Ekonomi/Bisnis

Selasa, 30 Oktober 2007

อดีตปัตตานีภายใต้การปกครองของราชินี


โดย Nik Abdul Rakib Bin Nik Hassan
เริ่มด้วยราชินีฮีเยา ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1584 รัฐปัตตานีถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่เป็นสตรีติดต่อกันถึง 4 พระองค์ ยุคสมัยนี้เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ปัตตานีในนามของ “ยุคบรรดาราชินี” เป็นเวลาถึงกว่าครึ่งศตวรรษก่อนที่ราชินีกูนิงผู้เป็นกษัตริย์ที่เป็นสตรีองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1651 ภายใต้การปกครองของบรรดาราชินีนี้เองที่ปัตตานี ได้ลิ้มรสยุคทองที่สง่างามและประสบความสำเร็จ

ราชินีฮีเยาเป็นกษัตริย์ขณะที่ชาติตะวันตกได้เริ่มขยายการค้าของพวกเขาสู่โลกตะวันออก ในเวลานี้โปรตุเกสมีชัยชนะเหนือมะละกา และสเปนเริ่มตั้งถิ่นฐานที่ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะที่เกาะลูซอน ดังเช่นบรรดากษัตริย์มลายูองค์อื่น ราวต้นศตวรรษที่ 17 นี้รัฐปัตตานีเริ่มเปิดรับอิทธิพลและการติดต่อกับต่างประเทศ ผลที่ได้นั้นไม่ใช่เพียงการได้รับความอุดมสมบูรณ์เท่านั้น แต่ความขัดแย้งที่ยาวนานโดยเฉพาะกับสยามญี่ปุ่นและฮอลันดา

ในปี ค.ศ. 1602 ราชินีฮีเยาได้ทรงอนุญาตให้คนฮอลันดาสร้างโกดังสินค้าของพวกเขาที่ปัตตานี ก่อนหน้านั้นนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1592 ได้มีการติดต่อการค้าที่เป็นทางการระหว่างปัตตานีกับญี่ปุ่น เมื่อกษัตริย์ปัตตานีได้ต้อนรับตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่นในปีเดียวกันนั้น ในปี ค.ศ. 1605 ชาติสเปนก็ได้เดินทางมาค้าที่ปัตตานี และต่อมีอีกในปี ค.ศ. 1612 ก็มีสัญญาการค้าขายอีก โดยในครั้งนี้เป็นสัญญาที่ทำกับอังกฤษ

ราชินีฮีเยาปกครองปัตตานีจนถึงปี ค.ศ. 1616 ในยุคสมัยของพระองค์ ปัตตานีเริ่มได้รับการคุกคามจากสยาม เมื่อสยามได้โจมตีเป็นครั้งแรกต่อปัตตานีเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1603 การโจมตีครั้งแรกนี้สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ดี ตลอดศตวรรษที่ 17 ตรงกับยุคสมัยความเจริญรุ่งเรืองของปัตตานี ปัตตานีดำรงอยู่ในภยันตราย ความสัมพันธ์ของปัตตานีกับสยามเหมือนดังความสัมพันธ์ระหว่างลูกไก่กับเหยี่ยว อนาคตของการเมืองปัตตานีในเวลานี้ถูกกำหนดโดยสถานการณ์ทางการเมืองของรัฐสยาม และก็ความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดารัฐมลายูเพื่อนบ้าน เช่น เคดะห์ กลันตัน ตรังกานู และโยโฮร์

ราชินีฮีเยาได้มีโอกาสขุดคลองสำหรับการชลประทานแก่ประชาชนของพระองค์ในสมัยการปกครองของพระองค์น้ำของแม่น้ำกรือเซะเกือบจะไม่ได้นำมาใช้เลย ด้วยมีความเค็มเกินไป พระองค์ได้มีคำสั่งให้ประชาชนทำคลองขุดเริ่มจากแม่น้ำกรือเซะจรดถึงที่กัวลาเตอมางัน (ใกล้หมู่บ้านปรีฆีในปัจจุบัน) เพื่อสามารถให้นำจากแม่น้ำปัตตานีไหลสู่ทะเลโดยผ่านแม่น้ำกรือเซะ ด้วยเหตุนี้น้ำจากแม่น้ำกรือเซะจึงมีรสจืด และไร่นาสามารถให้ผลผลิตได้

พระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1616 เมื่อพระชนมายุได้ 63 ชันษา พระองค์ได้รับขนานนามภายหลังสิ้นพระชนม์ว่าอัล-มาร์ฮูม เตอมางัน (Almarhun Temahagan)

ราชินีบีรู
เป็นขนิษฐาของราชินีฮีเยา พระองค์เป็นกษัตริย์ปัตตานีเมื่อมีพระชนมายุได้ 50 ชันษา สำหรับการเผชิญกับการคุกคามของสยามที่หลอกหลอนปัตตานี ราชินีบีรูได้เชื้อเชิญสุลต่านกลันตันในขณะนั้นมีชื่อว่าสุลต่านอับดุลกาเดร์ ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในนามของรัฐสหพันธรัฐปัตตานี หรือ รัฐปัตตานีใหญ่ เพื่อสร้างหนึ่งกองทัพที่สามัคคีและเข้มแข็งในการเผชิญกับการสงครามกับสยาม ที่คาดคิดว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเวลา

ทูตคณะแรกของกษัตริย์ปัตตานีที่เดินทางไปยังพระราชวังกลันตัน ในปี ค.ศ. 1616 (ไม่นานหลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์) ประสบกับความล้มเหลวไม่ได้รับคำตอบแง่ดีจากฝ่ายกลันตัน เฉกเช่นเดียวกันกับที่ราชินีบีรูได้เดินทางไปยังกลันตันด้วยตนเองราวต้นปี ค.ศ. 1617 อย่างไรก็ตามในการเดินทางไปในครั้งที่สองของพระองค์ยังกลันตันในปี ค.ศ. 1618 ราชินีบีรูประสบความสำเร็จได้รับความเห็นชอบโดยมีเงื่อนไขจากสุลต่านกลันตัน ด้วยเหตุนี้ การรวมดินแดนครั้งนี้จึงไม่เป็นไปในทันที นอกจากภายหลังครึ่งแรกของปี ค.ศ. 1619 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว การรวมดินแดนเข้าด้วยกันในครั้งนี้ กินเวลาถึง 131 ปี นั้นคือจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1750 และถือได้ว่าเป็นการรวมดินแดนของปัตตานี – กลันตันที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์

นอกจากการวางแผนทางการเมืองระยะยาวเช่นนี้แล้ว ภายในรัฐเองราชินิบีรูได้มีโอกาสซ่อมแซมคลองขุดที่สร้างโดยพระภคีนีของพระองค์ คือ ราชินีฮีเยา เป็นที่ชัดเจนว่าสายน้ำที่ผ่านคลองขุดกัวลาเตอมางันนั้นเชี่ยวเกินไป และมักทำให้ริมฝั่งที่พระราชวังพังทลายบ่อย รวมกับทำให้น้ำที่ปากแม่น้ำกรือเซะจืดจนกระทั่งนำความเสียหายสู่นาเกลือ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของปัตตานี ด้วยคำสั่งของราชินีบีรู ฝ่ายกั้นน้ำได้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อกั้นน้ำหรือทำให้น้ำไหลช้าลง จากแม่น้ำปัตตานีไปยังแม่น้ำกรือเซะ ฝ่ายกั้นน้ำนี้ทำด้วยหิน และจนกระทั่งในปัจจุบันหมู่บ้านที่สร้างเขื่อนกั้นน้ำแห่งนี้รู้จักในชื่อว่า หมู่บ้านตาเนาะบาตู (เขื่อนหิน)

นอกจากนั้น ในยุคสมัยราชินีบีรู ยังสามารถเห็นถึงการพยายามสร้างปืนใหญ่ 3 กระบอก อันเป็นขึ้นตอนในการเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับการโจมตีจากสยาม ท่านสามารถติดตามการดำเนินการสร้างปืนใหญ่เหล่านี้ พร้อมกับมุขปาฐะที่เกี่ยวข้องกันกับปืนใหญ่ ในบทอื่นของหนังสือเล่มนี้

ราชินีบีรูเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1624 พระองค์เป็นที่รู้จักกันในนามของอัลมาร์ฮูมตือเงาะห์

ราชินีอูงู (ค.ศ. 1624 - 1635)

พระองค์เป็นน้องสาวของราชินีบีรู และเป็นอดีตพระมเหสีรัฐปาหัง เดินทางกลับมาปัตตานีหลังจากอยู่ที่รัฐปาหังเป็นเวลาถึง 30 ปี จากการสิ้นพระชนม์ของผู้เป็นพระสวามีชื่อว่า สุลต่านอับดุลกาฟูร์ ในปี ค.ศ. 1614

ถือว่าเป็นกษัตริย์ที่เป็นสตรีของปัตตานีที่มีความมุ่งมั่นและมีความใฝ่ฝันสูง ในยุคสมัยการปกครองของ

พระองค์ที่ไม่นาน ไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ ได้ทำให้พระองค์เข้ามีส่วนในสงครามขนาดใหญ่ถึง 2 ครั้ง กับศัตรูถาวรของปัตตานี คือ สยาม ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1632 ส่วนครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1633 แต่ต่อเนื่องกันจนถึงปี ค.ศ. 1634 ถึงแม้ว่าได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากฝ่ายฮอลันดาที่กรุงเทพฯ และบัตรตาเวีย* อย่างไรก็ดีสยามไม่สามารถยึดครองปัตตานีในสงครามทั้งสองครั้งที่ถือว่าใหญ่มาก

กล่าวกันว่าการป้องกัน เมืองของปัตตานีในสมัยราชินีอูงูมีความมั่นคงมาก แม่น้ำปัตตานี แม้ว่าจะลึกแต่ก็ค่อนข้างแคบ บรรดาเรือของศัตรูที่เข้ามาโดยผ่านปากแม่น้ำที่ชื่อว่ากัวลาบือเกาะห์ ก็จะได้รับการต้อนรับด้วยห่ากระสุนจากปืนใหญ่ ปืนเล็ก และลูกธนูอาบยาพิษของคนปัตตานี ทางด้านริมทะเลนั้น มีป้องปราการอยู่ 2 แห่งที่มีความมั่นคงยิ่ง แห่งแรกตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองจากกัวลาบือซาร์ สามารถป้องกันศัตรูเข้าสู่ตัวเมืองจากด้านตะวันตกจนถึงฝั่งแม่น้ำปัตตานีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเมือง และอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองจากกัวลารา (Kuala Ra) สามารถป้องกันจากศัตรู เข้าสู่ตัวเมืองจากด้านตะวันออก

นอกจากนั้น ตัวเมืองของปัตตานีเองได้รับการป้องกันจากด้านตะวันออก ด้วยป้อมปราการที่รู้จักในนามชื่อ “ป้องปราการราชินีบีรู”

สำหรับการเผชิญกับการโจมตีของสยามต่อปัตตานี ราชินีอูงูได้ระดมกำลังพลกองทัพถึง 23,000 คน เสริมด้วยการช่วยเหลือจากกลันตัน, ปาหัง และโยโฮร์ กองทัพนี้มีกำลังทั้งหมด 30,000 คน ด้วยการดำเนินการวางแผนเช่นนี้ ทำให้สามารถป้องกันการโจมตีของสยามได้ทั้งสองครั้ง

ในอีก 2 ปีต่อมา คือปี ค.ศ. 1636 สยามได้มีการวางแผนจะโจมตีปัตตานีอีกครั้งโดยครั้งนี้ได้รับสัญญาการร่วมมือและช่วยเหลือจากฮอลันดาอีก อย่างไรก็ตามการวางแผนครั้งนี้ได้ถูกยกเลิกไปจากการเข้ามาร่วมมือของสุลต่านริยาลุดดิน มูฮัมหมัด ชาห์ (ค.ศ. 1612 - 1652) จากรัฐเคดะห์ และด้วยการทำนายของพระสงฆ์พุทธที่ได้กล่าวไว้ว่า ถ้ามีการดำเนินการโจมตี สยามก็จะพ่ายแพ้ และยิ่งประสบกับความพ่ายแพ้ที่หนักหน่วงกว่าเดิมอีก ต่อมาได้มีการดำเนินการทางการทูตเกิดขึ้น เพื่อสร้างความปรองดองระหว่างปัตตานีกับสยาม คณะทูตหนึ่งจากสยามได้เดินทางมายังพระราชวังปัตตานีในปี ค.ศ. 1636 เพื่อเรียกร้องให้กษัตริย์ปัตตานีองค์ใหม่คือ ราชินีกูนิงให้ขอโทษต่ออาณาจักรสยาม พร้อมให้ส่งเครื่องราชบรรณาการ (ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง) อีกครั้งหลังจากหยุดขาดไปในสมัยราชินีอูงู

ถึงแม้ว่าฝ่ายปัตตานีจะแข็งกร้าวและปฏิเสธคำเรียกร้องมาแต่ต้น ด้วยการให้คำปรึกษาของฮอลันดา ราชินีแห่งปัตตานีได้ยินยอมส่งคณะทูตสันติภาพในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1636 ด้วยความเห็นชอบร่วมกันโดยปัตตานีเห็นด้วยที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการ (ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง) แก่สยามอีกครั้ง ส่วนสยามก็เห็นด้วยที่จะแต่งตั้งผู้รับผิดชอบคนหนึ่งมีสถานะเป็นทูตที่ปัตตานี แสดงถึงความเป็นมิตรระหว่างรัฐทั้งสอง

ราชินีกูนิง (ค.ศ. 1635 - 1651)
ราชินีอูงูสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1635 ทิ้งรัฐปัตตานีในสภาพที่ “สงบสุขเป็นการชั่วคราว” ในความสัมพันธ์ของปัตตานีกับกษัตริย์สยามที่โลภที่ชื่อว่า พระเจ้าประสาททอง พระองค์เป็นที่รู้จักภายหลังการเสียชีวิตในนามของอัลมาร์ฮูมปาหัง ผู้สืบราชบัลลังก์แทนคือราชธิดาที่เกิดจากการอภิเษกกับสุลต่านอับดุบกาฟูร์แห่งปาหัง ซึ่งมีชื่อว่า ราชินีกูนิง

ในยุคสมัยราชีนีกูนิง มีอีกสงครามหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างปัตตานีกับสยามสงครามครั้งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1638 และเป็นสงครามครั้งที่สี่ระหว่างทั้งสองรัฐ นับแต่ปี ค.ศ. 1603 นอกจากแหล่งข้อมูลจากหนังสือ “ประวัติราชอาณาจักรมลายูปัตตานี” ของอิบราฮิม ชุกรี เกือบจะไม่มีแหล่งข้อมูลอื่นใดที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สงครามปัตตานีกับสยามในครั้งนี้ จากหนังสือประวัติราชอาณาจักรมลายูปัตตานี มีการเข้าใจว่าสงครามครั้งนี้ไม่ได้ใหญ่เหมือนดังสงครามในปี ค.ศ. 1632 ถึง ปี ค.ศ. 1634 และเป็นเพียงกุศโลบายทางการเมืองของกษัตริย์สยามคนใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ (หนังสือ ประวัติอาณาจักรมลายูปัตตานี หน้า 74)

ในปี ค.ศ. 1641 พระองค์ได้ไปเยี่ยมเยียนยังอยุธยา เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างปัตตานีกับสยาม ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ ปัตตานีอยู่ในความไม่สงบได้ในเวลาหนึ่งโดยไม่ถูกรบกวน พร้อมเข้าสู่ยุคทองทั้งเป็นรัฐที่มีอิทธิพลยิ่งในบรรดารัฐมลายูในเวลานั้น

ราชินีกูนิงมีพระสวามีเป็นพระอุปราชแห่งรัฐโยโฮร์ ผู้เป็นพระอนุชาสุดท้องของสุลต่านอับดุลจาลิล ชาห์ที่ 3 (สุลต่านโยโฮร์ ค.ศ. 1623 - 1677) การสมรสครั้งนี้เกิดขึ้นที่ปัตตานีในปี ค.ศ. 1632 ไม่นานหลังจากเกิดสงครามระหว่างปัตตานีกับสยาม ในปีดังกล่าว พระองค์เป็นกษัตริย์ร่ำรวยและมีลักษณะเป็นกษัตริย์ผู้หนึ่งที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและรัฐของพระองค์

พระองค์ได้รับกล่าวว่ามีความสนใจในการค้าขายสูงและกล่าวว่ามีเรือสินค้าของตนเองในการทำการค้าในภูมิภาคมลายู ภายใต้การดูแลควบคุมของบุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่า “พ่อค้าของกษัตริย์” (Saudagar Raja) ด้วยการริเริ่มของพระองค์ มีการเกณฑ์แรงงานอย่างใหญ่หลวงเพื่อทากรขุดลอกปากแม่น้ำปัตตานีให้ลึก จากที่นับวันจะตื้นเขินในสมัยของพระองค์ เชื่อกันว่าการพยายามครั้งนี้อันเกิดจากการติดขัดในการเดินทางเข้าออกของบรรดาเรือสินค้าของพระองค์ผ่านปากแม่น้ำดังกล่าว

นอกจากการดำเนินการค้าขาย ราชินีกูนิงก็ได้รับการบันทึกว่ามีความสนใจในการเกษตร ทำให้ในสมัยที่พระองค์เป็นผู้ปกครองนั้นไม่เคยที่พระองค์จะใช้เงินการคลังของรัฐในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าพระองค์จะมีสิทธิ์ในการใช้เงินเหล่านั้นนอกจากได้ใช้จ่ายเงินในชีวิตประจำวันจากรายได้ของการขายดอกไม้และผลผลิตที่มีอยู่ภายในสวนของพระองค์เองเท่านั้น” (หนังสือประวัติราชอาณาจักรมลายูปัตตานีหน้า 72)

ในตอนช่วงท้ายของการปกครองของราชินีกูนิงได้มีส่วนร่วมในการสัมพันธ์ “อันไม่ปกติ” กับราชาซักตีที่ 1 เจ้าเมืองกลันตัน (Datu Kelantan) ที่ปกครองอยู่ที่เมืองปังกาลัน ดาตู เป็นที่เชื่อกันว่าความสัมพันธ์เช่นนี้เกิดจากความไม่พึงพอใจของราชาซักตีที่ 1 ที่มีต่อราชินีกูนิงที่ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ต่อการกระทำของน้าชายของเขา (น้าชายของราชาซักตีที่ 1) ที่ได้แย่งชิงสิทธิ์เหนือราชบัลลังก์แห่งดาตูกลันตัน

ดังเช่นที่ได้มีการกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์กลันตัน บิดาของราชาซักตีที่ 1 คือ ดาตูอับดุลกาเดร์ (ก่อนหน้านี้ได้ใช้ตำแหน่งว่าสุลต่านอับดุลกาเดร์) เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1632 ความจริงพระองค์ต้องได้รับการสืบทอดโดยราชาซักตีที่ 1 ผู้เป็นบุตร แต่สิทธิ์นี้ถูกแย่งชิงไปโดยน้าชายของเขาที่ชื่อราชาอับดุลลอฮฺ ได้กระทำการตามอำเภอใจในการขึ้นครองราชย์เป็นดาตูกลันตัน จึงได้ปลดปล่อยกลันตันออกจากปัตตานี กลับมาใช้นามใหม่ว่า “สุลต่าน” และได้ปกครองอยู่ที่โกตา เยอลาซิน (Jelasin) สถานการณ์เช่นนี้เหมือนดังอำนาจทางการเมืองของกลันตันมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนหนึ่งยอมรับว่าราชาอับดุลลอฮฺเป็นสุลต่าน และอีกส่วนหนึ่งยอมรับว่าราชาซักตีเป็นดาตูแห่งกลันตัน ที่

ถูกต้องตามคำบอกเล่าในประวัติศาสตร์กลันตัน ราชาอับดุลลอฮฺมีอำนาจเริ่มตั้งแต่พื้นที่มือลอร์ และโกตา เยอลาซิน ตรงไปยังตอนเหนือ ส่วนราชาซักตีที่ 1 มีอำนาจบริเวณโกตาปังกาลันดาตูและพื้นที่ตอนใต้ รวมทั้งหมดของพื้นที่กลันตันตะวันตก

นับตั้งแต่สมัยพระมารดาของพระองค์ที่มีพระนามว่าราชินีอูงู บุคคลทั้งสองนี้ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปกครองกลันตันที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในปี ค.ศ. 1638 ราชินีแห่งปัตตานีคนใหม่ที่มีพระนามว่า ราชินีกูนิงได้ให้การรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ราชาซักตีที่ 1 ว่าเป็นดาตูแห่งกลันตันที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ดีสุลต่านอับดุลลอฮฺก็ยังคงถูกปล่อยให้เป็นสุลต่านที่กลันตัน ตราบจนกระทั่งได้สิ้นชีวิตไปในปี ค.ศ. 1646 ต่อมาตำแหน่งของเขาถกสืบทอดโดยราชาอับดุลราฮิมผู้เป็นน้องชาย ด้วยใช้นามว่าสุลต่านอับดุลราฮิม ซึ่งได้ปกครองกลันตันในบริเวณดินแดนของเขาด้วยความกดขี่ทารุณ

ในขั้นนี้ ราชาซักตีที่ 1 โดยเฉพาะและชาวกลันตันโดยรวมกำลังรอดูว่าราชินีกูนิงจะกระทำการอย่างใด ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้ปกครองส่วนกลางที่ปัตตานี ที่มีต่อการปกครองที่กดขี่ทารุณของราชาอับดุลราฮิมผู้นี้ หลังจากที่ได้รอเป็นเวลานาน และเป็นที่ชัดเจนว่าราชินีกูนิงมีลักษณะ “ลอยตัว"” ในเรื่องเหล่านี้ ราชาซักตีที่ 1 เริ่มรู้สึกว่าราชินีกูนิงคล้ายมีเจตนาจะปล่อยละเลยรัฐกลันตันให้อยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย

ถึงแม้ว่าไม่เข้าร่วมในสนามระหว่างพี่น้อง ราชาซักตีที่ 1 จึงคิดว่าถ้าหากว่าสงครามระหว่างพี่น้องเช่นพระองค์กับสุลต่านอับดุลราฮิมเกิดขึ้น ดังนั้นอำนาจศูนย์กลางที่ปัตตานีจะรู้สึกดีใจยิ่ง ด้วยเพราะนับแต่สมัยพระมาดาของพระองค์ที่ชื่อราชินีอูงู ก็มีความตั้งใจที่จะทำลายตระกูลของดาตูแห่งกลันตันคนเก่า และแทนที่ด้วยดาตูคนใหม่ที่พร้อมรับคำสั่งใด ๆ จากศูนย์อำนาจ แถมยังสามารถกดดันให้มีการส่งเครื่องราชบรรณาการและภาษีของกลันตันดังที่เคยเกิดขึ้นครั้งกลันตันได้รวมอยู่ในปัตตานีเมื่อครั้งแรก

ราซาซักตีที่ 1 ได้เริ่มรวบรวมกองทัพเพื่อก่อกบฏต่อต้านอำนาจส่วนกลางที่ปัตตานี ขั้นแรกในการดำเนินการนั้นคือได้กระทำการโจมตีเพื่อรวมกลันตันเสียก่อนรวมปี ค.ศ. 1649 พระองค์ได้โจมตีโกตามะห์ลีฆัย (สถานที่แห่งหนึ่งใกล้กับมือลอร์ในปัจจุบัน) สถานที่พำนักของสุลต่านอับดุลราฮิม การโจมตีครั้งนี้ได้กระทำการในเวลากลางคืน ขณะที่สุลต่านอับดุลราฮิมกำลังมีการรื่นเริงที่ใหญ่โต เวลานั้นประตูพระราชวังได้เปิดเพื่อให้คนจำนวนมากเข้าออกมาชมการละเล่นศิลปะและละครท้องถิ่น การปะทะกันได้เกิดขึ้นจนกระทั่วเช้า และในที่สุดสุลต่านอับดุลราฮิมถูกราชาซักตีแทงจนตายที่ริมทะเลสาบที่มีชื่อว่าทะเลสาบเลอลายังมันดี (Tasik Lelayang Mandi)

และด้วยการฆาตกรรมในครั้งนี้ ทำให้กลันตันซึ่งเดิมมีอยู่ 2 ส่วน ปัจจุบันได้กลับมาเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้อำนาจของราชาซักตีที่ 1 เวลา 1 ปีต่อมาคือปี ค.ศ. 1650 พระองค์ได้โจมตีอำนาจส่วนกลางของพระองค์เองนั้นคือปัตตานี และได้โค่นล้มราชินีกูนิงภายหลังจากมีชัยชนะเหนือปัตตานี พระองค์ดำเนินต่อเนื่องไปแย่งชิงสงขลา พัทลุงและนครศรีธรรมราช

ราชินีกูนิงได้ลงจากบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1651 แล้วจึงได้เดินทางพร้อมผู้ติดตามไปยังรัฐของผู้เป็นสามี คือ รัฐโยโฮร์ ในระหว่างการแล่นเรือกลางทะเล บังเอิญขณะที่อยู่บริเวณชายฝั่งกลันตัน พระองค์ได้เจ็บลงและได้ขึ้นบกที่โกตาปังกาลันดาตู ในหลายเดือนต่อมาพระองค์ก็ได้สิ้นชีวิตที่กลัน และถูกฝังที่หมู่บ้านปันโจร์ (Pancor) กือมูมินโดยที่ฝังศพของพระองค์ก็มีอยู่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน และรู้จักในนามของที่ฝังศพนางจายัง

ปัตตานีในศตวรรษที่ 17

ถึงแม้ว่าปัญหาเรื้อรังด้วยเกิดสงครามหลายครั้งกับสยาม แล้วก็ปัญหาวิกฤตการณ์ภายในเกี่ยวกับดาตูแห่งกลันตัน ถึงอย่างไรก็ดี ปัตตานีในศตวรรษที่ 17 นั้นเป็นรัฐหนึ่งที่มีอำนาจมาก มีอิทธิพล เจริญรุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์ ตลอดทั้งศตวรรษนี้คนตะวันตกได้เดินทางสู่โลกตะวันออก ทำการติดต่อทางการค้ากับพวกเขาและยังยึดครองพวกเขาอีกด้วย มะละกาถูกโปรตุเกสยึดครอง ราวต้น ค.ศ. 1511 ติดตามด้วยฮอลันดาใน ค.ศ. 1641 มะนิลาตกอยู่ภายใต้อำนาจของสเปนในปี ค.ศ. 1571 และฮอลันดายึดครองซุนดา  กือลาปา (Sunda Kelapa) (ต่อมาพวกเขาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบัตตาเวีย) ในปี ค.ศ. 1619 ในเรื่องนี้อังกฤษค่อนข้างช้ามาก

การหลุดพ้นการกระทำอันชั่วร้ายของชาติตะวันตกเหล่านี้ ปัตตานีกลายเป็นรัฐอุดมสมบูรณ์ เพราะการเดินทางมาของพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกว้างขวางขึ้นส่วนการแข่งขันทางการค้าระหว่างพวกเขากันเองได้ทำให้มีผลกำไรเข้ามาอย่างท่วมท้น

มีบันทึกจำนวนมากที่ได้ค้นพบที่กล่าวถึงปัตตานีในราวศตวรรษนี้ นักเขียนชาวฮอลันดา ผู้หนึ่งที่เดินทางไปถึงปัตตานีในด้านศตวรรษที่ 17 มีชื่อว่า แวนเนค (Van Neck) ได้กล่าวชมเชยการปกครองของราชินีฮีเยา ดังคำเขียนของเขา :



“พระนางได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสงบสุข พร้อมกับบรรดาขุนนางของพระนาง (ผู้ซึ่งพวกเขาเรียกว่าเสนาบดี-Menteri) เป็นเวลาประมาณ 13 หรือ 15 ปี มวลประชาราษฎร์ของพระองค์ต่างชื่นชมการปกครองของพระองค์ว่าดีกว่ากษัตริย์องค์ที่ผ่านมา เช่น อาหารการกินมีราคาถูกมา ซึ่งในสมัยกษัตริย์องค์ก่อนราคาแพงกว่าตั้งครึ่งหนึ่งอันเป็นผลมาจากการวางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด”

นักเขียนชาวฮอลันดาอีกผู้หนึ่งที่ชื่อว่า จอห์น นิยูฮอฟฟ์ (John Nieuhoff) ที่ได้เดินทางมายังปัตตานีในปี ค.ศ. 1660 ได้กล่าวถึงรัฐปัตตานีในสมัยนั้นว่ามีชายแดนติดต่อกับปาหังทางด้านทิศใต้และติดต่อกับนครศรีธรรมราชในด้านทิศเหนือ เขายังได้กล่าวอีกว่า “นครศรีธรรมราชในเวลานั้นได้รวมเป็นหนึ่งกับสยาม ดังเช่นประเทศรัฐแห่งหนึ่ง” ชื่อของปัตตานีได้นำมาจากชื่อตัวเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 756 องศาและตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากทะเล ประชากรปัตตานีได้มีการจินตนาภาพว่ามีจำนวนมากจนกระทั่งสามารถระดมกองทัพได้ถึง 180,000 คนในสนามสงคราม ส่วนที่ตัวเมืองปัตตานีและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้นมีกำลังทหารอยู่ถึง 10,000 คน

ก่อนหน้านิยูฮอฟฟ์ไม่นาน มีกัปตันชนชาติอังกฤษที่เดินทางมาเยียนปัตตานีในสมัยราชินีกูนิง มีชื่อว่า อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) ได้เขียนด้วยความรู้สึกและจินตนาการที่ใกล้เคียงกัน เขากล่าวไว้ว่า :

“ประชากรทั้งหมดในรัฐปัตตานีในสมัยนั้นมีการคำนวณจำนวนผู้ชาย (ไม่ได้รวมผู้หญิงไว้ด้วย) ตั้งแต่อายุ  16 ปี จนถึง 60 ปี มีจำนวนถึง 150,000 คน ประชากรในตัวเมืองปัตตานีก็มีเป็นจำนวนมากจนกระทั่งกลายเป็นเมืองที่ใหญ่พร้อม บ้านที่ปลูกใกล้ชิดเป็นจำนวนมากนั้นคือเริ่มตั้งแต่ประตูพระราชวังจนถึงหมู่บ้านบานาบ้านไม่ได้ขาดตอนเลย แม้นว่ามีแมวตัวหนึ่งเดินอยู่บนหลังคาบ้านเหล่านั้นเริ่มจากราชวังจนถึงปลายสุดของตัวเมือง แมวสามารถเดินได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องลงสู่พื้นดิน”

เกี่ยวกับการค้าขายที่ท่าเทียบเรือปัตตานี, นิยูฮอฟฟ์ได้กล่าวไว้ว่ารัฐปัตตานีในสมัยนั้นมีอำนาจทางด้านเรือสินค้ามากกว่าโยโฮร์และปาหัง หรือรัฐอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับรัฐปัตตานี[14] โกดินโฮ เดอ เอรีเดีย (Godinho de Eredia) ชาวโปรตุเกสคนหนึ่งผู้เกิดที่มะละกา ได้กล่าวถึงปัตตานีว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งและเป็นเมืองเอกสำหรับคนมลายูในสมัยนั้น (ศตวรรษที่ 17)

ส่วนนักเดินทางชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า นิโคลัส แกร์วัยเซ่ (Nicholas Gervaise) ผู้ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมปัตตานีในช่วงปีทศวรรษที่ 1680 ได้กล่าวว่า “ปัตตานีไม่ได้กว้างไปกว่าสามรัฐอื่น (โยโฮร์, จัมบีและเคดะห์) แต่ปัตตานีมีชื่อเสียงกว่าและเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การปฏิวัติของตนเองและการบริหารภายในรัฐ

การส่งสินค้าของปัตตานีในสมัยนั้น[15] นอกจากนั้นมีเกลือ, การปสุสัตว์ เช่น วัว และไก่ เครื่องเทศ ของป่า เช่นไม้หอม (Santalum albun) สีขาวและสีเหลือง หนังสัตว์ เขาสัตว์ งาช้าง และอื่น ๆ อีก ส่วนการนำสินค้าเขาของปัตตานีรวมทั้งเครื่องปั้นดินเผาและผ้ามาจากจีนและญี่ปุ่น ฝ้ายและอบเชย จากจัมปาและกัมพูชา การะบูรและอัญมณีจากบอร์เนียว, จันทน์เทศและก้านพลูจากอัมบอนและอื่น ๆ เมื่อดูรายชื่อเหล่านี้ เป็นที่ชัดเจนว่าการค้าขายของปัตตานีในสมัยศตวรรษที่ 17 ไม่เพียงการมีส่วนร่วมของบรรดารัฐในภูมิภาคมลายูเท่านั้น แต่ยังมีบรรดารัฐในเอเชียอื่น รวมทั้งอันนาม (เวียดนาม) พะโค (พม่า) และบังคลา

ถึงแม้ว่าปลายศตวรรษที่ 17 ปัตตานีเริ่มสูญเสียยุคทองของตนเอง ความเข้มแข็งทางการเมืองและวิธีการดึงให้ท่าเทียบเรือของตนเองให้เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญในภูมิภาคนี้มีสภาพที่มืดมัวและสลัว สถานที่และสถานภาพของปัตตานีถูกผู้อื่นแทนที่และบรรดาพ่อค้าเริ่มย้ายไปยังที่นั้นราวปลายศตวรรษที่  17 นี้ ปัตตานีถูกท้าทายอย่างหนักจากศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่ อย่างเช่น โยโฮร์ อาเจะห์ และบันเตน แล้วก็มะละกา และปัตตาเวียภายใต้อำนาจของฮอลันดา ผลจากการนี้ทำให้ท่าเทียบเรือปัตตานีเงียบเหงาและถูกทิ้งร้างไป

ดังที่เป็นรัฐทางทะเล เศรษฐกิจปัตตานีผูกพันอยู่กับการค้าขายความเสื่อมลงของปัตตานีในด้านการค้าขายได้ทำให้เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจของปัตตานีในปลายศตวรรษที่ 17 เริ่มช้าลงและตกลงมา ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 ท่าเทียบเรือปัตตานีสามารถรักษาสภาพเป็นเพียงท่าเทียบเรือหนึ่งในการค้าขายของท้องถิ่นเท่านั้น ด้วยความเสื่อมลงเช่นนี้ ต่อมาได้เพิ่มปัจจัยทางการเมืองภายในรัฐที่ไม่มั่นคงและการโจมตีจากสยามที่ไม่หยุดยั้งต่อปัตตานี ทำให้ปัตตานีในศตวรรษที่ 18 เป็นเพียงรัฐของนักการเกษตร (Petani) หรือการเกษตรกรรม (Pertanian) ที่ยากจนและสูญเขี้ยวเล็บทางการเมืองและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่ปัตตานีเองเคยมีอยู่

[1] นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1538 เฟอร์นันโด เมนเดช ปินโต (Fernando Mendez Pinto) ได้รายงานว่ามีพ่อค้าชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ปัตตานี

[2] เงื่อนไขเหล่านี้คือ กลันตันต้องมีพื้นที่ดินแดนของตนเองด้วยการมีอำนาจเหนือดินแดนนั้น (ปกครองตนเอง) รวมทั้งไม่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการหรือภาษีจากกลันตันในการรวมดินแดนครั้งนี้

[3] จำต้องกล่าวได้ไว้ว่า การรวมดินแดนครั้งนี้เป็นการรวมดินแดนครั้งที่ 2 ที่กลันตันเข้าไปอยู่ในสหพันธรัฐปัตตานี การรวมดินแดนที่หนึ่งที่หนึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1502 แต่สิ้นสุดลงในปลายปี ค.ศ. 1524

*น่าจะเป็นอยุธยามากว่า เพราะขณะนั้นเมืองหลวงตั้งอยู่ที่อยุธยา – ผู้แปล

[4] ในขณะที่การโจมตีทั้งสองครั้งที่มีต่อปัตตานี สยามถูกปกครองโดยพระเจ้าประสาททอง ผ่านการยึดอำนาจด้วยการสังหารพระเจ้าอาทิตย์วงศ์ในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1629 พระราชินีอูงูได้เห็นว่าพระเจ้าประสาททองเป็นผู้ที่มีความประพฤติไม่ดีเป็นฆาตกรและผู้ทรยศ ไม่ยอมรับกษัตริย์สยามองค์ใหม่นี้ และได้ปฏิเสธการส่งเครื่องราชบรรณาการ (ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง) แก่สยาม พระองค์ได้ดำเนินการที่ไกลกว่านั้น โดยการประกาศเอกราชแก่ปัตตานีจากการอยู่ภายใต้อำนาจของสยาม

[5] ดู : อับดุลลอฮฺ มูฮัมหมัด (นากูลา) “ประวัติศาสตร์กลันตัน (ในหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา),เอกสารใน “การประชุมสัมมนาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมดินแดนกลันตัน” ที่โกตาบารู ในวันที่ 12-13 ใน Dagh Rehister ได้กล่าวไว้ว่ารัฐปาหังและโยโฮร์ได้ส่งเรือขนาดใหญ่ (Ghali besar) จำนวน 50 ลำ พร้อมกำลังพล 5,000 คน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1634 สำหรับการช่วยเหลือปัตตานี

[6] วู๊ด (wood) ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า ประวัติศาสตร์สยาม (History of Siam) ได้กล่าวว่ามีการเตรียมพร้อมในการโจมตีปัตตานีจริงในปี ค.ศ. 1636 (ไม่ใช่ ค.ศ. 1638) แต่ถูกยกเลิกไปตามคำแนะนำของฮอลันดา การอ้างอิงในประวัติศาสตร์สยามนั้นไม่ปรากฏว่ามีกษัตริย์สยามองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ในปี ค.ศ. 1638 หรือในปีอื่นในทศวรรษที่ 1630 สยามยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าประสาททอง จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1656

[7] ข้อมูลบางแห่งได้กล่าวในปี ค.ศ.1644 ในหนังสือประวัติราชอาณาจักรมลายูปัตตานีได้กล่าวว่ามีคณะของการสมรสที่ประกอบด้วยคนจำนวน 3,000 คน พร้อมเรือใบจำนวนนับสิบลำนี้สามารถช่วยเหลือสกัดกั้นการโจมตีของสยามต่อปัตตานี ภายหลังจากพิธีสมรสผ่านพ้นไป อุปราชแห่งรัฐปาหังตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ปัตตานี

[8] ดาตู (Datu) เป็นตำแหน่งของผู้ปกครองกลันตันในสมัยนั้น ตำแหน่งนี้มีการใช้แทนตำแหน่ง “สุลต่าน” ที่ได้มีการยกเลิกหลังจากกลันตันเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธปัตตานีในปี ค.ศ. 1619 ในความหมายทางการเมืองสมัยใหม่มีความหมายเหมือนกับคำว่า “Wali – ตัวแทน” หรือผู้ว่าการที่ได้รับการแต่งตั้งจากอำนาจส่วนกลางในการปกครองดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใต้อำนาจของส่วนกลาง

[9] บรรดารัฐหรือดินแดนที่ราชาซักตีที่ 1 ยึดครองนี้ต่อมาได้รวมเป็นหนึ่งภายใต้ชื่อว่า ปัตตานีใหญ่ (Patani Besar) เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ข้อมูลฝ่ายสยามได้กล่าวว่าในปี ค.ศ. 1648 เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่สงขลา และถึงแม้ว่าจะได้รับการปฏิบัติการโต้ตอบแต่ไม่อาจมีชัยชนะเหนือสงขลา ในปี ค.ศ. 1655 อีกครั้งหนึ่งการปฏิบัติการเพื่อเข้าตีสงขลาแต่ “แม่ทัพที่เป็นผู้นำกองทัพเรือสยามได้สามารถหนีเอาตัวรอดและกลับไปยังสยามด้วยความอับอาย” (วู๊ด, อ้างแล้ว , หน้า 183-184)

[10] ดู เอ.ทิว และดี.เค วัยแอต, ตำนานปัตตานี, มาร์ตีนุส นิจฮอฟฟ์, กรุงเฮก 1970, หน้า 242

[11] ชายแดนดังที่กล่าวมานี้ประกอบด้วยบรรดารัฐต่าง ๆ ในปัจจุบัน เช่น ตรังกานู, กลันตัน, ปัตตานีเดิม, สงขลาและพัทลุง มโนภาพที่กล่าวมานี้ตรงกับบันทึกประวัติศาสตร์กลันตันที่ได้กล่าวไว้ว่ากลางศตวรรษที่ 17 บรรดารัฐทั้งหมดเหล่านี้รวมกันเป็นหนึ่งภายใต้ชื่อ “รัฐปัตตานีใหญ่” ปกครองโดยราชาซักตีที่ 1 (ดูแผนที่)

[12] เจ.เจ.ซีฮัน “ผู้มาเยี่ยมแหลมมลายูในศตวรรษที่ 17” ในวารสาร JIMBRAS เล่มที่ 12 ส่วนที่ 2 (คิดลอกจากนากูลา, อ้างแล้ว,หน้า 20)

[13] อิบราฮิม ซุกรี, อ้างแล้ว, หน้า77

[14] เจ.เจ.ซีอาน,อ้างแล้ว

[15] นิโคลัส แกร์วัยเซ่, Historie Naturelle et Politique du Rayaume de Siam พิมพ์ครั้งที่ 2 ปารีน, 1960 หน้า 316-317 (คัดลอกจากมูฮัมหมัด ยูซูฟ ฮาชิม, ประวัติศาสตร์มลายูในภูมิภาคมลายู (Persejarahan Melayu Nusantara) บริษัทเทคส์ พัลลิชชิ่ง จำกัด, กัวลาลัมเปอร์, 1988 หน้า 302

Tiada ulasan:

Catat Ulasan