Ekonomi/Bisnis

Jumaat, 28 April 2017

ขบวนการอาเจะห์เสรี ตอนที่ 3

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน   
เริ่มแรกการต่อสู้ของประชาชนชาวอาเจะห์  
จากการลงมติดังกล่าวนั้น ประชาชนชาวอาเจะห์มีความรู้สึกว่าตลอดเวลาการต่อสู้ของพวกเขาในการสนับสนุนเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้ปกครองสาธารณรัฐอินโดเนเซียเอง ยิ่งถ้าย้อนคำสัญญาของประธานาธิบดีซูการ์โนแล้ว ดวงใจของประชาชนชาวอาเจะห์เหมือนถูกรอยบาด ครั้งแรกที่เดินทางมาเยี่ยมอาเจะห์ เมื่อ 16 มิถุนายน 1948 ประธานาธิบดี ซูการ์โน กล่าวในนามพระเจ้าว่าจะให้สิทธิแก่อาเจะห์ในการจัดการตนเองตามหลักชารีอะห์ของศาสนาอิสลาม ซูการ์โน สัญญาจะใช้อิทธิพลของตนเองเพื่อให้ประชาชนชาวอาเจะห์สามารถใช้หลักชารีอะห์ในดินแดนตนเอง สัญญานี้ความเป็นจริงเป็นสัญญาที่ว่างเปล่า ที่มีจริงคือจังหวัดอาเจะห์ถูกยกเลิกและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสุมาตราเหนือ

การจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามอาเจะห์
แม้ว่าจังหวัดอาเจะห์จะถูกยุบโดย ซูการ์โน แต่ความต้องการของประชาชนชาวอาเจะห์ในการใช้หลักชารีอะห์ในดินแดนตนเองยังคงมีอยู่ ย้อนดูประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของอาเจะห์ที่เกิดบรรดารัฐอิสลามเริ่มจากรัฐสมุทรา ปาไซ จนถึงรัฐอาเจะห์ดารุสสาลาม เพราะฉะนั้นเมื่อจังหวัดอาเจะห์ถูกยุบและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสุมาตรา ประชาชนชาวอาเจะห์มีความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าและผิดหวังกับผู้ปกครองสาธารณัฐอินโดเนเซียภายใต้การนำของ ซูการ์โน ความไม่พอใจของประชาชนชาวอาเจะห์สามารถเห็นได้ในการประชุมสมัชชานักการศาสนาทั่วอินโนเนเซีย(Kongres Alim Ulana Se-Indonesia) ที่เมืองเมดาน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 1953 เต็งกู มูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์ ขณะนั้นได้รับเลือกเป็นผู้นำได้กล่าวคำเรียกร้องให้บรรดานักการศาสนาทั้งหลายต่อสู้ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 1955 เพื่อให้ประเทศสาธารณรัฐอินโดเนเซียเป็นประเทศอิสลามอินโดเนเซีย การเรียกร้องนี้ได้รับการตอบรับและสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมจำนวนหนึ่ง ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้ร่วมกันวางแผนจะตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) เพื่อแทนที่ประเทศสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่มี ซูการ์โน เป็นผู้นำ  ปรากฏว่าแนวคิดนี้สอดคล้องกับส่วนหนึ่งของผู้นำอิสลามที่รุนแรงในพื้นที่บางส่วน โดยเฉพาะที่ชวาตะวันตกที่กำลังประสบกับประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) ภายใต้การนำของ การ์โตโซวีร์โจ ขบวนการประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) ที่ชวาตะวันตกเองได้มีการประกาศจัดตั้งโดยนายการ์โตโซวีร์โจ เมื่อ 7 สิงหาคม 1949 จนทำให้ขบวนการประชาชนชาวอาเจะห์ภายใต้การนำของ ดาวุด บือเระห์ กลายเป็นผู้ปลุกจิตสำนึกในหมู่ขบวนการต่อสู้ของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ขบวนการต่อสู้นี้ยิ่งมีมากขึ้นและทำให้เกิดการต่อสู้ดารุลอิสลาม/กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย (DI/TII) พร้อมกันในหลายพื้นที่ที่มีต่อรัฐบาลกลางภายใต้การนำของ ซูการ์โน  ในขณะนั้นหลักการต่อสู้ของดารุลอิสลามนั้น ดาวุด บือเระห์ ไม่ได้พูดถึงอาเจะห์และดารุลอิสลาม/กองทัพอิสลามอินโดเนเซีย ในพื้นที่ต่างๆ จะแยกตัวออกจากอินโดเนเซีย เขาเพียงร่างแนวคิดเพื่อให้สาธารณรัฐอินโดเนเซียมีจิตสำนึก ความคาดหวัง และระบบการปกครองแบบอิสลาม ไม่มีความคิดในการแยกดินแดน นอกจากจิตสำนึกแห่งความเป็นหนึ่งของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย

ในอาเจะห์มีการชุมนุมโดยบรรดานักการศาสนา มีดาวุด บือเระห์ แสดงจุดยืนในการตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย (NII) เพื่อให้สอดคล้องกับมติของสมัชชานักการศาสนาแห่งอินโดเนเซีย ณ เมืองเมดาน ในการจัดเสวนาต่างๆ ครั้งนี้ไม่มีแนวความคิดของดาวุด บือเระห์ ในการแยกอาเจะห์ออกจากอินโดเนเซีย ในโอกาสต่างๆ ดาวุด บือเระห์ ได้เรียกร้องประชาชนอาเจะห์ให้เลือกกลุ่ม (พรรคต่างๆ) อิสลามในการเลือกตั้ง ปี 1955 ซึ่งจะสามารถโค่นการปกครองของซูการ์โน ถ้าประชาชนชาวอาเจะห์ต้องการให้เกิดประเทศอิสลามอินโดเนเซียจริง นี่คือโอกาส ดาวุด บือเระห์ กล่าวไว้ สำหรับในหมู่ประชาชนระดับล่าง ในเบื้องต้นขบวนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย จะเป็นเพียงการกระซิบกันเท่านั้น และไม่เปิดเผย การกระซิบ-กระซิบนี้ปรากฏว่าเกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการการปกครองในตำบลรวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ทั่วดินแดนอาเจะห์

บรรดาผู้นำสังคมในชนบทของอาเจะห์โดยทั่วไปถือแนวคิดของ ดาวุด บือเระห์ ด้วยความจริงจัง จนกลายเป็นเชื้อเพลิงสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียโดยรวดเร็วกระจายไปทั่วทุกมุมในหมู่ประชาชนชาวอาเจะห์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ ดาวุด บือเระห์ มีความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นในการตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย  ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะเหมือนกันแต่ในขณะนั้น ดาวุด บือเระห์ ไม่ด่วนที่จะสนับสนุนการตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียที่ประกาศโดยการ์โตโซวีร์โจ ที่ชวาตะวันตก ดาวุด บือเระห์ ใช้เวลาในการสังเกตุความคืบหน้าต่อไป ในเวลา 4 ปี ที่ได้มีการจัดตั้ง ดาวุด บือเระห์ ได้ศึกษาขบวนการของการ์โตโซวีร์โจ  เพื่อทำให้ผู้นำผู้มากบารมีของอาเจะห์ผู้นั้นมั่นใจ ทางการ์โตโซวีร์โจ  ได้ส่งตัวแทนชื่อ ฟาตะห์ไปยังอาเจะห์ การพบกับดาวุด บือเระห์ ทางฟาตะห์ได้อธิบายถึงหลักการต่อสู้ของการ์โตโซวีร์โจ ดังนั้นในวันที่ 21 กันยายน 1953 หรือ 5 เดือนหลังจากสมัชชานักการศาสนาอินโดเนเซียที่เมืองเมดาน ดาวุด บือเระห์ จึงประกาศการสนับสนุนของอาเจะห์ต่อการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย ที่ประกาศขึ้นโดยการ์โตโซวีร์โจ  ไม่มีการอธิบายในประวัติศาสตร์ว่าทำไม ดาวุด บือเระห์ จึงใช้เวลานาน เพียงมีในหนังสือบันทึกการสนับสนุนของประชาชนชาวอาเจะห์ต่อขบวนการของการ์โตโซวีร์โจ ที่ลงนามโดยดาวุด บือเระห์ มีนื้อหาดังนี้

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณายิ่ง ผู้ทรงเมตตา การประกาศความที่มีการจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซีย เมื่อวันที่ 12 เดือนชาวัล ปีฮิจเราะห์ศักราช 1308/
7 สิงหาคม 1949 โดยอิหม่าม เอ็ส.เอ็ม.การ์โตโซวีร์โจ ในนามของประชาชาติมุสลิมแห่งชาติอินโดเนเซีย ดังนั้นพวกเราประกาศว่า ดินแดนอาเจะห์และบริเวณใกล้เคียงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิสลามอินโดเนเซีย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อาเจะห์ ดารุสสาลาม วันที่ 13 มูฮารัม 1312/21 กันยายน 1953 ในนามของประชาชาติมุสลิมแห่งดินแดนอาเจะห์และบริเวณใกล้เคียง ลงนาม เต็งกู มูฮัมหมัด ดาวุด บือเระห์

เหตุผลของ ดาวุด บือเระห์ ในการสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย เพราะผู้นำสาธารณรัฐอินโดเนเซียที่กรุงจารการ์ตาได้ออกนอกแนวทางที่ถูกต้อง จากพฤติกรรมบรรดาผู้นำสาธารณรัฐอินโดเนเซียตลอดมานั้น ดาวุด บือเระห์ กล่าวว่าสาธารณรัฐดังกล่าวจะไม่พัฒนากลายเป็นประเทศที่ตั้งบนพื้นฐานของอิสลาม ความจริงแล้วหลักคิดของ ดาวุด บือเระห์นั้น ประเทศอิสลามสามารถเป็นไปได้โดยการแทรกอยู่ในหลักการพระผูเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นหลักการประการแรกของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย หรือที่เรียกว่า หลักปัญจศิลา แม้ว่าหลักการพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นหลักการประการแรกในหลักปัญจศิลา แต่ในมุมมองของดาวุด บือเระห์ รัฐบาลซูการ์โน ไม่เคยให้อิสระในการนับถือศาสนาแก่ประชาชน เช่น ประชาชนชาวอาเจะห์ เขาได้ยกตัวอย่างเช่น ถ้าแท้จริงมีความอิสระในการนับถือศาสนาแล้ว จะต้องปฏิบัติตามนั้น ก็หมายถึงหลักการชารีอะห์อิสลามจะต้องปฏิบัติในอาเจะห์ ด้วยประชาชนชาวอาเจะห์เป็นชาวมุสลิม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น ประชาชนชาวอาเจะห์เห็นถึงความระวาดระแวงของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าประชาชนชาวอาเจะห์ พวกเขาขูดรีดประชาชนชาวอาเจะห์ โรคคอร์รัปชั่นกระจายไปทั่วทุกระดับขอลหน่วยงานรัฐบาล จากระดับส่วนกลางจนถึงระดับล่าง ขณะที่ประชาชนชาวอาเจะห์ยังคงยากจนอยู่ ช่องว่างทางสังคม เศรษฐกิจ ระหว่างดินแดนอาเจะห์และส่วนกลางห่างยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ประชาชนชาวอาเจะห์มีความรู้สึกเอื่อมระอา ดังนั้นจากการประกาศที่ได้อ่านโดย ดาวุด บือเระห์ ประชาชนชาวอาเจะห์จึงสนับสนุนการจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซีย ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะสามารถล้างสิ่งสกปรกของรัฐบาลซูการ์โน และอาเจะห์สามารถจัดระเบียบด้วยตัวเอง

รัฐบาลซูการ์โน ตั้งแต่แรกแล้วที่กังวลอย่างยิ่งในการที่บรรดาผู้นำอิสลามต้องการจัดตั้งประเทศอิสลาม เหตุผลของ ซูการ์โน ในขณะนั้นถ้าจัดตั้งประเทศอิสลาม เขาคิดว่าดินแดนบางส่วนจะแยกออกจากสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ดังนั้นซูการ์โน จึงละเลยการจัดตั้งประเทศอิสลาม และแนวโน้มเลือกหลักการประเทศชาตินิยม ที่สามารถรวมทุกแนวคิด พลัง เชื้อชาติ ชนเผ่า กลุ่มคน และศาสนาที่มีอยู่ในดินแดนต่างๆ ของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย อย่างไรก็ตาม ดาวุด บือเระห์ ได้ยืนยันว่าประชาชนชาวอาเจะห์ไม่ต้องการแยกตัวเองออกจากพี่น้องของเขาในสาธารณรัฐอินโดเนเซีย และประชาชนชาวอาเจะห์ก็ไม่ต้องการให้ตัวเองและดินแดนของตัวเองถูกปฏิบัติดังเช่นลูกเลี้ยงโดยรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนเซีย  คำถามก็คือสาธารณรัฐอินโดเนเซียได้ประกาศเอกราชมาแล้วถึง 8 ปี รัฐบาลไม่เคยเยี่ยมเยือนเลย ทั้งที่ประธานาธิบดีมักพูดอยู่เสมอว่า อาเจะห์เป็นต้นทุนสำคัญของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการพูดเปล่าแค่ริมฝีปาก ความจริงแล้วอาเจะห์ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล ในการต่อสู้รัฐบาลซูการ์โนในของ ดาวุด บือเระห์ เขาได้กล่าวว่าการอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาของชาวอาเจะห์ไม่เพียงพอ การติดต่อสื่อสารและคมนาคมที่มีอยู่ไม่อาจเป็นที่คาดหวังของประชาชนชาวอาเจะห์ในการพัฒนาการดำรงชีวิตทางสังคม เศรษฐกิจของพวกเขา ในด้านการมีงานทำ คนหนุ่มชาวอาเจะห์เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน เวลา 8 ปี ที่มีเอกราชของสาธารณรัฐอินโดเนเซีย ซึ่งชาวอาเจะห์สนับสนุน ปรากฎว่าดินแดนนั้นไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเอกราช

แม้จะเป็นเช่นนั้น ประชาชนชาวอาเจะห์ไม่ได้หมายความว่าต้องการแยกดินแดนออกจากสาธารณรัฐอินโดเนเซีย เหตุผลตามคำกล่าวของ ดาวุด บือเระห์ การประกาศจัดตั้งประเทศอิสลามอินโดเนเซียที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวอาเจะห์นั้น ไม่ได้หมายความว่าการจัดตั้งประเทศหนึ่งในอีกประเทศหนึ่ง นอกจากเหตุผลแรกเริ่มประชาชนชาวอาเจะห์ถือว่าสาธารณรัฐอินโดเนเซีย เป็นสะพานทองคำที่จะเดินข้ามสู่ความคาดหวังที่ฝันไว้ เป็นที่แน่ชัดว่าความฝันได้สลายไป เพราะรัฐบาลซูการ์โนไม่สนใจอาเจะห์ ในมุมมองของ ดาวุด บือเระห์ ในเรื่องนี้สาเหตุมาจากหลักการของรัฐบาลซูการ์โนแตกต่างอย่างยิ่งกับหลักการของประชาชนชาวอาเจะห์ ซูการ์โนต้องการประเทศหนึ่งที่มีหลักการชาตินิยม ส่วนประชาชนชาวอาเจะห์ต้องการระบบการปกครองประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม  ดาวุด  บือเระห์  หวังว่าบรรดาผู้นำสาธารณรัฐอินโดเนเซียจะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับบรรดาผู้นำประเทศอิสลามอินโดเนเซีย  โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอาเจะห์  แต่ดำเนินการแก้ไขนโยบายของประเทศ  และการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ

รัฐบาลซูการ์โนรู้ตัว่าเป็นการลำบากในการแก้ไขปัญหาอาเจะห์  สาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดเนซับกับฮาลันดาก็ยังคาราคาซัง  การยอมรับอธิปไตยของสาธารณรัฐอินโดเนเซียโดยฮาลันดาก็ยังสร้างรอยร้าวในหมู่นักการเมืองที่กรุงจาการ์ตา  จนทำให้ผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาอาเจะห์  และยังมีพื้นที่อื่นๆ  อีกที่เกี่ยวข้อง  ประชาชนชาวอาเจะห์ที่เรียกร้องนั้นต้องการหรือไม่ต้องการกับสภาพการณ์นี้  พวกยังคงมีความรู้สึกว่าถูกปฏิบัติแบบลูกเลี้ยงโดยรัฐบาลอินโดเนเซีย  เพื่อการต่อสู้ร่วมกับประชาชนชาวอาเจะห์  ดาวุด  บือเระห์ได้ทำให้หลักการสมบูรณ์ขึ้น  โดยจัดระบบองค์กรการปกครองสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซียเขตอาเจะห์  นโยบายจำนวน  13  ประการที่ดาวุด  บือเระห์  สร้างขึ้นในการจัดระบบการปกครองของสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซียเขตอาเจะห์ (7)

1.อาเจะห์  และบริเวณใกล้เคียง  เป็นดินแดนปกครองอิสระที่กว้างขวางที่จัดตั้งเป็นจังหวัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซีย
2.จังหวัดที่ปกครองอิสระที่กว้างขวางนั้นมีผู้นำเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและผู้ว่าราชการจังหวัดการทหาร  มีศูนย์อยู่ที่เมืองเอกของจังหวัด
3.ผู้ว่าราชการจังหวัดผลเรือนและการทหาร  เป็นผู้ทำการบริหารสูงสุด  และผู้บริหารจากกองทัพสาธารณรัฐอิสลามอินโดเนเซีย  ที่ตั้งอยู่ในดินแดนอาเจะห์  และพื้นที่ใกล้เคียง กองทัพนี้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอิสลามอินโดเนเซีย  ภาค 5  โดยมีชื่อว่าภาคเต็งกูจิ  ดีตีโร
4.สำหรับจังหวัดนั้นประกอบด้วย  สภาซูรอ  (สภาบริหารเขต)  และสมัชชาซูรา  (สภาผู้แทนราษฎรเขต)
5.สภาซูรอประกอบด้วย  ผู้นำหนึ่งคน  รองผู้นำ  และสมาชิกอีก  5  คน
6.ผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหาร  ดำรงตำแหน่งเป็นประชาชนสมัชชาซูรอ
7.สมัชช่าซูรอประกอบด้วยผู้นำหนึ่งคน  และรองผู้นำอีกหนึ่งคน  และสมาชิกจำนวน  ตามกฎเกณฑ์ที่จะกำหนดไว้
8.สมัชชาซูรอเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร  และสมัชชาซูรอเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ
9.ผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหาร  ด้วยนอกจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารแล้ว  ยังเป็นตัวแทนผู้ปกครองส่วนกลางจากมูฮัมหมัด  ผู้นำประเทศ
10.ผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหารได้รับการสนับสนุนจากคณะที่ปรึกษาการทหาร  และสภาการทหาร
11.สภาการทหารมีอำนายหน้าที่ดังนี้ ให้คำปรึกษาและพิจารณาคำปรึกษาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพลเรือนและการทหาร  มีจะจอคำปรึกษาหรือไม่ก็ตาม  โดยเฉพาะคำปรึกษาด้านการทหาร  นอกจากนั้นกำหนดวางแผนทางการเมืองในทางยุทธศาสตร์และการความมั่นคง  การความมั่งคงและการนำสำหรับกองทัพไม่ว่าด้วยการทหารหรือการเคลื่อนไหวทั่วไป  สภานี้จะวางแผนและประสานงานในที่เกี่ยวข้องกับประชาชนอาสาสมัครทุกระดับชั้น
12.จังหวัดอาเจะห์  และบริเวณใกล้เคียง  เป็นดินแดนพื้นที่การทหารด้วยอำนาจของกองทัพภาคที่เรียกว่ากองทัพอิสลามอินโดเนเซียภาค  5  เต็งกูจิ  ดีตีโร

13.กองทัพอิสลามอินโดเนเซียภาค  5  เต็งกูจิ  ดีตีโร  ในการปฏิบัติการจะบังคับบัญชาโดยคณะผู้บังคับบัญชาคณะหนึ่ง  มีผู้นำคนหนึ่งเป็นหัวหน้าในการบังคับบัญชา

อ้างอิง
  7.Gerakan  Aceh  Merdeka, Jihad  Rakyat  Aceh  Mewujudkan Negara  Islam : Al  Chaidar
dan Penerbit Madani  Pers.

Tiada ulasan:

Catat Ulasan