Ekonomi/Bisnis

Sabtu, 13 Jun 2020

ชาวกามิน ชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยที่เราไม่ค่อยรู้จัก ในประเทศเมียนมาร์

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิม ที่ดังที่สุดในประเทศเมียนมาร์ คือกลุ่มชาวโรฮิงญา (Rohingya Ethnic) ซึ่งเกิดจากการกดดันของรัฐบาลเมียนมาร์ อันมีหลากหลายปัจจัย จนเกิดการอพยพหนีภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศบังคลาเทศ รวมทั้งประเทศอื่นๆ เช่นประเทศมาเลเซีย ซึ่งชาวมาเลเซียส่วนหนึ่ง และค่อนข้างมากในประเทศมาเลเซียเริ่มมีความรู้สึกว่า ชาวโรฮิงญามาอาศัยในประเทศมาเลเซียมีจำนวนถึงกว่า 2 แสนคน แต่เรียกร้องสิทธิต่างๆ จนปัจจุบันเกิดคลื่นต่อต้านชาวโรฮิงญาในประเทศมาเลเซีย[1]

คลื่นต่อต้านชาวมุสลิมในประเทศเมียนมาร์เเกิดขึ้นมานานแล้ว เช่น คลื่นการต่อต้านมุสลิมในปี 1938 ความจริงแล้วกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิมในประเทศเมียนมาร์ นอกจากกลุ่มชาติพันธุ์โรฮิงญาแล้ว ยังมีจำนวนมากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น 

-ชาวเมียนมาร์เชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่ในเมืองร่างกุ้ง
-ชาวปันไต เป็นกลุ่มชาติพนธุ์เชื้อสายสายจีนมุสลิม
-กลุ่มชาติพันธุ์มลายูบริเวณเกาะสอง  
-กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่าชาวเซอร์บาดี ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดจากลูกหลานของบิดาชาวมุสลิมเอเชียใต้และตะวันออกกลาง โดยมารดาเป็นชาวเมียนมาร์พื้นเมือง
-และกลุ่มชาติพันธุ์กามิน

เราแทบจะไม่รู้จักกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มีชื่อว่าชาวกามิน  สำหรับชาวกามินนั้น เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยหนึ่งในประเทศเมียนมาร์ ชาวกามิน นี้จะเขียนภาษาในภาษาพม่า (Bamar) ว่า ကမိန်လူမျိုး ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในรัฐอาระกัน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นรัฐยะไข่ (Rakhine State) และถือเป็นชนพื้นเมืองของรัฐดังกล่าว

ชาวกามิน แตกต่างจากชาวโรฮิงญา ด้วยชาวกามินได้รับการยอมรับจากรัฐบาลเมียนมาร์ให้จัดเป็น 1 ใน 7 ของกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองของรัฐยะไข่ ซึ่งถือเป็นพลเมืองเต็มตัวของประเทศเมียนมาร์ มีสิทธิชอบธรรมในการมีสัญชาติเมียนมาร์ ตามรัฐธรรมนูญประเทศเมียนมาร์ปี 1982 หรือ Burma Citizenship Law of 1982 (မြန်မာဘာသာ) ถึงจะเช่นนั้นก็ตาม แต่ด้วยกลุ่มชาติพันธุ์กามินในฐานะที่เป็นชาวมุสลิม ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วุ่นวายการก่อจลาจลในรัฐยะไข ในเดือนมิถุนายน และเดือนตุลาคม ปี 2012  บ้านเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์กามินก็ถูกชาวอาระกันพุทธเผาเช่นเดียวกันกับชาวโรฮิงญา[2]

วิถีชีวิตชาวกามิน จะมีความแตกต่างจากชาวโรฮิงญาอยู่ ความเคร่งและความอนุรักษ์นิยมจะมีน้อยกว่าชาวโรฮิงญา ซึ่งชาวโรฮิงญาจะมีความเคร่งกว่า ผู้หญิงชาวกามินส่วนใหญ่ จะไม่สวมฮิญาบ
ประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์กามิน
กล่าวว่าในปี 1660 หนึ่งในเจ้าชายของราชวงศ์โมกุล ซึ่งราชวงศ์โมกุลปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียใต้ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เจ้าชายคนนั้นชื่อว่า เจ้าชายชูจาชาห์ (Prince Shuja Shah) เป็นบุตรคนที่สองของกษัตริย์โยฮันชาห์ ได้เกิดปัญหาเรื่องการแย่งชิงบัลลังค์ หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการพยายามที่จะขึ้นครองบัลลังก์ราชวงศ์โมกุล

จึงได้หนีไปอาระกัน (Arakan) ซึ่งปัจจุบันคือ รัฐยะไข่  โดยเจ้าชายชูจาชาห์ พร้อมกับครอบครัวและผู้ติดตามของเขาย้ายไปยังเมือง Mrohaung หรือปัจจุบันเรียกว่าเมือง Mrauk U[3] ด้วยหวังว่ากษัตริย์แห่งอาระกันจะปกป้องเขาและครอบครัว พร้อมผู้ติดตาม และจัดหาเรือให้เจ้าชายชูจาชาห์ได้ไปแสวงบุญที่นครเมกกะ

ภายหลังจากเจ้าชายชูจาชาห์ได้อพยพมายังอาระกันแล้ว ได้เกิดคลื่นการอพยพของชาวมุสลิมจากเอเชียใต้อพยพขนานใหญ่สู่รัฐอาระกัน
กษัตริย์แห่งรัฐมารัคยู (Mrauk-U) ในอาระกันที่ชื่อว่า Sanda Thudhamma ในครั้งแรกนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าชายชูจาชาห์ แต่ไม่นานความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เสื่อมลง

เจ้าชายชูจาชาห์พร้อมด้วยผู้ติดตาม 200 คนและชาวมุสลิมในท้องถิ่นตัดสินใจโค่นล้มกษัตริย์แห่งมารัคยู (Mrauk-U) ในเดือนกุมภาพันธ์ 1661 เจ้าชายชูจาชาห์และผู้ติดตามของเขาก็ถูกทหารอาระกันฆ่าเสียชีวิต
ในปี ค.ศ. 1663 บรรดาบุตรลูกของเจ้าชายชูจาชาห์ รวมถึงลูกสาวที่ถูกพาไปยังฮาเร็มของกษัตริย์แห่งรัฐมารัคยู (Mrauk-U) อาระกันก็ถูกฆ่าตายเช่นกัน[4]

บรรดาทหารของเจ้าชายชูจาชาห์ที่รอดชีวิต ถูกนำเข้าเป็นหน่วยรักษาราชวังของกษัตริย์แห่งมารัคยู (Mrauk-U) เป็นหน่วยพิเศษเรียกว่า กองหน่วยกามิน (کمان) ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า กองหน่วยธนู
ต่อมากองหน่วยธนู นี้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในทางการเมืองของรัฐอาระกันจนถึงปี 1710 

ต่อมาเมื่อกษัตริย์ Sanda Wizaya I มีอำนาจ และได้ทำการเนรเทศกลุ่มชาวกามินให้ไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะรัมรี (Ramree Island)[5] หรือ เกาะ Yanbye)

หน่วยธนูเหล่านี้ได้แต่งงานกับชาวพื้นเมือง จนเกิดลูกหลานกลายเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง คือกลุ่มชาติพันธุ์กามิน

ในการสำรวจในรัฐยะไข่ หรือ อาระกัน พบว่าในปี 1931 มีกลุ่มชาติพันธุ์กามิน อยู่ 2,686 คน[6] และจากเหตุการณ์ความไม่สงบในรัฐยะไข่ ทำให้มีชาวกามิน อพยพไปตั้งถิ่นฐานในเมืองร่างกุ้ง ราว 500 กว่าคน
กลุ่มชาติพันธุ์กามินกับการเมืองประเทศเมียนมาร์
กลุ่มชาติพันธุ์กามินได้จัดตั้งพรรคการเมืองของตนเอง เพื่อเป็นปากเสียงให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง โดยกลุ่มชาติพันธุ์กามิน ก็ได้จัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองขึ้นมา  โดยในการเลือกตั้งปี 1990 กลุ่มชาติพันธุ์กามิน ได้จัดตั้งพรรค  Kaman National League for Democracy (KNLD) และสามารถชนะการเลือกตั้ง มีที่นั่งในสภาจำนวน 1 ที่นั่ง

หลังจากนั้นในการเลือกตั้งปี 2010 ในเดือนมีนาคมของปีดังกล่าว กลุ่มชาติพันธุ์กามิน ก็ได้จัดตั้งพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์กามิน โดยใช้ชื่อว่า Kaman National Progressive Party (KNPP) และในการเลือกตั้งต่อมาใช้ชื่อว่า Kaman National Development Party (KNDP)[7]
                                   มัสยิดของชาวกามิน
นายธัน วิน ชาวกามิน นักการเมืองจากพรรค  Kaman Nationa l Development Party กล่าวว่า ความจริงชาวกามิน สนับสนุนพรรคการเมืองของชาวอาระกันพุทธ (ANP) เพราะเราถือว่าเป็นพี่น้องกัน แต่นับตั้งแต่พวกเขา ชาวอาระกันพุทธ เห็นว่าพวกเรา ชาวกามิน เป็นกลุ่มมุสลิม ไม่แตกต่างจากชาวโรฮิงญา ชาวกามิน ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์จลาจลในปี 2012 จากการต่อต้านมุสลิมของชาวอาระกันพุทธด้วย  ทำให้ชาวกามินหันไปสนับสนุนพรรค NLD ของนางออง ซาน ซูจี มีการคาดการว่า มีกลุ่มชาติพันธุ์กามิน ทั่วประเทศอยู่ราว 50,000 โดยอาศัยอยู่ในรัฐอาระกันราว  20,000 คน[8]

ในเดือนกันยายนพรรค Kaman National Progressive Party (KNPP) ของชาวกามินได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานประธานาธิบดีและสำนักงานที่ปรึกษาของรัฐโดยอ้างว่ามีการขอบัตรประจำตัวสีชมพูมากกว่า 3,000 คน ที่กำหนดชาวกามิน เป็นกลุ่มที่มีสิทธิ์ถือสัญชาติ แต่กลับถูกส่งไปยังชาวมุสลิมโรฮิงญาในหมู่บ้าน Kyauk Ni Maw ในภาคเหนือของรัฐยะไข่[9]

รัฐบาลเมียนมาร์ได้ระงับการออกบัตรประจำตัวสีชมพู แก่ชาวกามิน ที่มีการยื่นคำร้องกว่า 3,000 ราย ด้วยความจริงมีชาวกามิน เพียงไม่กี่ร้อยคน แต่ปรากฏว่า มีชาวโรฮิงญาเป็นจำนวนมาก ที่สวมรอยอ้างตัวว่าเป็นชาวกามิน เพื่อขออกบัตรประจำตัวสีชมพู[10]


[1]  หนังสือพิมพ์ Berita Harian Online ฉบับ 29 เมษายน 2020
[2] Ashley South, Marie Lall, editors,Citizenship in Myanmar 
     Ways of Being in and from Burma, ISEAS - Yusof Ishak 
     Institute, Chiang  Mai University Press, 2017.
[3] เป็นเมืองสำคัญทางโบราณคดีในภาคเหนือของรัฐยะไข่ นอกจากนั้น
     ระหว่างปี  1430 ถึง 1785 ยังเป็นเมืองหลวงของรัฐมารัคยู Mrauk-U
     ในอดีต  ซึ่งรัฐนี้ถือเป็นรัฐที่สำคัญและทรงอำนาจที่สุดในรัฐยะไข่
[4] Moshe Yegar,The Muslims of Burma - A Study of a Minority 
     Group, Harrassowitz, 1972.
[5] เกาะรัมรี (Ramree Island) มีชื่ออีกชื่อหนึ่ง คือ เกาะ Yanbye 
     เป็นเกาะนอกชายฝั่งของรัฐยะไข่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในชายฝั่งยะไข่ 
     มีพื้นที่ของเกาะประมาณ 1,350 ตารางกิโลเมตร และศูนย์กลาง
     ที่มีประชากรอาศัยอยู่คือ เมืองรัมรี
[6] Ashley South, Marie Lall, อ้างแล้ว.
[7] Aung Aung,Emerging Political Configurations in the Run-up to 
     the 2020 Myanmar Elections, ISEAS - Yusof Ishak Institute, 
     Singapore, 2019.
[8] Reuters, 7 November 2015.
[9] Coconuts Yangon, 20December 2018.
[10] Moe Myint, The Irrawaddy Online, 14 September 2018.

Tiada ulasan:

Catat Ulasan