Ekonomi/Bisnis

Selasa, 24 November 2020

นายเวนเซสลาว คิว. วินซันส์ Wenceslao Q. Vinzons (1910-1942) วีรบุรุษชาวฟิลิปปินส์ที่ต่อต้านการยึดครองของกองทัพญี่ปุ่น

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์   ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในฟิลิปปินส์-The Father of Student Activity in The Philippines"[1]

 

นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  เกิดที่เมืองอินดาน (Indan) จังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte ) บนเกาะลูซอน เดิมเมืองอินดานนี้มีชื่อว่าเมือง Tacboan เป็นเมืองที่ก่อตั้งโดยคณะนักบวชคริสเตียนทื่ชื่อว่า คณะฟรันซิสแคน (the Franciscan) เมื่อปี 1581 ต่อมาเมืองอินดานนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเมืองวินซอนส์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับนายเวนเซสลาว คิว. วินซันส์ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte )

นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  เป็นบุตรของนายกาบีโน วินซอนส์ วาย. เวนีดา (Gabino Vinzons y Venida) และนางเองกราเซีย ควีนีโต วาย. เอเลป (Engracia Quinito y Elep) เขาเป็นหลานปู่ย่าของเซราฟิน วินซอนส์ (Serafín Vinzons) ซึ่งเป็นคนจีน กับนางบัลโดเมรา เวนีดา (Baldomera Venida) และหลานตายายของนายโรซาลีโอ ควีนีโต (Rosalío Quinito) และนางซีปรียานา เอเลป (Cipriana Elep)[2]

 

นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  มีชื่อเล่นว่า Bintao เขาเรียนชั้นเริ่มต้นที่ Vinzons Elementary School และการเรียนของเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของชั้นเรียน จากนั้นเขาได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนระดับมัธยมชื่อว่า Camarines Norte High School และเขาได้เข้าศึกษาจนจบปริญญาตรีด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ (the University of the Philippines)   เขาได้สร้างชื่อเสียงในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ โดยเขาได้รับรางวัลเหรียญทองคำประธานาธิบดีมานูเอล  แอล. เคซอน (the Manuel L. Quezon gold medal)  จากการที่เขาพูดในหัวเรื่อง “Malaysia Irredenta” ในวาระการจัดงานวาทศิลป์ประจำปีครั้งที่ 20 ของวิทยาลัยกฎหมาย มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ (20th Annual Oratorical Contest of the College of Law, University of the Philippines) ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1932[3]

 

แม้จะมีบันทึกถึงคำว่า Malaysia และ Malaysian ในหนังสือราชกิจจานุเบกษาของรัฐซาบะห์ มาเลเซีย ที่ชื่อ The North Borneo Gazette ในปี 1889 แต่ยังไม่เผยแพร่นัก นักวิชาการส่วนหนึ่งจึงถือว่า นายเวนเซสลาว คิว. วินซันส์  เป็นบุคคลแรกๆ ที่สร้างชื่อคำว่า “มาเลเซีย” จากการพูดของเขาในปี 1932  

                                                
นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  ถือได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่มีจิตใจต้องการรวมชาติพันธุ์มลายูเข้าด้วยกัน เขายังเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า Philippine Collegian เป็นหนังสือพิมพ์ที่จัดพิมพ์ตั้งแต่ปี 1922  โดยแรกเริ่มในปี 1910 หนังสือพิมพ์นี้รู้จักในชื่อ the College Folio เป็นหนังสือพิมพ์ของนักศึกษาปริญญาตรี และต่อมาหนังสือพิมพ์นี้ในปี 1917 รู้จักในชื่อหนังสือพิมพ์ Varsity News และในปี 1922 หนังสือพิมพ์นี้จึงใช้ชื่อเป็นทางการว่า หนังสือพิมพ์ Philippine Collegian[4]  โดยนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์   เป็นบรรณาธิการคนที่สามของหนังสือพิมพ์ Philippine Collegian  โดยเป็นบรรณาธิการตั้งแต่ปี 1931–1932

 

นอกจากนั้นเขายังเป็นนายกองค์การนักศึกษา (President of the Student Council) อีกด้วย   ในปี 1932 เขาเป็นผู้นำองค์กรที่ชื่อว่า The Youth Movement  ต่อต้านการขึ้นเงินเดือนของสมาชิกสภาเทศบาลกรุงมะนิลา 

                                                                 นาย Arturo M. Tolentino

หลังจากเขาจบการศึกษา เขาได้ร่วมกับเพื่อนๆ เช่น นาย with Narciso J. Alegre และนาย Arturo M. Tolentino ( ต่อมาเป็นวุฒิสมาชิก และเป็นรองประธานาธิบดีในยุคประธานาธิบดีเฟอร์ดินัน มาร์คอส) จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ชื่อว่า the Young Philippines Party และในปี 1933 เขาชนะเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ (Constitutional Convention) ในปี 1935  เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (Congressman)   ต่อมาในปี 1940 เขาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคามารีนนอร์เต (Camarines Norte ) เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองฟิลิปปินส์ ในปี 1941 เขาเป็นคนแรกๆ ที่จัดตั้งหน่วยจรยุทธ์ต่อต้านการยึดครองของกองทัพญี่ปุ่น โดยกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองพื้นที่เขตของเขาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1941

 

เชาสั่งให้ยึดฉางข้าวทั้งหมดในจังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte) และสั่งยึดวัตถุระเบิดที่ใช้ในเหมืองทองคำของจังหวัดคามารีนนอร์เต เพื่อใช้ในการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น  ในวันที่ 18 ธันวาคม 1941 เขาได้นำกำลังเข้าโจมตีกองทัพญี่ปุ่นในเมืองบาซุด จังหวัดคามารีนนอร์เต ในเวลาไม่นาน กองกำลังของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์   ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2,800 คน และในเดือนพฤษภาคม 1942 นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  ก็สามารถนำกองกำลังของตัวเองปลดปล่อยเมืองดาเอ็ด (Daet) เมืองเอกของของจังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte ) ได้สำเร็จ กล่าวกันว่าระหว่างเดือนธันวาคม 1941 ถึงเดือนพฤษภาคม 1942 กองกำลังของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  นอกจากใช้อาวุธต่างๆแล้ว ส่วนหนึ่งจะใช้ลูกธนูอาบยาพิษ สามารถสังหารทหารญี่ปุ่นได้ราว 3,000 นาย  ซึ่งทำให้กองทัพญี่ปุ่นมีเป้าหมายยึดเมืองวินซอนส์เป็นเป้าหมายหลัก

 

การต่อสู้ต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ก็สิ้นลง เมื่อชาวฟิลิปปินส์ที่เคยเป็นอดีตกองกำลังของเขาได้ทรยศ โดยได้แจ้งข่าวเกี่ยวกับเขาให้แก่กองทัพญี่ปุ่น จนต่อมานายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ก็ถูกจับคุมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1942 เขาได้ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น จึงถูกนำตัวไปยังเมืองดาเอ็ต (Daet) เมืองเอกของจังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte ) และในวันที่ 15 กรกฎาคม 1942 กองทัพญี่ปุ่นได้ขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายให้นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ให้ความร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น แต่เขาได้ปฏิเสธคำขอร้องดังกล่าว ดังนั้นกองทัพญี่ปุ่นจึงใช้ดาบปลายปืนสังหารนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  ถึงแก่ความตาย[5]  และหลังจากนั้นไม่นาน กองทัพญี่ปุ่นได้สังหารพ่อภรรยา น้องสาวและลูก ๆ อีกสองคนของเขาเช่นกัน[6]

มีหลายสิ่งที่แสดงถึงการรำลึกถึงเกียรติคุณของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ไม่เพียงได้รับการยกย่องว่าเป็น ”บิดาแห่งการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในฟิลิปปินส์" เท่านั้น  ยังมีอีกอย่างเช่น

 

เมืองอินดาน ก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อเมืองตามชื่อของเป็นเมืองวินซอนส์อีกด้วย

 

โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลาก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนประถมวินซอนส์  

ศูนย์กิจกรรมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ วิทยาเขตดิลิมัน ก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น Vinzons Hall ในปี 1959   นอกจากนั้นอาคาร Vinzons Hall ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานหนังสือพิมพ์ Philippine Collegian  ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์อีกด้วย

 

นอกจากนั้นวุฒิสมาชิกริชาร์ด  กอร์ดอน ซึ่งเป็นผู้ชื่นชมนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ และเป็นอดีตประธานสภานักเรียนมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ รับหน้าที่ปั้นรูปนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ที่ Vinzons Hall

 

เครือญาติของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ หลายคนเข้าสู่วงการทางการเมือง  เช่นนายเฟอร์นันโด วินซอนส์ ปาจาริลลา (Fernando Vinzons Pajarillo) ก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกรัฐสภาและผู้ว่าการจังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte ) หลายสมัย บุตรชายของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ เองก็เคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาสมัยหนึ่ง   ส่วนบุตรสาวของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ที่ชื่อว่า นางแนนี่ วินซอนส์ ไกเต (Rannie Vinzons-Gaite) เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดคามารีนส์นอร์เต (Camarines Norte)

 

ผู้เขียนเอง เคยพานักศึกษาสาขาวิชามลายูศึกษาสองคนไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ที่ดิลีมาน กรุงมะนิลา และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การไปเยี่ยมหอประชุมที่ชื่อว่า Vinzons Hall สิ่งที่น่าเสียใจยิ่ง เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนเฟสบุ๊คของผู้เขียนคนหนึ่ง คือ นางรานาวาโลนา คาโรลีนา วินซอนส์ ไกเต (Ranavalona Carolina Vinzons Gaite) ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางสมาพันธ์สมาคมนักเขียนแห่งชาติมาเลเซีย หรือ Gabungan Persatuan Penulis Nasional Malaysia (GAPENA) โดยเฉพาะกับอดีตประธานสมาพันธ์ คือ ตันสรี อิสมาแอล ฮุสเซ็น ได้เสียชีวิตแล้ว นับเป็นการสูญเสียของบุตรสาว นายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์ ซึ่งนักวิชาการมาเลเซีย ถือว่า เป็นคนแรกๆ ที่สร้างชื่อ เผยแพร่ชื่อคำว่า มาเลเซีย คนหนึ่ง แม้ชื่อคำว่ามาเลเซียนี้  จะมีมาก่อนหน้านั้น



[1] Abel C. Icatlo,Wenceslao Q. Vinzons, Filipino exemplar, 

  https://opinion.inquirer.net/124327/wenceslao-q-vinzons-filipino-exemplar

[2] เป็นหลักฐานจากสำเนาสูติบัตรของนายเวนเซสลาว คิว. วินซอนส์  ในขณะที่ยื่นขอใบอนุญาต

   การแต่งงานที่จังหวัดคาวีเต (Cavite) อยู่ตอนใต้ของกรุงมะนิลา ในปี 1932

[3] Gaite, Ranavalona Carolina Vinzons,Wenceslao Q. Vinzons: A Youth to Remember

  (Mimeograph at  University of the Philippines Library, 1977. Speech by

  Wenceslao Q. Vinzons, entitled ‘Malaysia Irredenta’ on 12 February 1932 at 20th

  Annual Oratorical Contest of the College of Law, University of the Philippines.,.

[4] Chee, Tam Seong (1981). Essays on Literature and Society in Southeast

  Asia.National University of Singapore Press. หน้า 148

[5] Filipinos in History Vol. II. Manila, Philippines: National Historical Institute. 1990. หน้า 267

[6] Filipinos in History Vol. II. Manila, Philippines: National Historical Institute. 1990. p. 268

Ahad, 15 November 2020

นายอิบราฮิม ยะอากู๊บ (Ibrahim Yaakub) นักชาตินิยมมาเลเซียผู้หวังจัดตั้งประเทศอินโดเนเซียรายา

โดย นิอับดุลรากิ๊บ  บินนิฮัสซัน

นักชาตินิยมชาวมาเลเซีย ที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอินโดเนเซีย จนคนรุ่นใหม่ชาวมาเลเซียจำนวนหนึ่งไม่รู้จัก นายอัสวี วารมัน อาดัม นักวิชาการชาวอินโดซียได้เขียนไว้ในหนังสือ ชื่อว่า Menguak Misteri Sejarah[1] โดยเขียนว่า นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  เกิดเมื่อ 27 พฤศจิกายน 1911 ที่หมู่บ้านตันหยงเกอร์เบา เมืองเตอเมอร์โละห์ รัฐปาหัง  บรรพบุรุษของเขา มีเชื้อสายชาวบูกิสได้เดินทางมายังรัฐปาหัง มาเลเซีย ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20  

นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ของมาเลเซียอีกคน คือ ศ. ดร. รัมละห์  อาดัม ได้เขียนหนังสือชื่อ Sumbangan Dikenang[2] โดยเขียนว่า พ่อของเขาชื่อ ฮัจญียะอากู๊บ เป็นนักการศาสนาในหมู่บ้าน ส่วนแม่ของเขาชื่อนางฮาวา บินตีฮุสเซ็น เมื่อนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ มีอายุเพียง 2 ขวบ ทางพ่อและแม่ก็ได้หย่ากัน โดยนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บอาศัยอยู่กับแม่ ส่วนพ่อก็ได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านอื่น คือ หมู่บ้านเจอบง (Kampung Cebung) เขตเติมเบอลิง รัฐปาหังเช่นกัน ความสัมพันธ์กับพ่ออยู่ในระดับดี เขาได้รับการศึกษาด้านศาสนาจากพ่อของเขา

สำหรับความคิดชาตินิยมของเขาเริ่มในสมัยที่เรียนในวิทยาลัยฝึกหัดครูสุลต่านอิดริส  โดยนักวิชาการมาเลเซีย อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย ชื่อ ศ. ดร. วันฮาชิม วันเตะห์ เขียนหนังสือ ชื่อ Hubungan Etnik di Malaysia[3] ได้เขียนไว้ว่า ความรู้สึกชาตินิยมในหมู่ชาวมลายูเกิดขึ้นราวทศวรรษที่ 1920 ยิ่งเมื่อมีการจัดตั้งวิทยาลัยฝึกหัดครูสุลต่านอิดริส หรือ Maktab Perguruan Sultan Idris (SITC) ที่เมืองตันหยงมาลิม รัฐเปรัคในปี 1922 โดยวิทยาลัยฝึกหัดครูสุลต่านอิดริสได้สร้างนักชาตินิยมหลายคน รวมทั้งนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บด้วย


ในช่วงที่เรียนที่ วิทยาลัยครูสุลต่านอิดริส (Maktab Perguruan Sultan Idris) ระหว่างปี 1928-1931 ครูของเขาได้สอนถึงขบวนการชาตินิยมของอินเดีย อิยิปต์ อินเดีย และญี่ปุ่น  นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  ได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่นำเข้ามาจากประเทศอินโดเนเซีย หรือ Dutch East Indies ในขณะนั้น หนังสือพิมพ์ดังกล่าว เช่น หนังสือพิมพ์ Persatuan Indonesia และหนังสือพิมพ์ Fikiran Rakjat


ในช่วงปี 1929-1930 ได้เกิดองค์กรลับทางการเมืองขึ้นมา 2 องค์กร คือ พันธมิตรแหลมมลายูบอร์เนียว  หรือ Ikatan Semenanjung Borneo (ISB) และองค์กรที่ชื่อว่าพันธมิตรเยาวชนนักศึกษา หรือ Ikatan Pemuda Pelajar (IPP) หรือ เยาวชนมาลายา หรือ Belia Malaya ซึ่งประกอบด้วยนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  (Ibrahim Yaakub) นายมูฮัมหมัดอีซา มาห์มุด (Muhammad Isa Mahmud) นายยะอากู๊บ  มูฮัมหมัดอามีน (Yaakub Muhd. Amin) นายฮัสซัน ฮัจญีมานัน (Hassan Haji Manan) องค์กรหลังนี้มีสมาชิกอยู่ประมาณ 35 คน

โดยสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆในอินโดเนเซีย รวมทั้งพรรคแห่งชาติอินโดเนเซีย หรือ Parti Nasional Indonesia (PNI) ของซูการ์โน[4]

ในปี 1940 ขณะที่มีอายุได้ 29 ปี นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  ได้กลายเป็นนักชาตินิยมหัวรุนแรง มีความภูมิใจในตัวของซูการ์โน แห่งอินโดเนเซีย และในปี 1941 ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินของกงสุลใหญ่ญี่ปุ่นในประเทศสิงคโปร์  ทำให้นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  สามารถซื้อหนังสือภาษามลายูในสิงคโปร์ นั้นคือหนังสือพิมพ์ Warta Malaya สำหรับหนังสือพิมพ์ Warta Malaya นั้นนักวิชาการประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย คือ นายซุลกีฟลี บิน มาห์มุด ได้เขียนว่า[5] เป็นหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1931-1941 นั้นคือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสื่อเพื่อต่อสู้เรียกร้องเอกราชให้แก่มาลายาของสมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM)


หนังสือพิมพ์ Warta Malaya จัดพิมพ์ขึ้นที่สิงคโปร์ มีบรรณาธิการหลายคน เช่น

ดาโต๊ะออนน์  บินยะอาฟาร์ ระหว่างปี 1930-33

สัยยิดอัลวี บินสัยยิดเชค อัล-ฮาดี ระหว่างปี1933-34

สัยยิดฮุสเซ็น บินอาลี อัล-ซากอฟฟ์ ระหว่างปี 1934-1941

นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  ในปี 1941 โดยด้วยความช่วยเหลือของญี่ปุ่น ทำให้นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ สามารถซื้อหนังสือฉบับนี้ไว้ได้  

สำหรับการซื้อหนังสือพิมพ์ Warta Malaya ของนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ ทางนาย Cheah Boon Kheng[6] ก็ได้เขียนว่าในเดือนเมษายน 941 ด้วยความเห็นชอบของกรุงโตเกียว สั่งให้หัวหน้ากงสุลญี่ปุ่นประจำสิงคโปร์  นายเคน สึรุมิ (Ken Tsurumi) ได้มอบเงินจำนวน 18,000 เหรียญให้แก่นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ ในการซื้อหนังสือฉบับดังกล่าว จากเจ้าเดิมที่เป็นเชื้อสายอาหรับ คือ สัยยิดฮุสเซ็น บินอาลี อัล-ซากอฟฟ์

ผู้ที่จัดตั้งสมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM) นอกจากนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  ยังมี นายฮัสซัน มานัน (Hassan Manan) นายอับดุลการิม ราชิด (Abdul Karim Rashid ) นายมูฮัมหมัด อีซา มาห์มูด ( Mohd Isa Mahmud)


ตอนที่เกิดสงครามแปซิฟิก เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941  นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  และสมาชิกสมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM) จำนวน 110 คน ถูกจับ ต่อมาเมื่อกองทัพญี่ปุ่นขึ้นบกที่ฝั่งตะวันออกของแหลมมลายู บรรดาสมาชิกของสมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM) ได้กลายเป็นผู้ชี้ทาง และเป็นล่ามให้กับกองทัพญี่ปุ่น  และกองทัพญี่ปุ่นได้จัดตั้งกองทัพของชาวชาวอินโดเนเซียบนเกาะชวา เรียกว่า Tentera Pebela Tanah Air และบนเกาะสุมาตรา รวมทั้งมาลายา ได้จัดตั้ง กองทัพที่เรียกว่า Giyugun  โดยกองทัพญี่ปุ่นได้ฝึกนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  เป็นเวลา 6 เดือน และตั้งยศเป็นพันโท


นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์มาเลเซีย กล่าวว่านายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  น่าจะเป็นบุคคลแรกๆที่เสนอแนวทางการต่อสู้เพื่อเอกราชของมาลายา   เขาได้ร่วมกับนายอิสฮัก ฮัจญีมูฮัมหมัด หรือ ปะซาโก (Pak Sako) และเพื่อนๆ เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM) โดยมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Young Malays Union ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์  ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี 1938  เพื่อรักษาสิทธิและต่อต้านเจ้าจักรนิคมอังกฤษ   ก่อนที่เขาจะจัดตั้งสมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM) นั้น


ในปี 1938 เขาได้สมัครเป็นสมาชิกของสมาคมมลายูรัฐสลังอร์ แต่ปรากฎว่าสมาคมมลายูรัฐสลังงอร์อยู่ภายใต้อิทธิพลของบรรดาสายอนุรักษ์นิยม และมีเชื้อสายเจ้าเป็นองค์อุปถัมภ์ สิ่งที่สำคัญคือ สมาคมมลายูรัฐสลังงอร์ ค่อนข้างจะเป็นสมาคมรัฐนิยม รับเฉพาะสมาชืกที่เป็นชาวรัฐสลังงอร์เท่านั้น นอกจากนั้น แนวความคิดเกี่ยวกับมลายูที่ค่อนข้างจะแคบ ไม่เพียงไม่รับชาวมลายูนอกรัฐสลังงอร์ ชาวมลายูจากเกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะสุลาเวซี ยิ่งจะไม่รับใหญ่ ดังนั้นนายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ กับเพื่อนๆ จึงออกมาตั้งสมาคมของตนเอง โดยใช้ชื่อว่า สมาคมมลายูหนุ่ม  หรือ Kesatuan Melayu Muda (KMM) เมื่อเดือนเมษายน 1938[7]


และต่อมาองค์กรนี้อีกยุบในปี 1945 เขาเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่อยู่ในแหลมมลายู  ที่สนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งประเทศ Melayu  Raya   หรือ  Indonesia Raya  ตามแผนการภายใต้การสนับสนุนของญี่ปุ่นนั้นอินโดเนเซียและมาลายาจะประกาศเอกราชพร้อมกัน   และรวมเป็นประเทศเดียวกัน   โดยมีนายซูการ์โนเป็นประธานาธิบดี และนายอิบราฮิม  ยะอากู๊บ ที่อยู่ในมาลายา เป็นรองประธานาธิบดี  แต่ปรากฏว่าญี่ปุ่นแพ้สงครามก่อน  ดังนั้นอินโดเนเซียจึงประกาศเอกราช  โดยปราศจากมาลายา  ต่อมานายอิบราฮิม  ยะอากู๊บหนีภัยไปอาศัยและเสียชีวิตในอินโดเนเซีย

การจัดตั้งประเทศอินโดเนเซียรายา ความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้

หลังจากซูการ์โน กลับจากเมืองดาลัต ประเทศเวียดนาม เมื่อ 13 สิงหาคม 1945 ก็เกิดการประชุมพบปะลับ ระหว่างตัวแทนอินโดเนเซีย กับตัวแทนมาลายา ด้วยการให้ความสะดวกโดยทางฝ่ายญี่ปุ่น มติของการพบปะลับครั้งนั้น ไม่อาจเป็นจริงได้ ถ้าสามารถเป็นจริงได้แล้ว จะทำให้ประวัติศาสตร์การประกาศเอกราชของอินโดเนเซียเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน


ก่อนหน้านั้น สามคนในสมาชิกคณะกรรมการเตรียมการประกาศเอกราชของอินโดเนเซีย ที่มีชื่อว่า Panitia Persiapan Kemerdekaan Indonesia (PPKI) ซึ่งประกอบด้วยซูการ์โน มูฮัมหมัดฮัตตา และรายิมาน เวดีโอดีนงกรัต (Radjiman Wediodiningrat) ถูกเรียกไปพบผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพญี่ปุ่นที่เวียดนาม นั้นคือ นายพลฮิไซชิ เทระอุชิ (Hisaichi Terauchi) ที่เมืองดาลัต เวียดนามในวันที่ 12 สิงหาคม 1945


นายพลฮิไซชิ เทระอุชิ ในนามของกองทัพญี่ปุ่น ได้สัญญาจะให้เอกราชกับอินโดเนเซียในวันที่ 24 สิงหาคม 1945 โดยทางญี่ปุ่นขอเวลาในการเตรียมการ ทางญี่ปุ่นขอให้ทางซูการ์โน และพรรคพวก เตรียมพร้อมในการประกาศเอกราช


การพบปะลับระหว่างซูการ์โน และพรรคพวกกับตัวแทนมาลายา ในวันที่ 13 สิงหาคม 1945 ไม่ได้เดินทางตรงไปยังจาการ์ตา แต่ได้แวะยังมาลายา  การพบปะลับครั้งนั้น มีข้อมูลสถานที่พบปะที่แตกต่างกัน โดยข้อมูลหนึ่งกล่าวว่า พบปะที่สิงคโปร์ แต่อีกข้อมูลหนึ่งกล่าวว่าพบปะที่เมืองไตปิง รัฐเปรัค  


ข้อมูลแรก นายอาหมัด มันโซร์ ซุรยาเนอฆารา ได้เขียนไว้ในหนังสือ Api Sejarah 2[8] กล่าวว่า พบกันที่สิงคโปร์ ตอนที่ซูการ์โน และพรรคพวกไปพบนายพลฮิไซชิ เทระอุชิ ที่เมืองดาลัต ในวันที่ 12 สิงหาคม 1945 นั้น ทางญี่ปุ่นก็นำอีกสองคน สมาชิกของคณะกรรมการเตรียมการประกาศเอกราชของอินโดเนเซีย ที่มีชื่อว่า Panitia Persiapan Kemerdekaan Indonesia (PPKI) คือ ตือกูมูฮัมหมัดฮาซัน (Teuku Mohammad Hasan)   และ ดร. มูฮัมหมัด อามีร์ (Dr. Mohammad Amir) ไปยังสิงคโปร์


และที่สิงคโปร์ คณะของซูการ์โน และคณะของตือกูมูฮัมหมัดฮาซัน ได้พบกับสองผู้นำขององค์กรที่ชื่อว่า Kesatuan Rakyat Indonesia Semenanjung (KRIS) คือ นายอิบราฮิม   ยะอากู๊บ  และดร. บูรฮานุดดิน อัล-เฮลมี (ต่อมาเป็นประธานพรรคปาสมาเลเซีย)  


ข้อมูที่สอง ซึ่งมีการเขียนมากกว่าหนึ่งคน หนึ่งในนั้นคือ นายอัสวี วารมัน อาดัม ได้เขียนหนังสือ ชื่อว่า Menguak Misteri Sejarah[9] ได้เขียนไว้ในหน้า 34-35 ของหนังสือดังกล่าว โดยเขียนว่า


แต่ในวันที่ 15 สิงหาคม 1945  กองทัพญี่ปุ่น ยอมแพ้สงคราม  และในวันที่ 19  สิงหาคม 1945  เครื่องบินญี่ปุ่น จึงนำนายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ และภรรยาของเขา นางมาเรียม  ฮัจญีซีราจ พร้อมน้องภรรยา คือ นายโอนัน  ฮัจญีซีราจ และนายฮัสซัน ฮานาน  มายังเกาะชวา โดยซูการ์โน ต้องการให้คนเหล่านั้น มาต่อสู้เพื่อเอกราชร่วมกับเขา


ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 1955 ก่อนมาลายาจะได้รับเอกราช ตนกูอับดุลราห์มาน แห่งมาลายา ได้เดินทางไปยังอินโดเนเซีย เพื่อเข้าร่วมประชุมหนึ่ง โดยตนกูอับดุลราห์มาน ปุตรา ก็ได้ยอมรับถึงความสัมพันธ์ระหว่างมาลายากับอินโดเนเซีย ในฐานะที่เป็นคนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ทั้งตนกูอับดุลราห์มาน ปุตรา และนายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ ก็ได้พบกัน ด้วยความช่วยเหลือของประธานาธิบดีซูการ์โน ทั้งสองมีความเห็นที่แตกต่างกัน


โดยนายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ เห็นให้มาลายาเป็นเอกราชผนวกร่วมเข้ากับอินโดเนเซีย แต่ตนกูอับดุลราห์มาน ปุตรา เห็นควรให้มาลายาได้รับเอกราช โดยรวมอยู่ในเครือจักรภพอังกฤษ    ในปี 1973 ยุคที่ตนอับดุลราซัค เป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทางมาเลเซียจึงอนุญาติให้นายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ  สามารถเดินทางกลับมาเยี่ยมประเทศมาเลเซียได้


ในยุคที่ประธานาธิบดีซูการ์โน ในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนำวิถี นายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตัวแทนจังหวัดเรียว ของสภาที่เรียกว่า สภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว  หรือ Majelis Perwakilan Rakyat Sementara (MPRS)  แต่หลังจากยุคที่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต หมดอำนาจจากกรณี 30 กันยายน 1965 นายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ จึงได้วางมือจากการเมือง และเข้าสู่วงการธนาคาร โดยเป็นประธานกรรมการบริหารของธนาคารหนึ่งที่ชื่อว่า Bank Pertiwi


นายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ  เสียชีวิตเมื่อ 8 มีนาคม 1979 และศพของเขาถูกฝังที่สุสานวีรบุรุษแห่งชาติของประเทศอินโดเนเซีย ณ สุสานวีรบุรุษแห่งชาติกาลีบาตา กรุงจาการ์ตา  ปัจจุบัน สุสานของนายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ มักจะมีชาวมาเลเซีย เดินทางไปเยี่ยม แต่จะหาไม่เจอในนามของนายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ  สุสานของนายอิบราฮิม  ฮัจญียะกู๊บ จะรู้จักในนามของพันโท อิสกันดาร์ กาเมล ซึ่งเป็นชื่อที่เขาใช้นับตั้งแต่อพยพออกจากมาลายา มาตั้งถิ่นฐานในประเทศอินโดเนเซีย



[1] Asvi Warman,Menguak misteri sejarah, Jakarta : Penerbit Buku Kompas, 2010. หน้า 33.

[2] Ramlah Adam, Sumbanganmu Dikenang, Kuala Lumpur: Dewan Bahasa dan Pusaka, 1999,

   หน้า 41.

[3] Wan Hashim, Hubungan Etnik di Malaysia, Kuala Lumpur: Institut Terjemahan Negara Malaysia, 2011

[4] Lofti Ismail, Sejarah Malaysia 1400-1963, KL: Utusan Publication & Distributors, 1978, หน้า

   270

[5] 'Warta Malaya, penyambung lidah bangsa Melayu, 1930-1941' oleh Zulkipli bin Mahmud

   ;Jabatan Sejarah, Universiti Kebangsaan Malaysia ; 1979

[6] Cheah Boon Kheng, The Japanese Occupation of Malaya, 1941-45: Ibrahim Yaacob and the

   Struggle for Indonesia Raya, Indonesia, No. 28, 1979, หน้า 94.

[7] Cheah Boon Kheng, อ้างแล้ว หน้า 88.

[8] Ahmad Mansur Suryanegara,Api Sejarah 2, Jakarta : Penerbit Dinasti Surya, 2017.

[9] Asvi Warman, อ้างแล้ว หน้า 34-35


Khamis, 12 November 2020

Masyarakat Majmuk di Indonesia Oleh Prof Dr. Zulhasril Nasi

 Oleh Zulhasril Nasir

Ketua Pusat Tamadun Melayu Nusantara – Universitas Indonesia

Email: zuler2000@yahoo.com


Pengantar

       Republik Indonesia  telah berumur 66 tahun setelah  menyatakan kemerdekakan pada 17 Ogus  1945 dari  okupasi  militer Jepang pada Perang Dunia II dan penjajahan  Belanda selama  350 tahun. Indonesia memiliki  luas 1.9 juta kilometer persegi dengan penduduk 237 juta  orang (2011), ini sama dengan luas daratan Amerika Serikat atau membentang antara Paris keTeheran dengan jumlah penduduk no. 4 di dunia. Penduduk yang besar itu tinggal di hampir 10 ribu pulau di antara 15 ribu lebih pulau yang ada.

 

       Masyarakat  Indonesia memang  sangat luas dan majmuk,  dengan  600-an bahasa tempatan dari 400-an sub-etnis. Pulau-pulau yang utamar adalah Kalimantan (Borneo), Sumatra, Papua, Sulawesi dan Jawa. Namun, dari 237 juta penduduk  65 % berada di pulau Jawa, suatu  ketidakseimbangan penyebaran penduduk. Pemerintah Indonesia mengakui  agama Islam, Kristiani, Hindu, Budha dan Konghucu sebagai agama penduduk. Islam dianut oleh 85% penduduk menyusul Kristiani (Protestan 8,9% Katolik 3%), Hindu (1,8%), Buddha (0,8%) dan selebihnya Konghucu.  Sebagian besar penduduk Indonesia keturunan Austronesia yang datang dari China  ratusan tahun lalu, sebagian lagi disebut sebagai ras Melanesia, Polinesia dan MIkronesia yang tinggal di bagian Timur Indonesia. Etnik yang datang  belakangan adalah Arab, India dan China.  Para pakar lainnya kemudian menggolongkan penduduk  Indonesia kepada  dua  ras yang pertama disebut etnik Melayu Tua ( proto Malay) seperti: Batak, Nias, Mentawan, Toraja, Dayak dan Minahasa ,dan Melayu Muda (deutero Malay) seperti:  Aceh, Minangkabau, Palembang, Banten, Banjar,  Bugis, Kutai,  Jawa, Sunda , dan lainnya.  Maluku,  Papua , Flores tidak termasuk dalam Melayu (non-Melayu).   

 

Dari segi sosiologis ada yang menamakan ras Melayu Muda terbagi dua yaitu yang sinkretik  dan yang sintetik. Etnik Jawa, Sunda dan Madura digolongkan kepada sinkretik yang mendissosiasikan diri  bukan dalam ikatan kemelayuannya  dengan menonjolkan budaya etnik mereka. Mereka seolah-olah bukan bagian dari dunia Melayu, kendati secara etnografik adalah Melayu (Naim,  2008:2) – hal ini  karena kuatnya pengaruh Hindu, Buddha dan Islam pada masa sebelumnya.  Sedangkan suku-suku Melayu sintetik lebih terikat kepada adat dan agama Islam. Mochtar Naim, seorang sosilog berpendapat bahwa kemelayuan di Indonesia secara geo-kultural  Jawa (di bagian Selatan) yang sinkretik dan dunia Luar Jawa di Utara, didominasi oleh Melayu yang  sintetik. Tentu dalam kesempatan ini, kami tidak akan membahas dikotomi  Jawa (juga Sunda dan Madura) yang sinkretik dan Luar Jawa yang Melayu Sintetik.

 

Dengan segala keanekaragaman  budaya, (sub) etnik , geografi, sampai kini mereka menyebut  diri  sebagai bangsa Indonesia dan memakai bahasa Indonesia sebagai bahasa rasmi negara. Bahasa Indonesia berasal dari bahasa Melayu yang juga dipakai di Pattani, Malaysia, Singapura , Brunei, Campa, Philipina Selatan (Moro, Palawan). Meskipun demikian mereka tidak meninggalkan bahasa tempatan mereka dalam perbincangan sehari-hari.

 

       Secara  geo-ekonomi Indonesia merupakan salah satu negeri tersubur didunia.  Apa saja ada di sini, mulai dari rempah-rempah sampai uranium (bahan nuklir): Timah, emas, nikel,  tembaga, petro,  sawit,  kayu, ikan, batubara,  karet,  dan banyak lagi dalam sektor pertanian, perkebunan dan maritim. Namun kekayaan yang luar biasa itu tidak dikelola dengan baik. Korupsi di pemerintaan menjadi masalah utama Indonesia sejah 40 tahun silam.

 

       Indonesia sekarang  berada dalam iklim ekonomi dan politik liberal, terutama sejak jatuhnya Presiden Suharto. Terjadi perubahan besar pada Konstitusi Negara  sejak 1999 (empat kali Amendment, perubahan), terutama tentang  demokratisasi:  Perlembagaan, kebebasan media, ekonomi ,  otonomi  provinsi, meskipun masih menganut sistem pemeritahan presidential. Presiden adalah Kepala Pemerintahan dan juga Kepala Negara.  Iklim sejak era Reformasi (sejak turunnya Suharto) adalah berbeza dengan era Suharto yang authoritarian dan rasuah. Pada saat ini  masyarakat Indonesia memperoleh kebebasan yang besar secara politik dan ekonomi, walau dapat dipahami masih dalam proses kesempurnaan.

 

Euforia demokrasi  sejak  12 tahun lalu  belum diikuti dengan sikap atau mentality  demokrasi baik di kalangan masyarakat awam ataupun di kalangan pemimpin pemerintahan. Tuntutan utama dalam situasi semacam itu ialah diperlukannya penegakkan undang-undang (law enforsement) yang kuat yang ternyata belum memenuhi  harapan. Masih sering terjadi  rasuah, amok diberbagai bandar, dan aksi kriminal.

 

Beberapa Faktor yang Mempersatukan Bangsa

       Jika Indonesia sekarang ini dipandang sebagai bangsa yang dapat dipersatukan di antara kemajukan yang luar biasa tidak lepas dari hasil perjuangan para pemimpin pra kemerdekaan dari zaman penjajahan Belanda (Hindia Belanda) sampai paska kemerdekaan. Kami ingin membagi beberapa faktor yang dapat disebut  sebagai faktor-faktor  pemersatu kemajemukan masyarakat Indonesia dalam:

1.     Sejarah  kolonialisme

2.      Kesadaran anti-kolonialisme

3.     Semangat kebangsaan (nasionalisme)

4.     Toleransi  mayoritas terhadap minoritas.

 

1. Sejarah Kolonialisme

      Sejarah Indonesia banyak dipengaruhi oleh bangsa-bangsa lain. Kepulauan Indonesia menjadi wilayah perdagangan penting sejak abad ke-7, yaitu ketika Kerajaan Sriwijaya di Palembang menjalin hubungan agama dan perdagangan dengan Tiongkok dan India. Kerajaan-kerajaan Hindu dan Buddha telah tumbuh pada awal abad Masehi, diikuti para pedagang yang membawa agama Islam, serta berbagai kekuatan Eropa yang saling bertempur untuk memonopoli perdagangan rempah-rempah Maluku semasa era penjelajahan samudra.

 

Di bawah pengaruh agama Hindu dan Buddha, beberapa kerajaan terbentuk di pulau Kalimantan, Sumatra, dan Jawa sejak abad ke-4 hingga abad ke-14. Kutai, merupakan kerajaan tertua di Nusantara yang berdiri pada abad ke-4 di hulu sungai Mahakam, Kalimantan Timur. Di wilayah barat pulau Jawa, pada abad ke-4 hingga abad ke-7 M berdiri kerajaan Tarumanegara. Pemerintahan Tarumanagara dilanjutkan oleh Kerajaan Sunda dari tahun 669 M sampai 1579 M. Pada abad ke-7 muncul kerajaan Malayu yang berpusat di Jambi, Sumatera. Sriwijaya muncul sebagai kerajaan maritim yang paling perkasa di Nusantara. Wilayah kekuasaannya meliputi Sumatera, Jawa, semenanjung Melayu, sekaligus mengontrol perdagangan di Selat Malaka, Selat Sunda, dan Laut Cina Selatan. Di bawah pengaruh Sriwijaya, antara abad ke-8 dan ke-10 Syailendra dan Sanjaya berhasil mengembangkan kerajaan-kerajaan berbasis agrikultur di Jawa, dengan peninggalan bersejarahnya seperti candi Borobudur dan candi Prambanan. Di akhir abad ke-13, Majapahit berdiri di bagian timur pulau Jawa. Di bawah pimpinan mahapatih Gajah Mada, kekuasaannya meluas sampai hampir meliputi wilayah Indonesia kini; dan sering disebut "Zaman Keemasan" dalam sejarah Indonesia.

 

Kedatangan pedagang-pedagang Arab dan Persia melalui Gujarat, India,  berikut dengan kedatangan  pelaut-pelaut Tiongkok yang dipimpin oleh Laksamana Cheng Ho (Zheng He) yang beragama Islam yang pernah menyinggahi wilayah ini pada awal abad ke-15 menambah corak akulturasi budaya Indonesia.

Para pedagang tersebut juga menyebarkan agama Islam di beberapa wilayah Nusantara. Samudra Pasai yang berdiri pada tahun 1267, merupakan kerajaan Islam pertama di Indonesia. Penyebar Islam yang sangat terkenal  dari kerajaan ini adalah Malikul Saleh (Maulana Malik al Shaleh, wafat tahun 1297)  dan menyebarkan Islam dari Aceh ke Minangkabau. Perkembangan Islam  maju pesat bersamaan dengan perkembangan perdagangan di Minangkabau Timur dan kawasan Selat Malaka sampai berkembangan perdagangan dipantai Barat Sumatra pada abad ke 16 sampai abad ke 18 (Shamad dan Chaniago 2007: 1-17). Dalam ihwal ini, timbul soalan apakah  masuknya Islam ke Nusantara  pada abad ke 16  atau abad ke 13?

 

Ketika orang-orang Eropa datang pada awal abad ke-16, mereka menemukan beberapa kerajaan yang dengan mudah dapat mereka bernegosiasi dan kemudian dengan cara adu-domba  berhasil mendominasi perdagangan rempah-rempah. Portugis pertama kali mendarat di dua pelabuhan Kerajaan Sunda yaitu Banten dan Sunda Kelapa, tapi dapat diusir dan bergerak ke arah timur dan menguasai Maluku. Pada abad ke-17, Belanda muncul sebagai yang terkuat di antara negara-negara Eropa lainnya, mengalahkan Britania Raya dan Portugal (kecuali untuk koloni mereka, Timor Portugis). Pada masa itulah agama Kristen masuk ke Indonesia sebagai salah satu misi imperialisme lama yang dikenal sebagai 3G, yaitu Gold, Glory, and Gospel (Wikipedia Indonesia). Belanda menguasai Indonesia sebagai koloni hingga Perang Dunia II, awalnya melalui VOC, dan kemudian langsung oleh pemerintah Belanda sejak awal abad ke-19.

 

Di bawah sistem Cultuurstelsel (Sistem Penanaman) pada abad ke-19 (1870), perkebunan besar dan penanaman paksa dilaksanakan di Jawa dan di Sumatra, akhirnya menghasilkan keuntungan bagi Belanda yang jauh di atas dari yang dihasilkan VOC sebelumnya. Belanda  telah melakukan  ekspansi perdagangan  dengan menguasai sumber-sumber  ekonomi,  dengan melakukan siasat adu-domba (devide et impera)  bertujuan menguasai sumber-sumber ekonomi (rempah-rempah dan hasil pertanian), pengenaan tax kepada penduduk yang kemudian berubah menjadi politik  kolonialisme dan imperialisme selama ratusan tahun.

 

2. Kesadaran Anti-Kolonialisme

 Penguasaan sumber-sumber ekonomi rakyat dan politik penjajahan yang dijalankan selama Hindia Belanda telah menimbulkan perlawanan para Raja dan Sultan di berbagai tempat.  Meskipun perlawanan tersebut bersifat tempatan namun telah menumbuhkan perasaan senasib karena bagaimanapun para sultan dan raja adalah mereka yang juga memiliki hubungan transaksional dalam perdagangan ,politik dan kekuasaan. Orang-orang Bugis-Makassar, misalnya, adalah golongan yang banyak menguasai perdagangan  maritim dan mereka memiliki jaringan kekuasaan di berbagai kesultanan di nusantara. Hal yang sama juga terlihat dari pengaruh kesultanan Aceh dan  Minangkabau.

 

Maka,  terjadilah perlawanan para Sultan/Raja   mulai dari Aceh, Minangkabau, Riau, Jawa, Bali, Banjar, Bugis, Mandar,  Kutai, Ternate dan lainnya. Nusantara  ketika itu  adalah untaian kerajaan Melayu yang berinteraksi dalam suatu pergaulan internasional dengan majunya perdagangan antarbangsa terutama terbukanya Selat Malaka sebagai lintasan dunia. Sultan Iskandar Muda (Aceh), Tuanku Imam Bonjol dan Sultan Bagagarsyah (Minangkabau) Sulatan Badaruddin (Palembang), Sultan Najamuddin (Jambi), Raja Sisingamangaraja (Batak), Pangeran Diponegoro (Jawa Tengah), Ngurah Rai (Bali), Sultan Hassanuddin (Bugis), Thomas Matualessi (Ambon) dan Sultan Ternate (Maluku) adalah sebagian contoh pemimpim perlawanan anti penjajahan di Indonesia.

 

Meskipun peperangan yang dilakukan terhadap kolonial Belanda bersifat tempatan dan dalam masa tertentu yang  tidak terkoordinasi dalam satu gerakan, perlawanan dari berbagai kawasan itu perlahan-lahan telah menumbuhkan rasa empati dan kesadaran kebangsaan. Sementara itu rakyat  banyak tetap hidup miskin dan menderita. Sadar dengan perlawanan yang semakin banyak serta. iklim buruk yang berlangsung hampir selama tiga abad, pada awal abad ke 20, pemerintahan Hindia Belanda melancarkan Politik Etis. Politik Etis merupakan suatu  kebijakan berdasarkan balas budi untuk meningkatkan taraf sosial masyarakat dengan menyediakan kesempatan memperoleh pendidikan bagi generasi muda.

 

Meskipun pemerintahan kolonial tidaklah banyak mendirikan sekolah  dan hanya terbatas di Jawa dan Sumatra, seperti sekolah dasar, sekolah menengah dan sekolah guru tetapi telah membawa efek yang cukup bagus dalam perkembangan sosial. Berbagai sekolah tersebut terdapat di Jawa:  di Batavia (Jakarta), Yogyakarta, Bandung, Malang dan Surabaya dan di Sumatra ada di Medan, Bukittinggi, Palembang.  Tentu saja keadaan itu dalam serba kekurangan dan keterbatasan kesempatan sehingga yang memperoleh pendidikan itu hanya anak-anak dari kalangan elit tempatan, keluarga pegawai pemerintahan atau dari keluarga yang ekonomi keluarganya lebih baik. Pada dua puluh tahun pertama abad ke 20 mahasiswa Indonesia banyak yang belajar di Eropa terutama di Nederland.  Mereka belajar ilmu hukum, ekonomi dan kedokteran. Para mahasiswa tersebut pada masa yang sama juga belajar tentang politik pergerakan anti kolonialisme dan imperialism dan aktof dalam organisasi antarbangsa. Akibat Politik Etis itulah yang kemudian menghasilkan pemuka-pemuka politik dan pemimpin Indonesia sebelum dan sesudah kemerdekaan.  

 

Memang tidak dapat dinafikan peranan dari para alumni pelajar Indonesia yang menuntut di Univeriti Al Azhar Kairah atau di Pendidikan Islam  Medinah, Saudi Arabia di awal abad ke 19 dan menjelang abad ke 20. Para pelajar di dalam negeri yang berpendidikan Ilmu  Perundang-undangan, kedokteran di Jakarta dan Bandung pada waktu yang relatif sama juga membangun organisasi-organisasi kebangsaan seperti: Budi Utama, Pehimpunan Pemuda Sumatra, Pemuda Jawa, Pemuda Celebes, Pemuda Islam, Sarekat Islam, Partai Nasional Indonesia, Partai Komunis Indonesia, dan lain-lain. Semua organsasi itu dipimpin oleh kaum terpelajar lulusan perguruan tinggi dalam negeri dan Eropa. Di Indonesia hanya ada dua perguruan tinggi, iaitu Sekolah Tinggi Perundang-undangan dan  Sekolah Tinggi Ketabiban (Kedokteran) yang  merupakan cikal-bakal Universitas Indonesia di Jakarta.

 

3. Semangat Kebangsaan

       Semangat kebangsaan bermula terbentuknya organisasi pemuda seperti Budi Utomo, Syarikat Islam, namun yang paling monumental adalah ketika berbagai organisasi yang ada melaksanakan pertemuan pada bulan Oktober 1928. Mereka dari berbagai kalangan dan latarbelakang etnik, bahasa, agama dan ideologi menyatakan sumpah yang dikenal dengan Sumpah Pemuda pada 28 Oktober 1928 di Jakarta. Dengan konseptor pakar sejarah dan bahasa Melayu, Muhammad Yamin mengusulkan Tiga Sumpah yang lalu diterima, bunyinya: Kami berbangsa satu, berbahasa satu, dan bertanah air satu: Indonesia!  (Gunawan 2005).Tekad persatuan inilah kemudian yang mempunyai efek luar biasa pada masyarakat dan kaum  terpelajar, sehingga setiap organisasi yang bersifat tempatan memberikan identitas keindonesiaan. Pembentukan rasa berkebangsaan berkembang cepat dan pengaruh yang luar biasa dalam pebentukan perasaan senasib dan sependeritaan. Kesadaran kebangsaanpun terermin dengan berdirinya banyak partai politik yang tujuannya merdeka dari penjajahan.

 

       Para pemimpin pun tumbuh dan tampil di arena politik anti kolonialisme, yang kemudian melahirkan pemimpin yang membebaskan bangsa. Mereka itu kemudian dikenal sebagai: Sukarno, Mohammad Hatta, Tan Malaka, Syahrir, Agus Salim, Tjokroaminoto, M. Yamin, M. Natsir, dan banyak lagi. Mereka semua berpendidikan tinggi dan berpengalaman dalam organisasi dan pergerakan politik.

 

5.    Toleransi Mayoriti terhadap Minoriti.

Pengakuan pertama terhadap kemajmukan masyarakat dan bangsa adalah lahirnya Sumpah Pemuda , 28 Oktober 1928, 17 tahun sebelum kemerdekaan. Tekad persatuan itu adalah maklumat terhadap pengakuan kebersamaan dan juga pengakuan ke atas keberagaman. Persatuan di atas keberagaman itu kemudian dicanangkan dalam rancangan Konstitusi  1945 sebelum disahkan pada 18 Agustus 1945.  Pengakuan masyarakat majmuk inipun dipertegas lagi ketika dilakukan Amendment (perubahan)  ke II (tahun 2001) pada Pasal 18B yang menyatakan(Ayat 1), ”Negara Mengakui satuan-satuan pemerintahan daerah yang bersifat khsusus (khas) atau bersifat istimewa.”, dan (Ayat 2), ”Negara mengakui dan menghormati kesatuan-kesatuan masyarakat hukum adat beserta hak-hak tradisionalnya sepanjang masih hidup dan sesuai dengan perkembangan masyarakat dan prinsip Negara Kesatuan Republik Indonesia.”

 

Sebelum kemerdekaan telah dicapai konsensus dari semua golongan dalam lembaga Panitia Persiapan Kemerdekaan Indonesia  (PPKI) bahwa yang menjadi dasar negara adalah “Ketuhanan Yang Maha Esa, dengan kewajiban menjalankan syariat Islam bagi pemeluk-pemeluknya.” Konsensus itu di antara golongan Islam, Kristian, Nasionalis dan lain-lain yang disebut dengan “Piagam Jakarta” (Jakarta Charter). Akan tetapi dalam sidang 18  Agustus, konsensus itu ternyata berubah, delapan kata terakhir itu dihilangkan, maka dasar negara itu adalah “Ketuhanan Yang Maha Esa” sebagaimana yang tercantum dalam dasar negara Panca Sila sampai sekarang.

 

Perubahan itu tidaklah serta merta tetapi penuh dengan perdebatan dan saling menghormati dan mendengarkan pendapat anggota sidang. Kalangan Kristian tentu yang berkeberatan dengan “Piagam Jakarta” dan mengacam tidak akan ikut serta dalam Republik Indonesia, jika delapan kata itu dicantumkan. Meskipun waktu itu tidak ada kesempatan untuk menyidik dan mempertimbangkan lebih mendalam apa latar belakang dari ancaman itu, namun umat Islam tidaklah banyak macam walau dengan rasa tertekan ketika Pimpinan PPKI, Mohammad Hatta, mengumumkan hasil sidang tanpa memasukkan delapan kata tadi.

 

“Akan  tetapi semuanya itu ditutup dengan pemikiran bahwa kita semua menjaga dan memelihara keutuhan barisan dalam menghadapi musuh Republik dari luar yang mengancam wujud Republik itu sendiri,” kata Muhammad Natsir seorang pemimpin Islam anggota PPKI pada waktu itu (M. Natsir dalam Puar 1978:187). Penerimaan kaum Islam tentang dasar negara ini yang dapat disebut sebagai simbol dari toleransi kehidupan berpolitik bangsa Indonesia  di mana suara minoriti didengar oleh kalangan mayoriti. Mayoriti tidak harus memaksakan pendapatnya terhadap minoriti. Menurut hemat saya inilah pilar utama negara yang menjadikan Republik Indonesia masih dapat mempertahankan kesatuannya sampai sekarang. Penghormatan para pemimpin Indonesia  non-Islam paska kemerdekaan pada  persatuan tidaklah luntur.  Ketika M. Natsir menjadi Perdana Menteri tahun 1950 tiga orang Kristian berada dalam kabinetnya. Ikhwal ini dapat dikatakan sebagai toleransi seorang tokoh Islam terhadap yang bukan Islam, dan dukungan kaum minoriti Kristian pada seorang tokoh Islam yang mayoriti. Mohammad Natsir ketika itu dipercaya memimpin pemerintahan dengan konsep  Mosi Integral, iaitu suatu konsep mengukuhkan persatuan setelah Republik dihajar berbagai permasalahan dalam negeri seperti: dua masa  agresi tentera Belanda, negara boneka yang diciptakan oleh Belanda, masalah tentera nasional,  serta konflik di antara para pemimpin yang berbeda idiologi. Natsir berhasil menjalankannya.

 

Diskusi

       Akar persatuan di Indonesia adalah bermula dari kemajemukan dari (sub) etnik yang luas dalam masa berabad-abad  dari masa pra sampai paska kolonial. Interaksi antar kaum di Nusantara telah pun mengembangkan bahasa Melayu menjadi bahasa lingua franca sehingga bahasa telah membagun secara bertahap rasa kemelayuan, senasib-sepenanggungan masyarakat Nusantara. Pergaulan antar masyarakat Nusantara menyadarkan mereka bahwa kawasan ini memiliki sumber daya alam yang potensial dalam perdagangan antarbangsa. Meskipun ada konflik di antara kerajaan dan kesultanan maka ihwal itu dapat dipandang sebagai proses integrasi dalam mengembangkan pengaruh kekuasaan politik. Tentang ini pun boleh dilihat sebagai upaya masyarakat Nusantara untuk  mempersatukan kekuatan dalam pergaulan antarbangsa di mana kekuatan ekonomi antarbangsa (Spanyol, Amerika, Portugis, Belanda dan Inggris) mulai datang. Mereka itu mencari sumber-sumber ekonomi yang dapat dikuasai secara pasar atau secara fisik. Penguasaan pasar adalah tipikal perdagangan di manapun sedangkan menguasai secara fisik adalah tipikal kolonialisme.

 

       Kolonialisme Belanda lah yang telah bertahan menjadi penjajah ratusan tahun. Negeri kecil di Eropa itu menguras kekayaan rakyat Indonesia sehingga Negeri Belanda tidak lagi diancam gelombang laut dan ketertinggalan di Eropa. Dari politik kapitalisme dan imperialisme melalui VOC (Verenigde Oost Indie Compagnie, Kompani Perdagangan Hindia Timur) kemudian berlanjut menjadi politik kolonialisme. Memang secara fisik tidak semua kawasan dikuasai tetapi secara politik-kekuasaan Hindia Belanda telah menguasai pusat-pusat kekuasaan tempatan. Perlawanan dari kesultanan/kerajaan tempatan telah membangkitkan persatuan di kalangan anak-anak bangsa yang semakin terdidik. Semangat kebangsaan itu kemudian berwujud bahwa  semua kawasan yang pernah menjadi kekuasaan penjajah Belanda adalah Indonesia. Ihwal inilah sebagai wujud pengakuan ke atas pluralisme dan rasa kebangsaan moderen. Selain itu lingkup penjajahan telah juga menentukan wilayah persatuan bangsa. yang sekarang disebut sebagai Republik Indonesia. Memang ada catatan penting, bahwa pejuang-pejuang anti kolonial Inggris di Semanjung Malaya (kini Malaysia Barat) menggagas menyatunya mereka dengan Indonesia (Nasir, 2007) tetapi  gagal karena adanya keinginan sekelompok Melayu Malaya untuk memperoleh kemerdekaan dengan lunak. Latar sejarah kolonial yang berbeza juga turut mengagalkan hasrat tersebut.

 

       Maklumat persatuan adalah juga maklumat akan adanya perbezaan. Pengakuan ke atas perbedaan memiliki implikasi adanya kesadaran atas kewajiban dan hak-hak mayoriti dan minoriti. Masalah yang sering timbul adalah masing-masing pihak tidak merasa puas dengan hak-haknya. Kewajiban mayoriti ialah, melindungi kehidupan dan hak-hak minoriti sedangkan kewajiban minoriti ialah pengakuan ke atas hak-hak  dan kewajiban mayoriti terutama untuk mempersatukan bangsa. Kemajmukan yang paling ideal ialah, semua etnik mengakui bahwa mereka suatu bangsa. Pengukuhan persatuan Indonesia  yang telah disahkan dalam Konstitusi 1945  memang pernah mendapat ujian dan cabaran, baik ketika  awal kemerdekaan  atau pada krisis 1998. Pada tahun 1998  beberapa provinsi memaklumatkan akan menjadi kawasan merdeka seperti yang dilakukan sekelompok orang di Aceh, Papua, Riau, Kutai dan Bali,  tetapi itu semua hanya gertakan untuk memperoleh autonomi karena pada masa kekuasaan  diktator Suharto (1966 – 1998) kebebasan dan pemerataan ekonomi tidak pernah wujud. Kemakmuran hanya dinikmati oleh kelompok kecil masyarakat di lingkaran kuasa dengan melakukan rasuah dan kronisme.

 

Penutup

       Kemajmukan (pluralisme) masyarakat Indonesia pada saat ini selalu mendapat cobaan dan cabaran. Globalisasi – di mana kita semua berada dalam era ini -- pada satu sisi boleh mempersatukan bangsa dan pada sisi lain boleh menggoyahkannya. Ciri globalisasi ialah: liberalisasi, pasar bebas (free market), swastanisasi, investasi asing dan kapitalisasi.  Dengan adanya kemajuan yang luar biasa dalam bidang teknologi informasi, semua unsur akan menggunakan kesempatan untuk meraih keuntungan dan mengembangkan modal (kapital), sehingga pada akhirnya akan ada kalangan yang beruntung dan tidak beruntung. Kalangan yang beruntung adalah kalangan yang kuat modal dan kalangan yang tidak beruntung adalah yang lemah dan miskin. Pusat kapatalisme global yang hanya di beberapa tempat di dunia itu (New York, London, Tokyo, Shanghai, Seoul dan beberapa lagI) merupakan pusat-pusat pengendali modal dunia. Pusat-pusat kapitalisme inilah yang mengumpulkan uang dari syarikat mereka di seluruh dunia.  Jadi kapitalisme global itu lebih kejam dan mereka tidak dalam kekuasaan politik nyata, tetapi lebih pada kekuasaan ekonomi. Sekarang ihwal tersebut dinamakan dengan neo-liberal. Mereka memiliki cawangan di banyak negara dalam wujud syarikat multi- national corperation (MNC). Masalah kita ialah bagaimana menyiasati agar neo-liberal tidak memiskinkan masyarakat, yang lemah dan tak berdaya jangan kehilangan hak-haknya sebagai manusia.

 

       Indonesia, menurut hemat saya, memasuki masa yang rawan (sensitivity), karena Indonesia sekarang telah berubah dengan memilih jalan kapitalisme dari pada sosialisme kerakyatan. Ihwal inipun suatu yang bersifat ambigu (ganda), karena Konstitusi 1945 tidak menyebut bahwa ekonomi Indonesia adalah berdasarkan pasar bebas (liberalisme) tetapi pada kesejahteraan rakyat (sosialisme). Kebebasan media telah dimanfaatkan para pemilik modal (kapitalis) untuk menciptakan pasar bebas dan imajinasi kenikmatan (leisure) dan gaya hidup (lifestyle) dengan cara pemujukan melalui iklan dan program khas di televisi dan media cetak. Masyarakat didorong untuk berbelanja atau konsumtif, maka dengan demikian barang-barang produk kapitalis menjadi laku dan uang perbelanjaan itu akan “dilarikan” ke pusat modal kapitalis, dan selanjutnya masyarakat semakin tidak memiliki tabungan. Jika demikian mereka akan mengorbankan kekayaan asli mereka: tanah, kebun, sawah, jika ada. Lalu mereka semakin tidak berdaya, lemah dan tetap saja dalam keadaan miskin sepanjang masa. Jika demikian yang terjadi, maka tidak ada jaminan bahwa masyarakat akan damai dan sejahtera. Dalam iklim semacam itu kemajemukan bukanlah sebagai payung persatuan tetapi menjadi  sumber penyebab perpecahan. Kesetikawanan, toleransi, rasa kekeluargaan telah dikalahkan oleh kepentingan yang lebih kuat, yakni  kapital. Minoriti tidak lagi terlindungi karena sebagian hak-haknya telah beralih tangan kepada penguasa ekonomi. Penguasa ekonomi (pemilik modal) berusaha membangunan kuasa politik dengan kekuatan modal mereka. Maka dengan demikian kekuatan kapital beriring bersama kekuatan  politik dan lalu lahirlah satu bentuk kuasa, yakni imperialisme oleh bangsa sendiri.

 

Referensi

Gunawan, restu (2005). Muhammad Yamin dan Cit-cita Persatuan. Yogyakarta; Penerbit Ombak.

Naim, Mochtar (2008). “Dunia Melayu dalam Dialektika Nusantara.” Seminar Semarak Warisan Budaya Serumpun” di Universitas Pajajaran, Bandung, 17 Mei 2008.

Nasir, Zulhasril (2007). Tan Malaka dan Gerakan Kiri Minangkabau di Indonesia, Malaysia dan Singapura. Yogyakarta:Penerbit Ombak.

Puar, Yusuf Abdullah (1978). Muhammad Natsir: 70 Tahun Kenang-kenangan Kehidupan dan Perjuangan. Jakarta: Pustaka Antara.

Shamad, Irhash A dan Danil M. Caniago (2007). Islam dan Praksis Kultural Masyarakat Minangkabau. Jakarta: PT Tintamas.

http://id.wikipedia.org/wiki/indonesia.