมายในเชิงลึกว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นจำเป็นต้องรักษาไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อไป สำหรับปรเพณีในการแต่งงานของชาวมลายูนั้นประกอบด้วย

ขั้นตอนแรกของพิธีแต่งงานของชาวมลายู
1.Merisik dan menengok (การสืบและการดูดวง ดูความเหมาะสม)
การสืบและการดูดวง ดูความเหมาะสม สำหรับขั้นตอนแรกนี้ ไม่เพียงเป็นประเพณีของชาวมลายูเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของหลักในศาสนาอิสลาม เพราะเราจำเป็นต้องรู้สถานะของผู้ที่เราต้องการจะแต่งงานด้วย ในขั้นตอนนี้ทางฝ่ายผู้ชาย แม้จะรู้แล้วว่าสถานะของฝ่ายหญิงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ฝ่ายผู้ชายต้องส่งตัวแทนเพื่อไปพบครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อพบและสอบถามว่าฝ่ายหญิงมีเจ้าของแล้วยัง หรือว่าหมั้นหมายกับใครแล้วยัง มีบทกวีที่กล่าวถึงขั้นตอนนี้ว่า

Orang Jawa turun ke dusun,
Singgah sejenak dipinggir kota,
Kami membawa sirih tersusun,
Sudilah sepiak membuka kata.
Orang dusun pergi ke huma,
Bawa ke pekan seikat keladi,
Sirih tersusun kami terima,
Sila nyatakan hasrat di hati.

2.Meminang (การหมั้น)
ขั้นตอนของ ”การหมั้น” ถือเป็นขั้นตอนแรกของการแต่งงานในขนบธรรมเนียม ประเพณีของชาวมลายู ปกติในขั้นตอนนี้ ฝ่ายชายจะนำแหวนหนึ่งวง เรียกว่า “cincin tanda” รวมทั้ง “tepak sirih” หรือเชี่ยนหมาก หนึ่งสำรับที่ประกอบด้วยหมาก พลู สีเสียด(Gambir) สำหรับเชี่ยนหมากนี้ จะเรียกอีกอย่างว่า “sirih meminang” ถ้าฝ่ายหญิงการทาบทามการหมั้น ฝ่ายชายจะยื่นเชี่ยนหมากนี้ให้แก่ฝ่ายหญิง สำหรับแหวน “cincin tanda” ถือเป็นแหวนที่ไว้สัญญาไว้
การหมั้นถือเป็นการยินยอมของทั้งสองฝ่าย ปกติตามประเพณีก็จะมีการกำหนดระยะเวลาของการหมั้น

2) Menghantar Belanja, Akad Nikad (การส่งค่าสินสอด การแต่งงาน ตามหลักศาสนาอิสลาม)
ฝ่ายชายจะมีการมอบ “เงินค่าสินสอด” ที่เรียกว่า “belanja” และสิ่งของให้แก่ฝ่ายหญิง สิ่งของต่างๆนั้นมีดังต่อไปนี้ 
1. sirih junjung ชุดพลู มีการจัดรูปแบบที่สวยงาม เป็นสิ่งของที่ฝ่ายชายส่งให้ฝ่ายหญิง
2. cincin pertunangan แหวนสำหรับการหมั้น
3. satu set bahan persolekan ชุดเครื่องสำอางจำนวน 1 ชุด 
4. bunga rampai  บุหงารำไป
5. sepasang baju เสื้อผ้า 1 ชุด
6. kuih muih ขนม นมเนย
7. buah-buahan  ผลไม้
ปกติสิ่งของเหล่านี้จะใส่ไว้บนพา โดยพานชุดพลูจะอยู่ข้างมาสุด และสำหรับชุดต่างๆนั้นจะจัดในจำนวนเป็นเลขคี่

ชุดขนม และชุดผลไม้ ถือว่าเป็นชุดที่ต้องมี เพราะเป็นปรัชญา และสื่อถึงความหวาน และความหอม อันมีความหมายว่าจะมีความหอม หวานจนถึงวันแต่งงาน

ขั้นตอนที่สองของพิธีแต่งงานของชาวมลายู
1.Berandam Berasah gigi
เป็นพิธีที่ต้องทำในที่มิดชิด ปลอดจากผู้คน  ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุด คือ mak andam ปกติจะทำก่อนวันขึ้นบัลลังภ์ 1 วัน มีการตกแต่งคิ้ว  รวมทั้งมีการทำความสะอาด จัดถูฟันให้มีความเป็นระเบียบ  สำหรับสิ่งที่ใช้ในพิธีนี้ คือ kain putih, limau purut (จำนวนเป็นเลขคี่), bertih, pisau cukur, gunting, sikat, setengah meter kain putih, sirih, air semangkuk, bedak, bunga tujuh jenis และสิ่งของอื่นๆอีกจำรวนหนึ่ง 

2) Istiadat Berinai
พิธีเฮนนา นี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 
2.1 berinai curi 
2.2 berinai kecil 
2.3 berinai besar

berinai curi และ berinai kecil หลายๆวันก่อนพิธีการแต่งงาน เป็นพิธีสำหรับฝ่ายหญิงเท่านั้น โดยทำเฮนนาที่นิ้ว และเล็บ รวมทั้งฝามือ เล็บเท้า  และรอบฝามือ


ขั้นตอนที่สามของพิธีแต่งงานของชาวมลายู
1) Bersanding
พิธีนั่งบัลลังค์ เป็นพิธีที่บรรดาแขกรับเชิญจะมาร่วมงานกัน  โดยฝ่ายชายจะเดินทางไปยังบ้านของฝ่ายหญิงในกรณีจัดงานที่บ้าน หรือไปยังสถานที่จัดงาน พร้อมมีการรับโดยการตีกลอง ที่เรียกว่า pukulan kompang

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการประกอบพิธีขั้นตอนการแต่งงานของชาวมลายู

Sabtu, 4 April 2015

ประเทศตีมอร์เลสเต้ - เสวนานูซันตารา ครั้งที่ 4 ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

โดย นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน
 
เมื่อวันที่ 23-25 มีนาคม 2015 ทางวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้จัดสัมมนานานาชาติเกี่ยวกับอิสลามศึกษา โดยบังเอิญตัวแทนจากประเทศตีมอร์เลสเต้ คือคุณอารีฟ อับดุลลอฮ ซัรกัน ซึ่งดำรงตำแหน่งทางสังคมมุสลิมเป็นนายกสมาคมมุสลิมของประเทศตีมอร์-เลสเต้ และมีตำแหน่งทางราชการเป็นประธานคณะกรรมการเลือกตั้งของประเทศตีมอร์-เลสเต้ ดังนั้นผู้เขียนในนามของแผนกวิชามลายูศึกษาและศูนย์นูซันตาราศึกษา จึงใช้โอกาสเล็กๆน้อยๆที่มีอยู่จัด"เสวนานูซันตารา -Forum Nusantara ครั้งที่ 4" ณ ห้อง19405 เวลา10.00-11.00 น. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สำหรับคุณอารีฟ อับดุลลอฮ ซัรกัน เป็นหลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยตีมอร์-เลสเต (The Democratic Republic of Timor-Leste) 

การจัดเสวนานูซันตาราครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของแผนกวิชามลายูศึกษาและศูนย์นูซันตาราศึกษา ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเทศตีมอร์-เลสเต จากเจ้าของประเทศจริง ซึ่งบางอย่างไม่มีในตำรา หรือไม่มีการเขียนในตำราของประเทศไทย
สิ่งที่ได้จากการเสวนนูซันตาราครั้งนี้ ทำให้ได้รับรู้ว่า ประเทศเล็กๆอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยตีมอร์-เลสเต ที่มีประชากรเพียง 1.1 ล้านคนนั้น ยังมีสภาพที่ค่อนข้างจะยากจน การช่วยเหลือของชาติตะวันตกนั้น โดยความจริงแล้วไม่ได้มีความจริงใจต่อชาวตีมอร์-เลสเต แต่เพื่อผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศตีมอร์-เลสเตต่างหาก ด้วยประเทศตีมอร์-เลสเตเป็นประเทศที่มีน้ำมัน


ประเทศตีมอร์-เลสเตเป็นประเทศที่มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติ และแบ่งเขตการปกครองออก เป็น 13 เขตการปกครอง (administrative districts) ดังนี้

เขตเลาเตง
เขตเบาเกา
เขตวีเกเก
เขตมานาตูตู
เขตดิลี
เขตไอเลอู
เขตมานูฟาอี
เขตลีกีซา
เขตเอร์เมรา
เขตไอนารู
เขตโบโบนารู
เขตกอวาลีมา

เขตโอเอกูซี