Ekonomi/Bisnis

Isnin, 29 Jun 2020

ชาวระแด หรือ เอเด ชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มมลายู-โปลีเนเซียในประเทศเวียดนาม


โดย นายนิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
ชนเผ่าเอเด หรือในอีกชื่อหนึ่งว่าชนเผ่าระแด ถือเป็นหนึ่งในอีกหลายกลุ่มชนเผ่ากลุ่มน้อยในประเทศเวียดนามที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มลายู-โปลีเนเซีย อีกสี่ชนเผ่าที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์มลายู-โปลีเนเซีย ประกอบด้วย ชนเผ่าจาม ชนเผ่าจูรุ ชนเผ่าจาไร และชนเผ่ารักไล ชาวเอเด หรือราแด ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ โปรเตสแตนท์ ในการสำรวจประชากรของรัฐบาลเวียดนาม โดยได้มีการสำรวจในปี 2019 ปรากฏว่า มีประชากรชาวชนเผ่าเอเด/ระแด อยู่จำนวน 398,671 คน[1] 

นายจิตร ภูมิศักดิ์[2]  ได้เขียนถึงชาวชนเผ่าเอเด/ระแด โดยเรียกชนเผ่านี้ว่า เผ่าเรอแดว เขียนว่า เรอแดว เป็นชื่อชนชาติในตระกูลภาษาชวา-มลายู พวกหนึ่ง, บัดนี้เรียกว่า ข่าระแด (หรือ ระแดว์) ลักษณะของภาษาระแด อย่างภาษาจาม หรือพวกพลเรือนของจามสาขาหนึ่งนั่นเอง

สำหรับภาษาของชนเผ่าเอเด/ระแด นั้นเป็นหนึ่งในตระกูลภาษามลายู-โปลีเนเซีย (Malayo-Polynesia)[3]  โดยสาขาภาษาชนเผ่าเอเด/ระแด เป็นหนึ่งในภาษาจาม (Chamic Language) ซึ่งเป็นภาษาในสาขาย่อยของตระกูลภาษามลายู-โปลีเนเซีย (Malayo-Polynesia) โดยตระกูลภาษามลายู-โปลีเนเซีย พูดอยู่ในประเทศมาเลเซีย อินโดเนเซีย บรูไน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาดากัสการ์ ภาษามลายูในภาคใต้ของไทย ฯลฯ
โครงสร้างเครือญาติและสังคมของชนเผ่าเอเด/ระแด
สำหรับลักษณะการสืบสายโลหิตและการสืบทอดมรดกของคนเรานั้น จะแบ่งลักษณะดังนี้[4]
1. ลักษณะสืบทอดผ่านทางสายบิดา (Patrilineal) โดยบุตรที่เกิดมาจะสืบสายตระกูลและมรดกทางสายบิดา และให้ความสำคัญกับญาติทางฝ่ายบิดามากกว่าฝ่ายมารดา
2. ลักษณะสืบทอดผ่านทางสายมารดา (Matrilineal) คือมีการสืบสายตระกูลและมรดกจากสายมารดา รวมถึงให้ความสำคัญกับฝ่ายญาติมารดาเป็นหลัก 
3. ลักษณะการให้ความสำคัญทั้งญาติฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดาเท่าๆกัน(Bilateral) และสืบสายตระกูลจากสายใดก็ได้

โดยชาวชนเผ่าเอเด/ระแดจะนับถือจารีตประเพณีสืบทอดผ่านทางสายมารดา (Matrilineal) โดยทรัพย์สินของครอบครัวอยู่ในมือและสืบทอดมาจากผู้หญิง ซึ่งลักษณะจารีตประเพณีถือสายทางมารดานี้ นอกจากชนเผ่าเอเด/ระแด แล้วยังมีอยู่ในกลุ่มชาวจาม รวมทั้งชาวมีนังกาเบาบนเกาะสุมาตรา อินโดเนเซีย และรัฐนัครีซัมบีลัน ประเทศมาเลเซีย
บ้านทั่วไปของชาวชนเผ่าเอเด/ระแดจะเป็นบ้านที่สร้างจากไม้ไผ่และไม้  เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านได้แต่งงาน สามีก็จะมาอาศัยอยู่ด้วย บ้านของชาวชนเผ่าเอเด/ระแดจะเป็นลักษณะบ้านยาว

ในช่วงสงครามเวียดนามนั้น ทางที่ปรึกษาทางทหารของอเมริกาและเวียดนามใต้กลัวว่าเวียดกงจะทำให้ชนเผ่าเอเด/ระแด ในจังหวัดดักลัก หันกลับมาสนับสนุนเวียดกง ทางปรึกษาทางทหารของอเมริกาและเวียดนามใต้ จึงจัดตั้งกองกำลังชนเผ่าเอเด/ระแด โดยทำการฝึกให้เป็นหน่วยป้องกันตนเองของหมู่บ้าน
ชนเผ่าเอเด/ระแด นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรชนกลุ่มน้อยของสหรัฐอเมริกาและหลังสงคราม ชาวชนเผ่าเอเด/ระแด ได้หนีไปสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐนอร์ธคาโรลีนา

ในช่วงทศวรรษที่ 1920 นาย Leopold Sabatier นักปกครองชาวฝรั่งเศสในจังหวัด Dak Lak ( ต่อมารู้จักในนามจังหวัด Darlac) ได้รวบรวบกฎหมายจารีตประเพณีของชาวเอเด (ระแด) และทำการบันทึกโดยใช้อักขระโรมัน และพิมพ์ออกมาเป็นภาษาเอเดในปี 1926 ต่อมาในปี 1940 นาย Dominique Antomarchi ได้แปลออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศส พิมพ์โดยสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ ภาษาฝรั่งเศสจะชื่อว่า École française d'Extrême-Orient หรือ EFEO[5] ในกฎหมายจารีตประเพณีของชาวเอเด/ระแด ฉบับเวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งเนื้อหาตามที่มีการบันทึกของนาย Leopold Sabatier แบ่งได้ 236 มาตราจากทั้งหมด 11 ตอน มีดังต่อไปนี้ :

บทที่ 1: บทข้อบังคับทั่วไป (23 มาตรา)
บทที่ 2: คดีความผิดต่อหัวหน้าหมู่บ้าน (33 มาตรา)
บทที่ 3: อาชญากรรมของหัวหน้าหมู่บ้าน (11 มาตรา)
บทที่ 4: อาชญากรรมต่อชุมชน (27 มาตรา)
บทที่ 5: เกี่ยวกับการแต่งงาน (48 มาตรา)
บทที่ 6: ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและเด็ก (6 มาตรา)
บทที่ 7: อาชญากรรมของการผิดประเวณี (11 มาตรา)
บทที่ 8: ในอาชญากรรมที่ร้ายแรง (21 มาตรา)
บทที่ 9: ความมั่งคั่งและทรัพย์สิน (38 มาตรา)
บทที่ 10: เกี่ยวกับกระบือและวัว (10 มาตรา)
บทที่ 11: เกี่ยวกับที่ดินและกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (8 มาตรา)

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับครอบครัว ตามมาตรา 109 กล่าวว่า ชาวเอเด/ระแด ถือว่า การแต่งงานเป็นพันธะถาวรระหว่างคู่สมรส จะไม่ได้รับอนุญาตให้หย่ากัน  มีบันทึกว่า “เมื่อแต่งงานกันแล้ว ผู้หญิงผู้ชายต้องมีชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน จนกว่าอีกฝ่ายจะตายจากไป  ถ้าใครถือหลอดเพื่อดื่มไวน์ข้าวแล้ว ควรดื่มต่อไปจนกว่าไวน์จะไม่มีรส  เมื่อตีฆ้องแล้ว ต้องตีต่อไป จนกว่าจะมีมือให้หยุดการตีฆ้องนั้น”[6]
ในปี 1898 ÉcoleFrançaise d’Extrême-Orient (EFEO) ก่อตั้งขึ้นในกรุงฮานอย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ภาษาและศาสนาของอินโดจีน  สำหรับนาย Léopold Sabatier นั้นมาจากครอบครัวชนชั้นกลางในชนบทของฝรั่งเศส เขามีการศึกษาที่ไม่ดีนัก หลังจากรับราชการทหารเขา เขาตัดสินใจเดินทางไปยังอินโดจีน ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยเริ่มงานในระดับล่างก่อน[7]

บุคคลสำคัญของชนเผ่าเอเด/ระแด
บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงของชนเผ่าเอเด/ระแด มีจำนวนหนึ่ง แต่ในที่นี้ ขอกล่าวเพียง 2 คน มาเป็นตัวอย่าง โดยคนหนึ่งเป็นผู้นำชาวชนเผ่าเอเด/ระแดในอดีต และอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน
 
นาย Y Bham Enuol
เกิดที่ Buôn Ma Thuột ของจังหวัดดักลัก ในปี 1913 โดยในวันที่ 1 พฤษภาคม 1958 เขาได้ก่อตั้งองค์กรชื่อว่า BAJARAKA เป็นองค์กรต่อสู้เพื่อเอกราชของชนกลุ่มน้อยในประเทศเวียดนาม โดยองค์กร BAJARAKA เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งองค์กรที่ชื่อว่า United Front for Liberation of Oppressed Races (FULRO) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสงครามเวียดนาม และนาย Y Bham Enuol ได้รับเลือกเป็นประธานของ FULRO

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 1964  นาย Y Bham Enuol ถูกจับกุมและถูกส่งตัวไปยังประเทศกัมพูชา ต่อมาเขาอาศัยอยู่ที่พนมเปญ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกัมพูชา (เขมรแดง) ยึดกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1975 นาย Y Bham และผู้นำ FULRO คนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญ ได้หนีภัยเข้าไปในสถานทูตฝรั่งเศส และในวันที่ 20 เมษายน 1975 พวกเขาทั้งหมดถูกนำออกมาและถูกดำเนินการลงโทษ[8] อย่างไรก็ตามสมาชิก FULRO ไม่ทราบถึงการเสียชีวิตของเขา  จนกระทั่งเจ็ดปีต่อมา ทางนักข่าวจากสหรัฐอเมริกา ชื่อ นาย Nate Thayer แจ้งให้กลุ่มของนาย Y Bham Enuol ทราบว่านาย Y Bham Enuol ถูกประหารชีวิตแล้ว
นางสาว H'Hen Niê
เธอได้กลายเป็นคนดัง เมื่อได้รับเลือกเป็นนางงามของประเทศเวียดนาม เธอเกิด 15 พฤษภาคม 1992 ) เป็นนางแบบชาวเวียดนามและเป้นตัวแทนนางงามเวียดนามเข้าประกวดนางงาม Miss Universe 2018 ที่กรุงเทพ และได้รับเลือกให้เป็นนางงามหนึ่งในห้าคนของรอบสุดท้าย

ตามประเพณีการแต่งงานของคนชนเผ่าเอเด/ระแด ผู้หญิงมักจะเริ่มต้นครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ตาม สำหรับนางสาว H'Hen Niê เธอปฏิเสธที่จะทำตามประเพณีนี้ และตัดสินใจที่จะศึกษาต่อด้วยการทำงานหาค่าใช้จ่ายการเรียนของเธอเอง

นางสาว H'Hen Niê ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตขององค์กร  Room to Read ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มุ่งหวังผลกำไรระดับโลก เป็นองค์กรที่เน้นการเรียนรู้และการศึกษาของเด็กหญิง  โดยทางองค์กร Room to Read  ได้ประกาศการแต่งตั้งเนื่องในวันเยาวชนสากล เพื่อเฉลิมฉลองความบทบาทของเยาวชนในการพัฒนาสังคมโลก นางสาว H'Hen Niê ได้ระดมทุนส่วนตัวมูลค่า 22,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการสร้างห้องสมุด Room to Read ที่มีหนังสือคุณภาพในจังหวัด Lam Dong ของประเทศเวียดนาม รวมถึงการสนับสนุนเด็กหญิงจำนวน 50 คนทั่วเอเชียและแอฟริกา เพื่อให้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและพัฒนาทักษะชีวิตผ่านโครงการเพื่อการศึกษาของ Room to Read[9]



[1] Report on Results of the 2019 Census. General Statistics Office of Vietnam, www.gso.gov.vn.
[2] จิตร ภูมิศักดิ์.ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม.สำนักพิมพ์ดวงกมล.มูลนิธิโครงการตํารา
  สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.กรุงเทพ.2524.หน้า 509.
[3] https://www.omniglot.com/writing/rade.htm
[4] ศิริพันธ์  ถาวรศิริวงศ์.ครอบครัวและเครือญาติ.มหาวิทยาลัยรามคำแหง.2543.
[5] สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (ฝรั่งเศส: École française d'Extrême-Orient หรือ EFEO) เป็นสถาบัน
  ของฝรั่งเศสที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณคดี ประวัติศาสตร์ รวมทั้งสังคมของประเทศในภูมิภาคเอเชีย
  ตะวันออก เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการจัดตั้งสาขาขึ้นมาในต่างประเทศ เท่าที่ทราบ คือ
  อินโดเนเซีย
[6] Ngo Due Thinh, Traditional Law of the Ede, Institute o f Folklore, Hanoi, Vietnam, Asian
  Folklore Studies, Volume 592000: 89-107, Nanzan University, Nagoya, Japan.
[7] Chi Trung Tran, Understanding Long-term Livelihood Resilience of Resettled Ethnic Groups
  in the Yali Falls Dam Basin, Central Highlands of Vietnam, Thesis PhD,
  The University of Queensland, Australia, 2017.
[8] Gerald C. Hickey.Window on a War: An Anthropologist in the Vietnam Conflict.Texas Tech
  University Press.2002:68.
[9] “Miss Universe Vietnam H’Hen Niê Announces Philanthropic Commitment to Global 
   Education as Room to Read Ambassador” Business Wire, 13 August 2018,
   www.businesswire.com

Sabtu, 13 Jun 2020

ชาวกามิน ชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยที่เราไม่ค่อยรู้จัก ในประเทศเมียนมาร์

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิม ที่ดังที่สุดในประเทศเมียนมาร์ คือกลุ่มชาวโรฮิงญา (Rohingya Ethnic) ซึ่งเกิดจากการกดดันของรัฐบาลเมียนมาร์ อันมีหลากหลายปัจจัย จนเกิดการอพยพหนีภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศบังคลาเทศ รวมทั้งประเทศอื่นๆ เช่นประเทศมาเลเซีย ซึ่งชาวมาเลเซียส่วนหนึ่ง และค่อนข้างมากในประเทศมาเลเซียเริ่มมีความรู้สึกว่า ชาวโรฮิงญามาอาศัยในประเทศมาเลเซียมีจำนวนถึงกว่า 2 แสนคน แต่เรียกร้องสิทธิต่างๆ จนปัจจุบันเกิดคลื่นต่อต้านชาวโรฮิงญาในประเทศมาเลเซีย[1]

คลื่นต่อต้านชาวมุสลิมในประเทศเมียนมาร์เเกิดขึ้นมานานแล้ว เช่น คลื่นการต่อต้านมุสลิมในปี 1938 ความจริงแล้วกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิมในประเทศเมียนมาร์ นอกจากกลุ่มชาติพันธุ์โรฮิงญาแล้ว ยังมีจำนวนมากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น 

-ชาวเมียนมาร์เชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่ในเมืองร่างกุ้ง
-ชาวปันไต เป็นกลุ่มชาติพนธุ์เชื้อสายสายจีนมุสลิม
-กลุ่มชาติพันธุ์มลายูบริเวณเกาะสอง  
-กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่าชาวเซอร์บาดี ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดจากลูกหลานของบิดาชาวมุสลิมเอเชียใต้และตะวันออกกลาง โดยมารดาเป็นชาวเมียนมาร์พื้นเมือง
-และกลุ่มชาติพันธุ์กามิน

เราแทบจะไม่รู้จักกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มีชื่อว่าชาวกามิน  สำหรับชาวกามินนั้น เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยหนึ่งในประเทศเมียนมาร์ ชาวกามิน นี้จะเขียนภาษาในภาษาพม่า (Bamar) ว่า ကမိန်လူမျိုး ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในรัฐอาระกัน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นรัฐยะไข่ (Rakhine State) และถือเป็นชนพื้นเมืองของรัฐดังกล่าว

ชาวกามิน แตกต่างจากชาวโรฮิงญา ด้วยชาวกามินได้รับการยอมรับจากรัฐบาลเมียนมาร์ให้จัดเป็น 1 ใน 7 ของกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองของรัฐยะไข่ ซึ่งถือเป็นพลเมืองเต็มตัวของประเทศเมียนมาร์ มีสิทธิชอบธรรมในการมีสัญชาติเมียนมาร์ ตามรัฐธรรมนูญประเทศเมียนมาร์ปี 1982 หรือ Burma Citizenship Law of 1982 (မြန်မာဘာသာ) ถึงจะเช่นนั้นก็ตาม แต่ด้วยกลุ่มชาติพันธุ์กามินในฐานะที่เป็นชาวมุสลิม ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วุ่นวายการก่อจลาจลในรัฐยะไข ในเดือนมิถุนายน และเดือนตุลาคม ปี 2012  บ้านเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์กามินก็ถูกชาวอาระกันพุทธเผาเช่นเดียวกันกับชาวโรฮิงญา[2]

วิถีชีวิตชาวกามิน จะมีความแตกต่างจากชาวโรฮิงญาอยู่ ความเคร่งและความอนุรักษ์นิยมจะมีน้อยกว่าชาวโรฮิงญา ซึ่งชาวโรฮิงญาจะมีความเคร่งกว่า ผู้หญิงชาวกามินส่วนใหญ่ จะไม่สวมฮิญาบ
ประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์กามิน
กล่าวว่าในปี 1660 หนึ่งในเจ้าชายของราชวงศ์โมกุล ซึ่งราชวงศ์โมกุลปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียใต้ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เจ้าชายคนนั้นชื่อว่า เจ้าชายชูจาชาห์ (Prince Shuja Shah) เป็นบุตรคนที่สองของกษัตริย์โยฮันชาห์ ได้เกิดปัญหาเรื่องการแย่งชิงบัลลังค์ หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการพยายามที่จะขึ้นครองบัลลังก์ราชวงศ์โมกุล

จึงได้หนีไปอาระกัน (Arakan) ซึ่งปัจจุบันคือ รัฐยะไข่  โดยเจ้าชายชูจาชาห์ พร้อมกับครอบครัวและผู้ติดตามของเขาย้ายไปยังเมือง Mrohaung หรือปัจจุบันเรียกว่าเมือง Mrauk U[3] ด้วยหวังว่ากษัตริย์แห่งอาระกันจะปกป้องเขาและครอบครัว พร้อมผู้ติดตาม และจัดหาเรือให้เจ้าชายชูจาชาห์ได้ไปแสวงบุญที่นครเมกกะ

ภายหลังจากเจ้าชายชูจาชาห์ได้อพยพมายังอาระกันแล้ว ได้เกิดคลื่นการอพยพของชาวมุสลิมจากเอเชียใต้อพยพขนานใหญ่สู่รัฐอาระกัน
กษัตริย์แห่งรัฐมารัคยู (Mrauk-U) ในอาระกันที่ชื่อว่า Sanda Thudhamma ในครั้งแรกนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าชายชูจาชาห์ แต่ไม่นานความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เสื่อมลง

เจ้าชายชูจาชาห์พร้อมด้วยผู้ติดตาม 200 คนและชาวมุสลิมในท้องถิ่นตัดสินใจโค่นล้มกษัตริย์แห่งมารัคยู (Mrauk-U) ในเดือนกุมภาพันธ์ 1661 เจ้าชายชูจาชาห์และผู้ติดตามของเขาก็ถูกทหารอาระกันฆ่าเสียชีวิต
ในปี ค.ศ. 1663 บรรดาบุตรลูกของเจ้าชายชูจาชาห์ รวมถึงลูกสาวที่ถูกพาไปยังฮาเร็มของกษัตริย์แห่งรัฐมารัคยู (Mrauk-U) อาระกันก็ถูกฆ่าตายเช่นกัน[4]

บรรดาทหารของเจ้าชายชูจาชาห์ที่รอดชีวิต ถูกนำเข้าเป็นหน่วยรักษาราชวังของกษัตริย์แห่งมารัคยู (Mrauk-U) เป็นหน่วยพิเศษเรียกว่า กองหน่วยกามิน (کمان) ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า กองหน่วยธนู
ต่อมากองหน่วยธนู นี้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในทางการเมืองของรัฐอาระกันจนถึงปี 1710 

ต่อมาเมื่อกษัตริย์ Sanda Wizaya I มีอำนาจ และได้ทำการเนรเทศกลุ่มชาวกามินให้ไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะรัมรี (Ramree Island)[5] หรือ เกาะ Yanbye)

หน่วยธนูเหล่านี้ได้แต่งงานกับชาวพื้นเมือง จนเกิดลูกหลานกลายเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง คือกลุ่มชาติพันธุ์กามิน

ในการสำรวจในรัฐยะไข่ หรือ อาระกัน พบว่าในปี 1931 มีกลุ่มชาติพันธุ์กามิน อยู่ 2,686 คน[6] และจากเหตุการณ์ความไม่สงบในรัฐยะไข่ ทำให้มีชาวกามิน อพยพไปตั้งถิ่นฐานในเมืองร่างกุ้ง ราว 500 กว่าคน
กลุ่มชาติพันธุ์กามินกับการเมืองประเทศเมียนมาร์
กลุ่มชาติพันธุ์กามินได้จัดตั้งพรรคการเมืองของตนเอง เพื่อเป็นปากเสียงให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง โดยกลุ่มชาติพันธุ์กามิน ก็ได้จัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองขึ้นมา  โดยในการเลือกตั้งปี 1990 กลุ่มชาติพันธุ์กามิน ได้จัดตั้งพรรค  Kaman National League for Democracy (KNLD) และสามารถชนะการเลือกตั้ง มีที่นั่งในสภาจำนวน 1 ที่นั่ง

หลังจากนั้นในการเลือกตั้งปี 2010 ในเดือนมีนาคมของปีดังกล่าว กลุ่มชาติพันธุ์กามิน ก็ได้จัดตั้งพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์กามิน โดยใช้ชื่อว่า Kaman National Progressive Party (KNPP) และในการเลือกตั้งต่อมาใช้ชื่อว่า Kaman National Development Party (KNDP)[7]
                                   มัสยิดของชาวกามิน
นายธัน วิน ชาวกามิน นักการเมืองจากพรรค  Kaman Nationa l Development Party กล่าวว่า ความจริงชาวกามิน สนับสนุนพรรคการเมืองของชาวอาระกันพุทธ (ANP) เพราะเราถือว่าเป็นพี่น้องกัน แต่นับตั้งแต่พวกเขา ชาวอาระกันพุทธ เห็นว่าพวกเรา ชาวกามิน เป็นกลุ่มมุสลิม ไม่แตกต่างจากชาวโรฮิงญา ชาวกามิน ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์จลาจลในปี 2012 จากการต่อต้านมุสลิมของชาวอาระกันพุทธด้วย  ทำให้ชาวกามินหันไปสนับสนุนพรรค NLD ของนางออง ซาน ซูจี มีการคาดการว่า มีกลุ่มชาติพันธุ์กามิน ทั่วประเทศอยู่ราว 50,000 โดยอาศัยอยู่ในรัฐอาระกันราว  20,000 คน[8]

ในเดือนกันยายนพรรค Kaman National Progressive Party (KNPP) ของชาวกามินได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานประธานาธิบดีและสำนักงานที่ปรึกษาของรัฐโดยอ้างว่ามีการขอบัตรประจำตัวสีชมพูมากกว่า 3,000 คน ที่กำหนดชาวกามิน เป็นกลุ่มที่มีสิทธิ์ถือสัญชาติ แต่กลับถูกส่งไปยังชาวมุสลิมโรฮิงญาในหมู่บ้าน Kyauk Ni Maw ในภาคเหนือของรัฐยะไข่[9]

รัฐบาลเมียนมาร์ได้ระงับการออกบัตรประจำตัวสีชมพู แก่ชาวกามิน ที่มีการยื่นคำร้องกว่า 3,000 ราย ด้วยความจริงมีชาวกามิน เพียงไม่กี่ร้อยคน แต่ปรากฏว่า มีชาวโรฮิงญาเป็นจำนวนมาก ที่สวมรอยอ้างตัวว่าเป็นชาวกามิน เพื่อขออกบัตรประจำตัวสีชมพู[10]


[1]  หนังสือพิมพ์ Berita Harian Online ฉบับ 29 เมษายน 2020
[2] Ashley South, Marie Lall, editors,Citizenship in Myanmar 
     Ways of Being in and from Burma, ISEAS - Yusof Ishak 
     Institute, Chiang  Mai University Press, 2017.
[3] เป็นเมืองสำคัญทางโบราณคดีในภาคเหนือของรัฐยะไข่ นอกจากนั้น
     ระหว่างปี  1430 ถึง 1785 ยังเป็นเมืองหลวงของรัฐมารัคยู Mrauk-U
     ในอดีต  ซึ่งรัฐนี้ถือเป็นรัฐที่สำคัญและทรงอำนาจที่สุดในรัฐยะไข่
[4] Moshe Yegar,The Muslims of Burma - A Study of a Minority 
     Group, Harrassowitz, 1972.
[5] เกาะรัมรี (Ramree Island) มีชื่ออีกชื่อหนึ่ง คือ เกาะ Yanbye 
     เป็นเกาะนอกชายฝั่งของรัฐยะไข่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในชายฝั่งยะไข่ 
     มีพื้นที่ของเกาะประมาณ 1,350 ตารางกิโลเมตร และศูนย์กลาง
     ที่มีประชากรอาศัยอยู่คือ เมืองรัมรี
[6] Ashley South, Marie Lall, อ้างแล้ว.
[7] Aung Aung,Emerging Political Configurations in the Run-up to 
     the 2020 Myanmar Elections, ISEAS - Yusof Ishak Institute, 
     Singapore, 2019.
[8] Reuters, 7 November 2015.
[9] Coconuts Yangon, 20December 2018.
[10] Moe Myint, The Irrawaddy Online, 14 September 2018.