Ekonomi/Bisnis

Rabu, 28 April 2021

การทูตด้านมืดของอินโดเนเซียในการผนวกดินแดนอิเรียนตะวันตก

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

กระบวนการผนวกดินแดนอิเรียนตะวันตกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดเนเซีย ใช้เวลาอย่างยาวนาน ถึง 14 ปี นับตั้งแต่ปี 1949 จนถึงปี 1963  ในขณะที่การประกาศเอกราชของอินโดเนเซียนั้น ดินแดนปาปัว หรืออิเรียนตะวันตก ยังไม่ได้เป็นจังหวัดหนึ่งของอินโดเนเซีย  สำหรับดินแดนอิเรียนตะวันตก เมื่อผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดเนเซีย ในปี 1961 จึงมีการจัดตั้ง “จังหวัดอิเรียนตะวันตกในสถานการณ์การสู้รบ” โดยมีเมืองเอกอยู่ที่เมืองโซอาซียู (ตีโดเร)   ภายหลัง สหประชาชาติได้ยอมรับมอบจังหวัดอิเรียนตะวันตกให้กับอินโดเนเซีย เมื่อปี 1963 จึงมีการจัดตั้งจังหวัดอิเรียนตะวันตก โดยมีเมืองเอก ตั้งอยู่ที่เมืองจายาปุรา (เดิมชื่อ เมืองซูการ์โนปุรา)

 

ดินแดนอิเรียนตะวันตก เดิมอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรมาชาปาฮิต ในปลายศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่ของดินแดนอิเรียนตะวันตก อยู่ติอิทธิพลของสุลต่านนูนุ แห่งรัฐตีโดเร  ในสนธิสัญญาระหว่างชาห์รีร์-Van Mook และสนธิสัญญา Linggar-Jati เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1947 ตอนที่ 3 ได้กล่าวว่า ประเทศสหพันธรัฐอินโดเนเซีย จะครอบคลุมดินแดนทั้งหมดของฮินเดียฮอลันดา นั้นหมายถึงครอบคลุมรวมถึงปาปัว หรืออิเรียนตะวันตกด้วย

 

รัฐบาลอินโดเนเซียติดสินบนหัวหน้าสภาประชาชนปาปัวที่จัดตั้งโดยฮอลันดา การเมืองเงินที่ไม่ได้บันทึกในประวัติศาสตร์

สภาประชาชนปาปัวจัดตั้งขึ้นในปี 1961 มีสามชิกสภาจำนวน 29 คน โดย 16 คน จาก 29 คนได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน


ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีซูการ์โนได้ต้อบรับพันเอกซูฆิห์ อาร์โต (Colonel Soegih Arto) กงสุลใหญ่อินโดเนเซียประจำสิงคโปร์ ที่ถูกเรียกตัวกลับยังกรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าพบอย่างด่วน เป็นการเข้าพบเพื่อมอบภารกิจสำคัญยิ่ง ประธานาธิบดีซูการ์โน พันเอกซูฆิห์ อาร์โต และนายซูบันดรีโอ (Soebandrio) รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดเนเซีย และควบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยราชการลับ หรือ Badan Pusat Intelijen (BPI) ของอินโดเนเซีย  ได้ร่วมกันปรึกษาหารืออย่างเครียด



พันเอกซูฆิห์ อาร์โต ได้เขียนในหนังสือชีวประวัติของเขาที่ชื่อ Sanul Daca: Pengalaman Pribadi Letjen (Pur.) Soegih Arto โดยเขียนว่า ประธานาธิบดีซูการ์โนได้อธิบายถึงแผนของรัฐบาลอินโดเนเซียในการได้มาดินแดนอิเรียนตะวันตกด้วยวิธีแหกคอก

 

พันเอกซูฆิห์ อาร์โต ตะลึงเมื่อได้ฟังประธานาธิบดีซูการ์โน ออกคำสั่งให้เขาไปยังฮ่องกง พร้อมนำเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปด้วย ด้วยเงินจำนวนดังกล่าวพันเอกซูฆิห์ อาร์โต จะสามารถซื้อดินแดนอิเรียนตะวันตก

 

ตามแผนการด้วยเงินจำนวนมากถึง 1 ล้านดอลลาร์ จะเป็นตัวที่จะทำให้สภาประชาชนปาปัว สภาที่จัดตั้งขึ้นโดยฮอลันดา จะลงมติให้ดินแดนอิเรียนตะวันตกต้องการที่จะผนวกเข้ากับประเทศอินโดเนเซีย แม้ว่าจะเป็นการใช้เงินในการลงทุนที่สูง แต่การเมืองเงินเช่นนี้ ได้มีการไตรตร่องมาเป็นอย่างดี ตามที่พันเอกซูฆิห์ อาร์โต เขียนไว้ ถ้าการเจรจาประสบความสำเร็จ จะเป็นการหลีกเลี่ยงการปะทะด้วยอาวุธ จะเป็นการักษาชีวิตของชาวบ้านด้วย

 

การเจรจาที่ฮ่องกง

การปฏิบัติการลับนี้ ไม่ได้ทำโดยพันเอกซูฆิห์ อาร์โต คนเดียว แต่จะประกอบด้วย ทีมงานของหน่วยราชการลับ หรือ Badan Pusat Intelijen (BPI) ของอินโดเนเซีย  เช่น นายการ์โตโน กอดรี (Kartono Kadri) ผู้อำนวยการฝ่าย 2 ของหน่วยราชการลับ หรือ Badan Pusat Intelijen (BPI) ของอินโดเนเซีย เป็นฝ่ายปฏิบัติการ และรวบรวมข้อมูล รวมทั้งพันตำรวจเอกซัมซุดดิน นอกจากเป็นทีมของหน่วยราชการลับ หรือ Badan Pusat Intelijen (BPI) ของอินโดเนเซียแล้ว เขายังเป็นเลขานุการของสถานกงสุลอินโดเนเซียประจำสิงคโปรือีกด้วย ทั้งสามคนเดินทางจากสิงคโปร์ไปยังฮ่องกง 

 

พันเอกซูฆิห์ อาร์โตไม่ได้บันทึกว่าพวกเขาเดินทางเมื่อไร แต่ในหนังสือของนาย Ken Conboy ชื่อว่า Intel: Menguak Tabir Dunia Intelijen Indonesia กล่าวว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในไตรมาศที่สองของปี 1962 ซึ่งอยู่ในช่วงของปฏิบัติการยึดอิเรียนตะวันตกภายในการนำของพลตรีวูฮาร์โต

ที่ฮ่องกงทางหน่วยราชการลับ หรือ Badan Pusat Intelijen (BPI) ของอินโดเนเซีย ได้จัดการอำนวยความสะดวก โดยให้พันเอกซูฆิห์ อาร์โต และเพื่อนๆ พักที่โรงแรม Sunning House พวกเขาจะพบกับชาวฮอลันดาที่มีอิทธิพลอยู่ในอิเรียนตะวันตก พันเอกซูฆิห์ อาร์โต ในฐานะหัวหน้าคระเจรจา มีอำนาจในการเจรจาติดสินบน แต่จะต้องไม่มากกว่าจำนวนเงินที่ได้จัดให้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการนำอิเรียนตะวันตกเข้าผนวกกับอินโดเนเซีย

 

การเจรจาจะดำเนินการในโรงแรม Miramar บนเกาะเกาหลูน ที่คณะของชาวฮอลันดาพักอยู่ ฝ่ายอินโดเนเซีย จะมีตัวแทนเข้าร่วมเจรจา คือ พันเอกซูฆิห์ อาร์โต และนายการ์โตโน กอดรี ส่วนฝ่ายฮอลันดา จะมีนายฮอลันดาอินโดเนเซีย ชื่อ Mr. de Rijke พร้อมเลขานุการเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง  

 

การติดสินบนนักการเมืองที่มีอิทธิพลในสภาประชาชนปาปัว

Mr. de Rijke ได้อธิบายให้พันเอกซูฆิห์ อาร์โต และนายการ์โตโน กอดรี ว่าตัวเองนั้นเกิดที่เมืองเกอดีรี บนเกาะชวา และตัวเองพูดและเข้าใจภาษาชวา และบอกว่าตัวเขาเป็นหัวหน้าของสภาประชาชนปาปัว หรือ Nieuw Guinea Raad

 

ในการเจรจาครั้งนั้น เป้นการเจรจาสบายๆ ไม่มีความตึงเครียด การเจรจาครั้งนั้นมีความก้าวหน้า ในการเจรจา สิ่งแรกคือการลงมติการผนวกเข้าอิเรียนตะวันตกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดเนเซีย  สิ่งที่สอง ในเรื่องการใช้เงินในการติดสินบน

 

ปาปัวและความทะเยอทะยานของประธานาธิบดีซูการ์โน

ในการเจรจาการผนวกอิเรียนตะวันตกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดเนเซียนั้น ทาง Mr. De Rijke ได้มีการเรียกร้องและเงื่อนไขจำนวนมาก ข้อแรก ขอให้อินโดเนเซียยุติการแทรกแซงทางการทหาร ข้อที่สอง ขอให้ปาปัว หรืออิเรียนตะวันตก เป็นเขตการปกครองพิเศษ ข้อที่สาม ขอให้ไม่มีการกีดกั้นการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ทั้งของนิกายคาทอลิก และโปรเตสแตนต์  ข้อที่สื่ ขอให้ปาปัวหรืออิเรียนตะวันตก สามารถใช้เงินตราของตัวเอง เหมือนกับที่ดินแดนเรียวใช้  ข้อที่ห้า ขอให้ปาปัวหรืออิเรียนตะวันตก สามารถใช้ธงของตนเอง ทุกข้อเรียกร้องได้รับการรับหลักการจากทางฝ่ายอินโดเนเซีย เพื่อสรุปหาข้อยุติ

 

ในหนังสือของ  Ken Conboy ได้บันทึกว่าพันเอกซูฆิห์ อาร์โต ได้กล่าวถึงข้อเรียกร้องของ  Mr. De Rijke ว่า ข้อเรียกร้องข้อแรกนั้น ทางเราเห็นด้วย ที่จะรับรองสถานะของปาปัวเป็นเขตปกครองพิเศษ ข้อที่สอง ด้วยในดินแดนเรียว (ทั้งพื้นที่เรียวบนเกาะสุมาตรา และหมู่เกาะเรียว) ประชาชนจะใช้เหรียญของสิงคโปร์และมาลายา ดังนั้นทางรัฐบาลอินโดเนเซีย จึงยอมรับที่จะให้เรียวใช้เงินตราของตัวเอง ภายใต้อินโดเนเซีย เพื่อดึงชาวเรียวให้หันมาใช้เงินตราของเรียว ซึ่งก็คือของอินโดเนเซียแทนการใช้เงินของสิงคโปร์และมาลายา ดังนั้นในข้อนี้  ทางพันเอกซูฆิห์ อาร์โต ยอมรับที่จะให้ใช้เงินตราของฮอลันดา ข้อที่สาม ทางเราเห็นด้วยที่จะให้คณะมิสชั่นนารีทั้งนิกายคาทอลิก และโปรเตสแตนต์  สามารถอยู่ในดินแดนอิเรียนตะวันตก 

 

ส่วนข้อเรียกร้องที่ทางเราไม่เห็นด้วย คือ การใช้ธงของอิเรียนตะวันตกอย่างโดดเดียว แต่เราเสนอว่า สามารถชักธงปาปัวได้ แต่ต้องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าธงอินโดเนเซีย  เกี่ยวกับการแทรกแซงทางการทหารนั้น พันเอกซูฆิห์ อาร์โต ตอบว่า ทางอินโดเนเซียจะยุติการแทรกแซงทางการทหาร เมื่ออิเรียนตะวันตกได้ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดเนเซียแล้ว  เมื่อได้รับรู้ถึงข้อเรียกร้องของ Mr. de Rijke แล้ว ก็มีการร่างมติที่จะเสนอในสภาประชาชนปาปัว ดังนั้นเมื่อเป็นการยอมรับว่า ปาปัว หรืออิเรียนตะวันตก กับอินโดเนเซีย มีประวัติศาสตร์ที่ร่วมกัน ดังนั้นสภาประชาชนปาปัว จึงมีการลงมติเป็นเสียงส่วนใหญ่ให้ดินแดนปาปัว หรือ อิเรียนตะวันตก ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดเนเซีย

นักประวัติศาสตร์ฮอลันดาชื่อว่า นาย Pieter Drooglever กล่าวในหนังสือTindakan Pilihan Bebas: Orang Papua dan Penentuan Nasib Sendiri ว่า ชาวปาปัว หรืออิเรียนตะวันตก มีความสงสัยว่า ตัวแทนของพวกเขาที่อยู่ในสภาประชาชนปาปัว (Nieuw Guinea Raad) จะร่วมมือกับฝ่ายอินโดเนเซีย แต่ในบรรดารายชื่อที่ร่วมมือกับฝ่ายอินโดเนเซียนั้น ไม่ปรากฏชื่อ Mr. De Rijke โดยนาย Mr. De Rijke เป็นทนายความที่มีประสบการณ์ เป็นชาวฮอลันดาอินโดเนเซีย คือชาวฮอลันดาที่เกิดในอินโดเนเซีย เป็นผู้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของชาวฮอลันดาอินโดเนเซียในปาปัว นอกจากนี้เขายังเกี่ยวข้องกับการปลอมเอกสาร จนทำให้เคยถูกคุมขังเป็นเวลา 4 เดือน

 

หอจดหมายเหตุอังกฤษได้เก็บรักษาเอกสารส่วนตัวของ Mr. de Rijke โดยให้คำอธิบายว่า Mr. de Rijke มีชื่อเต็มว่า Mr. Jacob Olaf de Rijke เกิดเมื่อ 9 กันยายน 1921 แต่เอกสารดังกล่าวยังอยู่ในเอกสารระดับความลับ ซึ่งจะสามารถเปิดได้เมื่อ 1 มกราคม 2024 ก็คงต้องรอการเดเอกสารว่า จะสามารถเปิดเผยความลับว่า เบื้องหลังการผนวกอิเรียนตะวันตกมีความลับที่ยังไม่ได้บันทึกอะไรบ้างในประวัติศาสตร์อินโดเนเซีย

 

อ้างอิง

Martin Sitompul, Diplomasi Gelap Pembebasan Irian Barat, https://historia.id/.

R.Z. Leirissa.1992.Sejarah Proses Integrasi Iraian Jaya,Departmen Pendidikan dan Kebudayaan, Jakarta.



 

Tiada ulasan:

Catat Ulasan